จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 320 นางเซียน
บทที่ 320 นางเซียน
วิญญาณของฮวาชิงหวู่โปร่งแสงมากขึ้นเรื่อยๆ อ๋าวฮวงพยายามร่ายมนต์คาถาไม่ให้ดวงวิญญาณของเธอแตกสลายอย่างสุดความสามารถ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?” ฉู่ชวิ๋นสีหน้าเศร้าหมองพร้อมตื่นตระหนก ถ้าวิญญาณแตกสลายหายไป ฮวาชิงหวู่ก็จะไม่มีวันฟื้นคืนขึ้นมาได้อีกเลย
อ๋าวฮวงเองก็มึนงงไม่แพ้กัน ไม่มีเหตุผลที่วิญญาณของคนเราจะต่อต้านการกลับเข้าร่างของตัวเอง และการที่วิญญาณจะเข้าร่างก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ทำไมวิญญาณของฮวาชิงหวู่ถึงได้ต่อต้านแบบนี้?
“เสี่ยวหวู่ ใจเย็นก่อน รีบกลับเข้าร่างเถอะ ผมจะทำให้คุณตื่นขึ้นมาเอง”
ฉู่ชวิ๋นร้องตะโกนด้วยความตื่นกลัว ถึงจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าฮวาชิงหวู่คงไม่ได้ยินที่เขาพูดก็ตาม
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวผมม่วงพลันลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่โลงศพ เธอทอดสายตามองร่างที่แน่นิ่งของฮวาชิงหวู่และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า “ถึงฉันจะไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ทุกคนรอให้เธอฟื้นขึ้นมาอยู่นะ อีกอย่าง หากเธอไม่ตื่นขึ้นมา เขาคงจะกล่าวโทษตัวเองไปตลอดชีวิต เธอคงไม่อยากให้เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างความเศร้าสินะ”
น่าประหลาดใจที่มนต์คาถาของอ๋าวฮวงไม่สามารถทำอะไรได้ เสียงตะโกนของฉู่ชวิ๋นก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน แต่คำพูดที่อ่อนโยนเพียงไม่กี่ประโยคของหญิงสาวผมม่วง กลับทำให้วิญญาณของฮวาชิงหวู่เลิกต่อต้านและเริ่มลอยกลับเข้าไปในร่างของตนเอง
ทั้งฉู่ชวิ๋นและอ๋าวฮวงต่างก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้น วิญญาณของฮวาชิงหวู่ก็กลับคืนสู่ร่างของเธออย่างสมบูรณ์
แต่ฮวาชิงหวู่ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา ร่างกายของเธอยังขาดพลังวิญญาณอยู่อีกหลายส่วนกว่าที่จะสามารถตื่นกลับคืนขึ้นมาได้ ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่รอ
ทว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยตอนนี้วิญญาณของเธอก็กลับเข้าร่างแล้ว
อ๋าวฮวงล่าถอยออกมา
ฉู่ชวิ๋นพูดคุยกับร่างที่แน่นิ่งของฮวาชิงหวู่ที่นอนอยู่ในโลงน้ำแข็ง
หญิงสาวผมม่วงเดินไปนั่งอยู่บนยอดเขา เธอเลิกกระโปรงขึ้น ก้มหน้ามองต่ำ บางครั้งก็จะชำเลืองมองฉู่ชวิ๋นกับฮวาชิงหวู่เป็นระยะ ไม่มีใครรู้เลยว่าหญิงสาวผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่?
…
ฉู่ชวิ๋นเดินขึ้นไปบนยอดเขาไปหาหญิงสาวผมม่วง เขามีคำถามอยากจะถามเธอมากมาย
“ทำไมเสี่ยวหวู่ถึงเชื่อฟังเธอล่ะ?” นี่คือสิ่งที่ฉู่ชวิ๋นอยากจะรู้มากที่สุด ในเมื่อหญิงสาวทั้งสองคนนี้ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน
หญิงสาวนิ่งเงียบไปนาน หลังจากนั้นเธอก็ตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเจ็บใจ เขาเกลียดประโยคนี้ที่สุด ไม่รู้อีกแล้ว แล้วแบบนี้เขาต้องทำยังไงต่อ สิ่งที่เหนือการควบคุมแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจเสมอ
“ฉันไม่เคยพบเจอเธอคนนั้น แต่เมื่อฉันเห็นเธอ ฉันกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าส่วนหนึ่งของเธอ ก็คือส่วนหนึ่งของตัวฉันเอง” หญิงสาวผมม่วงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดูเธอจะตกตะลึงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ที่พูดออกมาแบบนี้
“ว่ายังไงนะ?” ฉู่ชวิ๋นไม่อยากจะเชื่อ “หรือว่าเธอกับเสี่ยวหวู่มีหน้าตาเหมือนกัน?”
