จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 366 ดินแดนแห่งภูตทมิฬ
บทที่ 366 ดินแดนแห่งภูตทมิฬ
อุโมงค์ดำมืดลึก ลมปราณปีศาจคละคลุ้งไปทั่ว
บัดนี้ ฉู่ชวิ๋นใช้เคล็ดวิชาถอดจิตวิญญาณนำกายละเอียดออกมาจากกายหยาบพร้อมกับใช้พลังสร้างลมปราณคุ้มกายให้แก่กายละเอียดของเขา
เมื่อเทียบกับร่างมนุษย์ ร่างวิญญาณมีความเปราะบางกว่ามาก
ร่างของชายหนุ่มมีรัศมีสีขาวเปล่งประกายเหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี
ภายในอุโมงค์ลึกไม่มีที่สิ้นสุด ฉู่ชวิ๋นดำดิ่งลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เมื่อลงมาถึงระดับความลึก 200 เมตร ก็จะได้ยินเสียงลากโซ่ดัง
โกร่งกร่าง
ฉู่ชวิ๋นดำดิ่งลงไปลึกมากขึ้นและมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะลงลึกไปอีกหลายกิโลเมตร เขาก็ยังไปไม่ถึงก้นอุโมงค์สักที
อุโมงค์นี้มีความลึกมากแค่ไหนกัน? หรือว่าปลายอุโมงค์จะอยู่ใจกลางโลกจริง ๆ?
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกได้ว่าตนเองดำดิ่งลงมาประมาณ 4 ถึง 5 กิโลเมตรแล้ว แต่เขาก็ยังลงไม่ถึงก้นอุโมงค์
ไม่นะ…ฉู่ชวิ๋นพลันหยุดชะงักการดำดิ่ง
ชายหนุ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและเอื้อมมือแตะผนังอุโมงค์ ปรากฏว่ามือของเขาสามารถทะลุผนังอุโมงค์ไปได้อย่างง่ายดาย
“นี่มันค่ายกลลวงตา!” ฉู่ชวิ๋นยิ้มด้วยความขมขื่น “แต่พวกแกประเมินพลังของฉันต่ำเกินไป!”
ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์ภูตทมิฬจะล่มสลายไปแล้ว แต่ค่ายกลของพวกมันยังคงอยู่ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
พวกภูตทมิฬคงยังไม่รู้จักความน่ากลัวของจอมยุทธซึ่งมีความแข็งแกร่งไม่เป็นรองใคร ฉู่ชวิ๋นคิดว่าถ้าเป็นนักสู้จากประเทศอื่นมาที่นี่คงจะหลงทางภายในค่ายกลลวงตาเช่นนี้โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ํา
ฉู่ชวิ๋นหมุนตัวหันหลังกลับ เท้าของเขาปีนป่ายอากาศเหมือนกำลังเดินขึ้นบันไดที่มองไม่เห็น ดวงตาเปล่งลำแสงสีม่วงออกมา ลำแสงเหล่านั้นตัดผ่านหมอกลมปราณปีศาจและทำให้เขาสามารถมองเห็นภาพที่ซ่อนอยู่หลังค่ายกลลวงตาได้โดยสะดวก
แต่เมื่อสักครู่นี้เขาก็หลงกลง่ายดายเกินไป ฉู่ชวิ๋นพึ่งคิดได้ว่าเขายินเสียงลากโซ่ตั้งแต่ลงมาในตอนแรก ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น เขาประมาณเกินไป
ในตอนนี้รอบกายของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยลมปราณปีศาจ จนฉู่ชวิ๋นมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย!
ที่นี่มันมืดมิดเกินไป เขาควรจะทำยังไงดี?
วูบ!
เส้นไหมวิญญาณนับหมื่นพลันพุ่งกระจายออกไปทุกทิศทุกทางในความมืดมิดของลมปราณปีศาจ
หลังจากนั้น ดวงตาของชายหนุ่มก็เป็นประกาย เขาเจอจุดศูนย์กลางค่ายกลแล้ว ร่างวิญญาณของชายหนุ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว
สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของฉู่ชวิ๋นในตอนนี้ก็คือวังน้ำวนขนาดเล็ก มันมีลักษณะเหมือนตาน้ำ แต่ความเร็วในการหมุนวนนั้นเชื่องช้ามาก ตอนแรกเขาจึงไม่ทันสังเกต
“นี่คือจุดศูนย์กลางค่ายกลค่ายกลของพวกภูตทมิฬสินะ?”
ฉู่ชวิ๋นกระซิบแผ่วเบา ก้าวเท้าออกไปข้างหน้า ร่างของเขาก็จมหายลงไปในวังน้ำวนนั้น
แล้วแสงสว่างก็ส่องมากระทบดวงตาของชายหนุ่ม ฉู่ชวิ๋นลืมตามองพื้นที่รอบข้างด้วยความประหลาดใจ
ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย?
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมอกควันมองไม่เห็นดวงตะวัน ภูเขามีรูปทรงแปลกประหลาดเป็นก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ มองไปแทบไม่เห็นต้นไม้เลยสักต้น มีแต่กระดูกอยู่ทุกหนทุกแห่ง ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นของควันไฟ บนพื้นดินไม่มีต้นหญ้าอยู่เลยแม้สักต้นเดียว
ครืน!
ในขณะที่ฉู่ชวิ๋นกวาดสายตาสำรวจมองรอบตัวอยู่นั้นเอง พื้นดินก็สั่นสะเทือนครืนครัน ภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ไกลๆ ฉีดพ่นลาวาเหลวพุ่งสูงขึ้นไปหลายร้อยฟุต พื้นที่โดยรอบของภูเขาลูกนั้นหลอมละลายไปทันทีเมื่อลาวาหลั่งไหลล้นออกมาอย่างน่าหวาดกลัว
หรือว่านี่จะเป็นค่ายกลลวงตาของพวกภูตทมิฬอีก?
วูบ!
พลัน มีลำแสงสายหนึ่งถูกซัดเข้ามา ฉู่ชวิ๋นกระโดดถอยห่างออกมาหลายร้อยเมตร
เปรี้ยง!
ตรงพื้นดินที่เขายืนอยู่เมื่อสักครู่นี้ ปรากฏหลุมลึกขนาดใหญ่ ก้อนกรวดบนพื้นดินร่วงกราว
เงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น มันผู้นี้รูปร่างเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ตามแขนขาทั้งสี่ข้างถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่สีดำทมิฬ ผมสีน้ำตาลแห้งหยาบเหมือนฟางข้าวยาวลงมาถึงเอว ร่างกายซูบผอมเหมือนโครงกระดูกเดินได้ ท่ามกลางเส้นผมสีน้ำตาลที่ปกคลุมหน้าตานั้น มีดวงตาสีแดงก่ำที่บ่งบอกถึงความบ้าคลั่ง
โฮก! ตัวประหลาดร้องคำรามในขณะที่พุ่งเข้ามาหาชายหนุ่มราวกับสัตว์ร้าย
“แกคือพวกภูตทมิฬใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นถาม
เมื่อตัวประหลาดพุ่งเข้ามาไม่โดนเขา ดวงตาของมันก็หันมาจับจ้องฉู่ชวิ๋นเขม็ง ตัวมันยืนนิ่งเหมือนคนตาย
ฉู่ชวิ๋นพ่นลมผ่านจมูกและยกมือขึ้นซัดพลังลมปราณสวนกลับไป
เปรี้ยง!
ตัวประหลาดยังคงไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ร่างกายของมันถูกพลังลมปราณกระแทกเข้าใส่อย่างแรงจนลอยกระเด็นไป ในอากาศเศษฝุ่นเศษดินฟุ้งกระจาย
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตามอง แต่ก็พบว่าตัวประหลาดกระเด็นไปเพียงแค่สิบเมตรเท่านั้น ถือว่ามันมีร่างกายที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว
โฮก!