หรือว่าหญิงสาวสองคนนี้จะเป็นฝาแฝดกัน? ว่ากันว่าคนที่เป็นฝาแฝดจะสามารถสื่อสารกันผ่านความรู้สึกได้
หญิงสาวผมม่วงส่ายศีรษะ ก่อนตอบว่า “เราไม่เหมือนกันเลยสักนิด”
ฉู่ชวิ๋นนิ่งเงียบไปอีกครึ่งค่อนวัน หญิงสาวผมม่วงผู้นี้มาจากทวีปเซียน ส่วนฮวาชิงหวู่เป็นมนุษย์โลกโดยกำเนิด แล้วพวกเธอจะเป็นฝาแฝดกันได้ยังไง
“ตอนนั้น ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันเป็นเธอและเธอก็เป็นฉัน ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอที่ต้องนอนสิ้นหวังอยู่ในโลงน้ำแข็ง และความรู้สึกที่เธอมีต่อนายฉันก็รู้สึกได้เหมือนกัน” หญิงสาวผมม่วงกล่าว
ฉู่ชวิ๋นกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว “ฉันอยากช่วยเสี่ยวหวู่ให้ได้ ต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยอม”
“งั้นนายก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเธอ ไม่อย่างนั้น ฉันไม่ปล่อยนายเอาไว้แน่” หญิงสาวผมม่วงพูดอย่างจริงจัง
ฉู่ชวิ๋นเงียบไปอีกนาน เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากสาบาน ศรัทธาในเรื่องนี้ของเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ไปหาอ๋าวฮวงกันดีกว่า เขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ” ฉู่ชวิ๋นพูด
หญิงสาวผมม่วงลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้า เนื่องจากเธอก็อยากรู้เหมือนกัน
แล้วทั้งสองคนก็เดินไปหาอ๋าวฮวง
“คุณรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” ฉู่ชวิ๋นเป็นคนเปิดประเด็น
อ๋าวฮวงนั่งตกปลาอยู่ริมลำธาร ตลอดทั้งวันเขาไม่ทำอะไรนอกจากกิน ดื่มและตกปลา
เมื่อได้ยินคำถามของฉู่ชวิ๋น ชายชราก็ยิ้มมุมปาก ตอบโดยไม่ต้องเหลียวหน้ามองกลับมาว่า “ให้เธอคนนั้นถอดผ้าคลุมหน้าออกสิ เดี๋ยวเจ้าก็เข้าใจเองแหละ”
ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหญิงสาวผมม่วง
ดวงตาของหญิงสาวผมม่วงปรากฏความประหลาดใจไม่น้อย
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงัน แล้วในทันใดนั้น หญิงสาวผมม่วงก็ค่อย ๆ ยกมือปลดผ้าปิดหน้าออกมาจากใบหน้า
เมื่อไม่มีผ้าปิดหน้าอีกต่อไป เส้นผมของเธอจากสีม่วงก็เปลี่ยนเป็นสีเงินประกายระยิบระยับ
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ประหลาดใจอะไร ตอนแรกที่เขาเจอเธอ หญิงสาวผู้นี้ก็มีผมสีเงินเป็นประกายระยิบระยับเช่นนี้แหละ แต่ตอนหลังเธอคงต้องพยายามลดประกายบนศีรษะไม่ให้โดดเด่นสะดุดตาใคร และทำให้มันเป็นสีม่วง
ทว่า เมื่อใบหน้าปราศจากสิ่งปกปิด ฉู่ชวิ๋นก็สั่นสะท้านไปทั้งทรวงราวกับคนที่โดนฟ้าผ่า ดวงตาของฉู่ชวิ๋นก็เบิกกว้างขึ้นมาในทันที ตัวฉู่ชวิ๋นยืนนิ่ง จิตใจรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้เลย
ผมสีเงินเป็นประกายระยิบระยับ ดวงตาสดใส ฟันขาวสะอาด ผิวขาวราวกับหิมะ มีความสวยงามราวกับเทพธิดา
แม้แต่อ๋าวฮวงก็ยังอดเหลือบตามารับชมความงดงามของเธอ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปตกปลาต่อพร้อมกับรำพึงว่า “ไอ้เด็กคนนี้มันวาสนาดีเหลือเกิน ทำให้หลายคนอิจฉาจนอกแตกตายได้แล้วจริงๆ”
แต่ฉู่ชวิ๋นได้แต่ยืนตกตะลึง ร่างกายของเขาสั่นเทา หญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าเขาคนนี้ปรากฏในความฝันของเขานับครั้งไม่ถ้วน หญิงสาวคนนี้เคยอยู่เคียงข้างเขามาตลอดระยะเวลาหลายพันปี
“จิงหง!”