ตัวประหลาดคำรามอีกครั้งและพุ่งเข้ามาหาฉู่ชวิ๋นอีกรอบ ก่อนจะซัดพลังลมปราณออกมา ร่างวิญญาณของฉู่ชวิ๋นถูกซัดเข้าอย่างจังจนซวนเซ
ฉู่ชวิ๋นถึงกับตกตะลึง ตอนนี้เขาอยู่ในร่างวิญญาณ พลังการต่อสู้ไม่แข็งแกร่งเหมือนเก่าแถมร่างวิญญาณของเขาก็ยังเปราะบางมาก
ความเร็วของตัวประหลาดรวดเร็วมากเกินไป รวดเร็วยิ่งกว่าเขาเสียอีก
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากเชื่อ ไม่คิดเลยว่าเพิ่งจะเข้าสู่ดินแดนของภูตทมิฬได้เพียงแค่ครู่เดียวก็ต้องพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว
ในระหว่างที่คิดเรื่องนี้ ฉู่ชวิ๋นก็โคจรพลังลมปราณและปล่อยกลอักษร
“ฆ่า” ออกไป!
ในอากาศพลันปรากฏตัวอักษรสีม่วงสดพวยพุ่งรุนแรงเหมือนพายุร้าย ถาโถมเข้าใส่ร่างกายของตัวประหลาดอย่างไม่ลืมหูลืมตา
แต่ตัวประหลาดก็สามารถปัดป้องตัวอักษรที่พุ่งเข้าใส่ได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำความเร็วของมันยังไม่ลดลงอีกด้วย
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกพรั่นพรึงขึ้นมาแล้ว เขาเห็นเงาร่างของตัวประหลาดพุ่งเข้ามา จึงยกมือขึ้นซัดพลังสวนกลับไป
เปรี้ยง…!
เสียงระเบิดดังสนั่น ลำแสงลมปราณของเขาที่พุ่งออกไปทำให้ตัวประหลาดต้องร้องโหยหวน แต่ฝ่ามือของมันก็ซัดพลังสวนใส่เขาเช่นกัน
ฉู่ชวิ๋นเหงื่อออกท่วมกาย ไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว พลังลมปราณสีดำที่แหลมคมเหมือนดาบก็พุ่งตัดเข้าร่างกายของเขา
ควับ!
ฉู่ชวิ๋นลอยกระเด็นออกมา ร่างวิญญาณของเขาเกิดรอยแตกร้าวขึ้น!
โฮก!
ตัวประหลาดร้องคำราม แต่กลับไม่ได้ซัดลำแสงตามมาอีก
“ฆ่าข้าสิ เข้ามา…ฆ่าข้าเลย…” เสียงจากพลังจิตที่อ่อนแอดังกังวานในโสทประสาทของฉู่ชวิ๋น
“หมายความว่ายังไง?” ฉู่ชวิ๋นถามเมื่อได้ยินเสียงที่แหบแห้งของฝ่ายตรงข้าม
“โจมตีที่หัวของข้า มัน…ไม่มีเวลาอีกแล้ว…”
ฉู่ชวิ๋นกัดฟันกรอดและเริ่มต้นโคจรพลังลมปราณอีกครั้ง
วิชาดัชนีสังหาร-กระบวนท่าดัชนีสามอุสรา!
วิชาดัชนีสังหาร-กระบวนท่าสี่นิ้วกำราบมาร!
ครืน! ครืน!
หมอกควันและฝุ่นผงตลบฟุ้งในอากาศ แล้วนิ้วมือขนาดใหญ่ก็ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าทับลงมาที่ศีรษะของตัวประหลาด
ตู้ม…เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
เคล็ดวิชาฟินิกซ์นิรันดร์!
เคล็ดวิชาเก้ามังกรทลายนภา!
เคล็ดวิชาอัสนีบาตสีม่วง!
ฉู่ชวิ๋นระดมทุกวิชาที่เขาสามารถใช้ได้ โจมตีไปที่หัวของตัวประหลาด
ตัวประหลาดไม่ได้หลบหนี มันยืนหัวสั่นหัวคลอนอยู่ตรงนั้น
ฉู่ชวิ๋นพบว่าหลังจากโจมตีหนึ่งครั้ง ดวงตาสีแดงสดของตัวประหลาดก็จะเจือจางลง
“โจมตีเข้ามาอีก” ตัวประหลาดพูด
ฉู่ชวิ๋นยกมือโคจรพลังลมปราณ เสียงคำรามแผดก้องในท้องฟ้า มังกรโผบิน นกเพลิงสยายปีก
เปลวไฟลุกโชติช่วง
เงาร่างของมังกรและนกเพลิงทั้งสองตัวเคลื่อนไหวตามจังหวะมือของฉู่ชวิ๋น
เปรี้ยง!
ทั้งมังกรและนกเพลิงพุ่งตรงดิ่งลงไปที่หัวของตัวประหลาด จนเกิดการระเบิดขนาดใหญ่ แรงระเบิดถึงกับทำให้พื้นดินแยกออกเป็นหลายส่วนและมันก็ทำให้ตัวประหลาดลอยกระเด็นไปไกลเช่นกัน
ฉู่ชวิ๋นเพ่งสายตาจ้องมองด้วยความสนใจ แล้วเขาก็เห็นตัวประหลาดลุกขึ้นมา สีแดงในดวงตาของมันหายไปแล้ว ในขณะนี้ดวงตาที่กำลังจับจ้องมองฉู่ชวิ๋นเป็นดวงตาที่ปกติของมนุษย์ผู้หนึ่ง
“แกตั้งใจให้ฉันเล่นงานแกใช่ไหม?” ความจริง ฉู่ชวิ๋นอยากใช้โอกาสนี้ลงมือต่อเนื่องเพื่อปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามไปเลยเหมือนกัน เสียแต่ว่าตัวประหลาดผู้นี้แข็งแกร่งมากเกินไป
ฉู่ชวิ๋นตื่นตัวเต็มที่ แต่โชคดีที่ตัวประหลาดถูกล่ามโซ่อยู่ มันจึงเดินมาถึงจุดที่เขายืนอยู่ไม่ได้
“หายากเหลือเกินที่คนอายุเท่าเจ้าจะมีฝีมือระดับนี้” เสียงของตัวประหลาดแหบแห้ง ทว่าดังชัดเจน “เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักวิมานเมฆหรือ?”
ฉู่ชวิ๋นถอนหายใจแล้วถาม “แกกำลังพูดถึงดินแดนสวรรค์อยู่ใช่ไหม?”
ตัวประหลาดมองหน้าฉู่ชวิ๋นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า
“โลกนี้ไม่มีดินแดนสวรรค์อีกต่อไปแล้ว” ฉู่ชวิ๋นตอบ
“ว่าไงนะ?” ตัวประหลาดได้แต่จ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความตกตะลึงและพูดว่า “เจ้าโกหก วิชาที่เจ้าใช้มันเป็นเคล็ดวิชาของแดนสวรรค์ เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าตนเองไม่ใช่คนของสำนักวิมานเมฆ?”
ฉู่ชวิ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “สำนักวิมานเมฆคืออะไร? ฉันยังไม่เคยเห็นแม้แต่เงา ฉันพึ่งจะเคยได้ยินชื่อนี้ละ”
ฉู่ชวิ๋นเองก็ไม่ได้ชื่นชอบดินแดนสวรรค์สักเท่าไหร่ โลกนี้กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง สัตว์ร้ายออกอาละวาด เกิดความโกลาหลไปทั่วโลกมนุษย์ หากว่าดินแดนสวรรค์มีอยู่จริง แล้วบรรดาเทพเซียนที่อยู่บนนั้นทำไมถึงยังไม่ลงมาปกป้องมวลมนุษย์?