ฉู่ชวิ๋นอุทานออกมา ยากที่จะเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ได้ ชายหนุ่มขยับตัวออกมาข้างหน้าและอยากจะดึงเธอเข้ามาสวมกอดในอ้อมแขน
เปรี้ยง!
พลัน พลังลมปราณพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของหญิงสาวผมเงิน กระแทกเขาลอยกระเด็นออกมา
“จิงหง นี่ฉันเองนะ ฉู่ชวิ๋น!” ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจผู้ใดอีกแล้ว เขารีบลุกขึ้นยืนร้องตะโกนออกไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
แต่หญิงสาวผมเงินกลับมองหน้าฉู่ชวิ๋นอย่างเงียบงันและพูดอย่างเย็นชา
“เจ้าดีใจที่ได้เจอข้าเหรอ?”
“ใช่ ฉันดีใจมาก”
“แต่ข้าจำเจ้าไม่ได้”
ฉู่ชวิ๋นตัวแข็งค้าง เขาเชื่อในสิ่งที่เธอพูดก็ในเมื่อเธอยังจำตัวเองไม่ได้ แล้วเธอจะมาจำเขาได้ยังไง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหน้าอ๋าวฮวง
คนถูกถามตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ไม่ต้องมาถาม นั่นมันเป็นเรื่องของแก เอาไว้เสี่ยวหวู่ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ เดี๋ยวคำตอบก็ออกมาเอง”
“จิงหง เธอลองคิดดูให้ดีสิ จำภาพนิมิตที่เธอเห็นในน้ำตานั้นได้ไหม? คนที่อยู่ในนั้นก็คือเธอกับฉันนี่แหละ” ฉู่ชวิ๋นรีบพูดออกมา
จิงหงพยายามทบทวนความทรงจำ แต่ในหัวสมองไม่มีภาพของฉู่ชวิ๋นอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว สุดท้ายเธอก็ต้องส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” ฉู่ชวิ๋นพยายามปลอบโยน “ตาเฒ่าอ๋าวฮวงบอกว่าเธอจะเข้าใจเองเมื่อเสี่ยวหวู่ตื่นขึ้นมา เพราะงั้นทำใจสบาย ๆ นะ”
เปรี้ยง!
พลัน ฉู่ชวิ๋นก็ลอยกระเด็นออกไปไกลหลายร้อยเมตร
“ไอ้เด็กคนนี้ ปากมอมจริงๆ เลยเชียว ข้าไม่มีอารมณ์จะช่วยเจ้าแล้ว” อ๋าวฮวงร้องในใจ ตาเฒ่าอ๋าว ช่างเป็นคำที่ฟังแล้วเจ็บปวดหัวใจจริงๆ
…
เวลาที่เหลืออยู่หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็เอาแต่เดินตามหญิงสาวผมเงินทั้งวัน
“เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกตามข้าสักที?” จิงหงพูดด้วยความรำคาญใจ ฉู่ชวิ๋นเอาแต่เดินตามเธอทั้งวันไม่ห่าง
“ไม่เป็นไร เธอก็ทำเรื่องของเธอไปสิ” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับหน้าตาเฉย อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ยอมรับชื่อจิงหงแล้ว
สมัยตอนที่อยู่ต่างโลก หญิงสาวผมเงินคนนี้เป็นฝ่ายที่เดินไล่ตามเขาตลอด แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร เขาต้องเป็นฝ่ายเดินไล่ตามเธอซะแล้ว
“จิงหง เธอจำตอนที่เราจับยูนิคอร์นสายฟ้าได้ไหม? ฉันไม่คิดเลยว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดนั้น?”
“จำไม่ได้”
“งั้นเธอจำตอนที่เราเข้าไปในสวนพฤกษาโบราณได้ไหม มันเป็นสถานที่ที่เวลามีน้ำหนักนะ สุดยอดมากๆ!”
“จำไม่ได้”
“แล้วเธอจำตอนที่ฉันเข้าสู่ถนน 99 เทวาได้ไหม สุดท้ายถนนเส้นนั้นก็พังราบคาบไม่เหลือชิ้นดี เป็นเหตุการณ์ในตำนานเลยนะ”
“จำไม่ได้”
“แล้วเธอจำตอนที่ฉันสู้กับจักรพรรดิเซียนคังหมิงได้ไหม? นั่นมันก็เป็นการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์เชียวนะ ดุเดือดมาก ๆ”
“จำไม่ได้”
“แล้วเธอ…”
“จำไม่ได้”
“แล้วเธอจำอะไรได้บ้าง?”
“ข้าจำได้ว่าเคยบอกให้เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้ เจ้าไม่ได้ยินหรือไง”
“…”
ฉู่ชวิ๋นกลายเป็นตัวรบกวนคอยส่งเสียงน่ารำคาญอยู่ด้านหลังจิงหง จนสุดท้ายหญิงสาวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
จิงหงหนีขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดเขาคนเดียวอีกครั้ง ผมสีเงินของเธอยาวสยายลงมาปกคลุมใบหน้า ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่?
ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าไปรบกวนเธออีก เขาเดินกลับมานั่งอยู่ข้างกายอ๋าวฮวง หยิบก้อนหินบนพื้นขึ้นมาโยนลงไปในบ่อน้ำ ทำให้ปลาที่กำลังจะติดเบ็ดว่ายหนีไปทันทีด้วยความแตกตื่น
อ๋าวฮวงดึงเบ็ดตกปลากลับขึ้นมา และหันมาพูดด้วยความไม่พอใจว่า
“เจ้าอยากโดนทุบตีอีกหรือไง ครั้งนี้เจ็บหนักนะบอกให้?”
“ผมมีอะไรอยากถามหน่อย” ฉู่ชวิ๋นพลันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนที่จะบอกเล่าเรื่องราวของแมงมุมทองคำกับเต่ายักษ์สีดำที่เขาพบเจอ
สีหน้าของอ๋าวฮวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาถอนหายใจออกมาแผ่วเบาว่า
“การเปลี่ยนแปลงของโลกนี้รวกเร็วเกินกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากจริง ๆ”
“คุณยังไม่ได้บอกอะไรผมอีกหรือเปล่า?” ฉู่ชวิ๋นถาม รู้สึกมาเสมอว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปและนั่นไม่น่าจะใช่เรื่องดี
“เจ้าหนู ยิ่งเจ้ารู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลร้ายต่อตัวเจ้าเองมากขึ้นเท่านั้น รีบขยันตั้งใจฝึกฝนเพื่อเลื่อนระดับพลังได้แล้ว” อ๋าวฮวงตอบไม่ตรงคำถาม ก่อนกล่าวต่อว่า “จำเอาไว้ให้ดีนะ เมื่อโลกนี้เกิดความเปลี่ยนแปลง สิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์ที่จำศีลมาอย่างยาวนานก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทางเดียวที่เจ้าจะปกป้องมนุษย์และคนที่เจ้ารักได้ก็คือ เจ้าต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้”
ทั้งสองคนพูดคุยกันต่ออีกพักใหญ่ แต่อ๋าวฮวงก็ไม่ได้บอกอะไรที่เป็นประโยชน์เลย เพียงแต่รบเร้าให้ฉู่ชวิ๋นฝึกวิชาให้หนักมากกว่านี้ แล้วก็ชี้แนะถึงจุดบกพร่องที่เขามีอยู่ในปัจจุบัน
“ว่าแต่ต่อจากนี้เจ้าจะเอายังไง?” อ๋าวฮวงถาม
ฉู่ชวิ๋นพูดว่า “ผมจะไปปรุงยาที่ปราสาทจตุรเทพ แล้วก็ว่าจะไปช่วยพวกเขาสักหน่อย”
ถึงลูกน้องของเขาจะมีฝีมือแข็งแกร่งขึ้น แต่พวกเหยียนชงก็ยังเลื่อนระดับพลังได้ช้าเกินไป
ฉู่ชวิ๋นเล่าเรื่องราวที่หม้อปรุงยาจตุรเทพกดทับเผ่าพันธุ์ปีศาจทมิฬเอาไว้ให้อ๋าวฮวงรับฟัง
อ๋าวฮวงได้ยินก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงว่า “ไม่น่าเชื่อ แม้แต่พวกปีศาจทมิฬก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เดี๋ยวก็คงปรากฏตัวออกมาเหมือนกัน”
แล้วอ๋าวฮวงก็เล่าให้ฉู่ชวิ๋นฟังว่า โลกสมัยก่อนมีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่หลายร้อยเผ่าพันธุ์ ตัวอย่างเช่นเผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์เอลฟ์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษา ซึ่งไม่ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ไหนก็มีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวหมดทั้งสิ้น
“ตอนนี้เจ้าต้องระวังตัวให้ดี” อ๋าวฮวงตักเตือน “ถ้ามีอันตราย รีบแจ้งให้ข้ารู้ทันที”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ลุกขึ้นบอกลาอ๋าวฮวง เตรียมตัวเดินทางกลับไปที่วังมังกรเพลิง แต่ที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจก็คือ จิงหงไม่อยากตามเขาไปด้วย เธออยากจะพักอยู่ที่นี่
“ให้เธออยู่ที่นี่เถอะ” อ๋าวฮวงว่า
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า สุดท้ายเขาก็บอกให้หญิงสาวดูแลตัวเองให้ดี เขาไม่คิดเลยว่าจิงหงจะข้ามมิติมาที่โลกมนุษย์จริง ๆ แต่ตอนนี้เธอก็ปลอดภัยไม่มีอะไรให้เป็นกังวล นี่คือเรื่องเดียวที่ทำให้ฉู่ชวิ๋นมีความสุข หลังจากที่ฮวาชิงหวู่กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา
…
ณ ลานประลองของวังมังกรเพลิง เหลยเป้ากับจักรพรรดิยากำลังต่อสู้กัน
เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดใส่จักรพรรดิยาจนล้มลงมีควันลอยขึ้นมาจากศีรษะ
“ไอ้นี่มันวอนซะแล้ว”
จักรพรรดิยาคำรามด้วยความโกรธในมือข้างหนึ่งถือดาบมาดมั่นดาบเล่มนี้เป็นอาวุธสวรรค์ที่ฉู่ชวิ๋นมอบเป็นของขวัญแก่เขา ส่วนมืออีกข้างนั้นกำสากกะเบือที่เอาไว้ใช้บดยาสมุนไพร
“เหลยเป้า แกคิดว่าฉันจะจัดการแกไม่ได้หรือไง?” จักรพรรดิยากระโดดเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับตวัดดาบ พลังลมปราณพุ่งออกมา
เหลยเป้าควงกระบองขนาดใหญ่ พลังสายฟ้าพุ่งวาบเข้าปะทะกับตัวดาบ สากกะเบือในมือของจักรพรรดิยาพลันถูกขว้างปาเข้าใส่ท้องน้อยของเหลยเป้าเข้าอย่างจัง ส่งผลให้เหลยเป้าล้มกลิ้งลงไปหลายตลบ
“จะไม่ห้ามกันหน่อยเหรอครับ?” หยานหวูซวงเพิ่งเดินมาถึง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องหรอกครับ นี่เป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นทุกวันตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา” เหยียนชงขยับโต๊ะลากเก้าอี้มาตั้งกาน้ำชา พร้อมกับรับประทานเม็ดแตงโมอย่างเอร็ดอร่อย
“ทำไมล่ะ?” หยานหวูซวงยังคงไม่เข้าใจ คนบนเวทีประลองกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กลับไม่มีใครห้ามปรามเลยสักคนเดียว
เหยียนชงชี้มือไปยังแม่หม้ายสาวที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ข้างเวทีประลอง “สองคนนั้นสู้กันเพราะแย่งผู้หญิงคนนั้นแหละครับ”
“หา!” หยานหวูซวงมีสีหน้าตกตะลึง เขาเคยได้ยินเหมือนกันเรื่องสู้กันเพื่อแย่งผู้หญิง แต่ไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน
“ไม่ต้องห่วงครับ ไม่เป็นไรหรอก” เหยียนชงกล่าวอย่างใจเย็น
หยานหวูซวงรู้ตัวว่ายังคงมีอีกหลายเรื่องราวให้เขาต้องเรียนรู้ ชายหนุ่มโล่งอกจนสามารถนั่งแทะเม็ดแตงโมพร้อมกับจิบชาได้เหมือนเหยียนชง ในขณะที่รับชมการต่อสู้ของชายทั้งสองคนเบื้องหน้าด้วยความสบายอารมณ์ เขารู้สึกว่าพรรคพวกจอมมารฉู่เป็นแบบนี้เองสินะ ป่าเถื่อนมาก