ตัวประหลาดทำสีหน้าสงสัย จ้องมองฉู่ชวิ๋นอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนพูด “เจ้าไม่ใช่คนของแดนสวรรค์จริง ๆ หรือ?”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“ดินแดนสวรรค์ โลกใบนี้ไม่มีดินแดนสวรรค์อีกแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า…” ตัวประหลาดพลันหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ฉู่ชวิ๋นประหลาดใจไม่น้อยที่พบว่าในขณะนี้ตัวประหลาดกำลังร้องไห้ไปด้วยหัวเราะไปด้วย
“แกเป็นอะไรของแกเนี่ย?” ฉู่ชวิ๋นถาม
ตัวประหลาดหยุดหัวเราะในทันใด หันกลับมามองหน้าฉู่ชวิ๋น ตอบว่า “ข้าเคยเป็นคนของดินแดนสวรรค์”
ฉู่ชวิ๋นชะงักกึก คาดไม่ถึงเลยว่าตัวประหลาดคนนี้จะเคยเป็นคนของดินแดนสวรรค์มาก่อน ชายหนุ่มพูดออกไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “ฉันคิดว่าแกเป็นคนของเผ่าพันธุ์ภูตทมิฬเสียอีก”
ดวงตาของตัวประหลาดมีประกายเย็นชาและตลกขบขัน “เมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้วข้าเคยเป็นคนของดินแดนสวรรค์ แต่ตอนนี้ข้าไม่รู้แล้วว่าตัวเองเป็นคนของดินแดนสวรรค์ หรือเป็นคนของเผ่าพันธุ์ภูตทมิฬกันแน่”
“เป็นเพราะว่าแกติดอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้วสินะ?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความเหลือเชื่อ
ตัวประหลาดพยักหน้า ตอบเสียงราบเรียบ “มันนานมากแล้ว ข้าก็จำไม่ได้ว่ามันผ่านไปกี่พันปี แต่ที่รู้ๆ คือมันยาวนานมาก”
ฉู่ชวิ๋นสอบถามด้วยความพิศวง “แล้วใครเป็นคนขังแกไว้ที่นี่ล่ะ?”
“จะมีใครอีกนอกจากคนของดินแดนสวรรค์ด้วยกันเอง” ตัวประหลาดตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว ตัวประหลาดผู้นี้ดูคุ้มดีคุ้มร้ายชอบกล ประเดี๋ยวก็บอกว่าตัวเองเป็นคนของแดนสวรรค์ นาทีต่อมาก็พูดว่าตัวเองเป็นคนของเผ่าพันธุ์ภูตทมิฬ แต่นั่นก็ดูมีเหตุผลดีที่คนจากดินแดนสวรรค์จะขังคนแบบนี้ไว้ที่นี่
“เจ้าคิดว่าสมองของข้าคงผิดปกติใช่หรือไม่?” ตัวประหลาดจ้องมองฉู่ชวิ๋นไม่วางตา
ฉู่ชวิ๋นไม่ตอบคำ ตัวประหลาดนี้มีพลังแข็งแกร่ง ซ้ำยังยืนขวางทางออกของเขาเอาไว้ ถ้ามันไม่ยอมหลีกทางให้ ฉู่ชวิ๋นก็คงไม่มีทางได้กลับออกไปอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ข้ายังมีสติอยู่” ดูเหมือนว่าตัวประหลาดจะอ่านความคิดของชายหนุ่มได้
ฉู่ชวิ๋นยังคงคิดหาทางแก้ไขสถานการณ์ ถ้าเขายอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ ก็คงไม่มีโอกาสหลบหนีกลับขึ้นไปข้างบนได้อีกแล้ว
“เหอะ เจ้าคนขี้ขลาด” ตัวประหลาดหัวเราะในลำคอ จากนั้นจึงนั่งลงบนหินก้อนหนึ่งและพูด “บอกให้ข้าฟังหน่อยว่าตอนนี้โลกภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉู่ชวิ๋นคิดอะไรได้บางอย่าง จึงถามว่า “แกเป็นคนที่ส่งมวลพลังออกไปสู้กับฉันที่โลกใต้ดินเมื่อหลายเดือนก่อนใช่ไหม?”
หลายเดือนที่แล้ว ฉู่ชวิ๋นใช้งานหม้อปรุงยาจตุรเทพ และได้มีโอกาสถอดจิตลงมาโลกใต้พิภพ ปะทะฝีมือกับเผ่าพันธุ์ภูตทมิฬบางส่วน เขาได้ต่อสู้กับมวลพลังงานรูปมือขนาดยักษ์แล้วก็หนีกลับไปได้อย่างหืดจับ
ตัวประหลาดนิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะตอบ “ก็น่าจะเป็นข้านั่นแหละนะ”
“น่าจะเป็น?” ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจ ตกลงว่าใช่หรือไม่ใช่กันแน่?
ตัวประหลาดชำเลืองมองฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาเย้ยหยัน พูดด้วยน้ำเสียงชวนขนลุก “ถ้าเจ้าลองมาติดอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายพันปีแบบข้าดูบ้าง หากเจ้าไม่เสียสติ เจ้าก็ต้องกลายเป็นคนปัญญาอ่อน ลมปราณปีศาจของที่นี่มีพิษรุนแรงมาก ไม่ว่าใครที่อยู่ที่นี่นานเกินไป ก็จะต้องกลายเป็นปีศาจทั้งนั้น”
ฉู่ชวิ๋นนึกถึงพฤติกรรมคุ้มดีคุ้มร้ายก่อนหน้านี้ของตัวประหลาดขึ้นมาทันที ชายหนุ่มทราบมาตั้งแต่แรกแล้วว่าอากาศของที่นี่มีลมปราณปีศาจลอยตลบอบอวล มันเป็นพิษ ประเมินได้ว่ามีฤทธิ์ทำให้ผู้ที่สูดดมเข้าไปต้องกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน
“เพราะสูดดมลมปราณปีศาจเข้าไปตลอดเวลา แกถึงได้กลายเป็นคนสติเลอะเลือนแบบนี้นี่เอง” ฉู่ชวิ๋นกระซิบแผ่วเบา
ตัวประหลาดมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ แล้วส่งเสียงหัวเราะเยาะ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้เยอะไม่ใช่น้อย ถูกต้อง นี่คือลมปราณปีศาจที่เปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นสัตว์ร้ายและปีศาจกระหายเลือด ตอนนี้ข้าคงกลับมาได้สติอยู่อีกสักพัก ต้องขอบคุณเจ้า”
“อีกสักพักงั้นเรอะ?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความร้อนใจ “หมายความว่าแกสามารถกลับไปวิกลจริตเหมือนก่อนหน้านี้ได้ทุกเมื่อเลยน่ะสิ?”
ตัวประหลาดพยักหน้า ตอบว่า “ข้าต้องกลายเป็นคนวิกลจริตมาหลายพันปีแล้ว น้อยครั้งมากที่ข้าจะมีสติพูดคุยรู้เรื่องเช่นนี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยฉันไปเถอะ” ฉู่ชวิ๋นเริ่มต้นเจรจา
ตัวประหลาดมองเขาแล้วยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ มันชี้มือไปทางวังน้ำวนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล พูดว่า “ทางออกอยู่ตรงนั้น เจ้าอยากไปก็ไปเถอะ ค่ายกลเหล่านี้มีผลแค่กับปีศาจเท่านั้น ไม่มีผลต่อมนุษย์แต่อย่างใด”
ฉู่ชวิ๋นเดินสืบเท้าไปทางวังน้ำวนจุดนั้น แต่แล้วในขณะที่เดินผ่านตัวประหลาด เขาก็ทันเห็นมันฉีกยิ้มอย่างแปลกประหลาดและก็เป็นรอยยิ้มที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายเลยสักนิด