จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 367 สติฟั่นเฟือน
บทที่ 367 สติฟั่นเฟือน
ฉู่ชวิ๋นไม่อาจไว้วางใจตัวประหลาด
ตัวประหลาดต้องมองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความโศกเศร้า
ทั้งสองฝ่ายต่างยืนจ้องมองกัน
“ข้าลืมบอกเจ้าไป” ตัวประหลาดเปลี่ยนท่าที พูดด้วยน้ำเสียงสุขุมสบายใจ
“ลืมบอกเรื่องอะไร?” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างสงสัย
“ที่นี่คือดินแดนของพวกภูตทมิฬ เป็นโลกแห่งความมหัศจรรย์อย่างแท้จริง”
ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มันคงมหัศจรรย์มากจนทำให้คนเป็นบ้าได้”
ตัวประหลาดเหยียดยิ้ม รู้ว่าฉู่ชวิ๋นกำลังเหน็บแนมตนเองอยู่ แต่มันก็ไม่ได้สนใจ มันยังคงพูดต่อ “มันมหัศจรรย์ก็ตรงที่กาลเวลาของโลกนี้หนึ่งชั่วโมง เท่ากับหนึ่งวันของโลกภายนอก”
ฉู่ชวิ๋นพลันชำเลืองมองรอบตัวและอุทานออกมาว่า “ที่นี่เวลามีน้ำหนัก!”
ตัวประหลาดเบิกตามองด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้เรื่องเวลามีน้ำหนักได้อย่างไร?”
นี่คือสิ่งที่เรียกว่ากาลเวลามีน้ำหนัก หมายความว่าเวลาจะเดินเชื่องช้าลง สำหรับการฝึกตนในทวีปเซียน ฉู่ชวิ๋นเคยไปฝึกอยู่ในสถานที่ซึ่งกาลเวลามีน้ำหนัก หนึ่งวันในสถานที่แห่งนั้นเท่ากับ 10 วันของโลกภายนอกแต่ที่นั่นเปรียบเหมือนดินแดนแห่งเทพนิยาย แต่ที่นี่มันคือดินแดนแห่งนรกโลกันต์!
“ยังมีอีกอย่างที่ข้าลืมบอกเจ้า” ตัวประหลาดกล่าวต่อ
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกใจหายวูบ
“ถ้าเดาไม่ผิด เจ้าคือร่างวิญญาณและลมปราณปีศาจก็สามารถกัดกร่อนร่างวิญญาณได้เช่นกัน” ตัวประหลาดหยุดเล็กน้อยก่อนพูดด้วยน้ำเสียงร้ายกาจ “และถึงแม้จะเป็นแค่ร่างวิญญาณ แต่ถ้าเจ้ามีพลังไม่แข็งแกร่งมากพอ ก็อาจจะกลายเป็นคนเสียสติได้”
‘เหมือนกับแกใช่ไหมล่ะ’ ฉู่ชวิ๋นเกือบจะพูดสวนออกไปแล้ว
“ร่างกายที่ไม่มีเลือดเนื้อ เจ้าคงอยู่รอดได้ไม่ถึงเดือน หรือต่อให้เจ้าโชคดีกลับเข้าร่างได้ จิตวิญญาณที่เสียหายก็คงทำให้เจ้ากลายเป็นคนวิกลจริตไปแล้ว”
ฉู่ชวิ๋นได้แต่จ้องมองตัวประหลาดด้วยความเงียบงัน ผ่านไปอึดใจใหญ่ถึงได้กล่าวว่า “แกต้องการอะไรกันแน่?”
ตัวประหลาดมองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความเหลือเชื่อ “เจ้าไม่ใช่ตัวโง่งมเลยจริงๆ! ถือว่ามีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขั้นเซียน แดนสวรรค์ระดับแรกก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้”
อะไรคือขั้นเซียน แดนสวรรค์? ฉู่ชวิ๋นแอบสงสัยอยู่ในใจ หรือว่าจะเป็นขั้นพลังที่เทียบเคียงได้กับเขาที่เป็น จักรพรรดิเซียน?
“บอกมา! แกอยากให้ฉันทำอะไรกันแน่?” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างเย็นชา
ชายหนุ่มไม่รีบร้อน เพราะทราบว่ามีจิงหงอยู่ที่โลกภายนอก ต่อให้เขาอยู่ที่นี่เป็นเดือน จิงหงก็สามารถดูแลรักษาร่างกายของเขาได้อีกหลายปี
ตัวประหลาดบิดปากระเบิดเสียงหัวเราะและพูด “หลังจากได้เจอหน้าเจ้าแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้ข้านึกได้ว่าตัวเองไม่ได้คุยกับใครเลยมาหลายพันปีแล้ว ดังนั้น เจ้าจงมาเป็นเพื่อนคุยกับข้าหน่อยเถอะนะ”
“แกอยากคุยเรื่องอะไร?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“มาคุยกันเรื่องโลกมนุษย์ ข้าไม่ได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์มานานมากแล้ว” ตัวประหลาดพูดด้วยสีหน้าระลึกความหลัง
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้กล่าวรวบรัด ค่อย ๆ เล่ารายละเอียดทุกอย่างด้วยความชัดเจน
“เกิดเรื่องแบบนั้นกับโลกแล้วไม่เคยมีคนของสำนักวิมานเมฆปรากฏตัวบ้างเลยหรือ?” ตัวประหลาดพอทราบเรื่องราวของโลกก็รีบถามออกมา
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะขบขันแล้วส่ายศีรษะ
“พวกมันช่างเจ้าเล่ห์นัก” ตัวประหลาดมีสีหน้าตื่นตระหนกก่อนที่จะพูดด้วยความโกรธแค้น “ดูเหมือนคงพวกมันจะละทิ้งโลกนี้กันไปหมดแล้ว”
“หมายถึงหนีไปอยู่โลกใบอื่นกันน่ะเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจ
“ถ้าเดาไม่ผิด พวกคนบนดินแดนสวรรค์คงอพยพไปอยู่โลกใหม่กันหมดแล้ว” ตัวประหลาดถอนหายใจออกมาด้วยความโศกเศร้า “อย่างที่เจ้าบอก โลกเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ แต่พวกมันกลับไม่เคยปรากฏตัว ถ้าพวกมันไม่ได้อยากให้มนุษย์ตกตายกันให้หมด ก็หมายความได้อย่างเดียวว่า ตอนนี้คนบนดินแดนสวรรค์ย้ายไปอยู่โลกอื่นกันหมดแล้ว”
“งั้นพวกเขาก็ปล่อยให้โลกปรับโครงสร้างตัวเองน่ะสิ?” ฉู่ชวิ๋นพูดพร้อมหัวเราะเยาะ “แล้วพวกมนุษย์จะทำยังไง? ถ้าไม่มีพวกเทพเซียนบนสวรรค์แล้ว พวกเขาก็คงตายกันหมด”
ตัวประหลาดมองหน้าฉู่ชวิ๋นอยู่นานสองนาน ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “มีไม่กี่คนหรอกนะที่กล้าเหน็บแนมดินแดนสวรรค์แบบนี้ หาได้น้อยคนจริง ๆ แต่เจ้าปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเหล่าเทพพวกนั้นแข็งแกร่งที่สุด”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ ภายใจก็คิดจักรพรรดิเซียนเองก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน เหล่าเทพพวกนั้นจะทำอะไรเขาได้?
“ข้าหวังว่าพวกมันพอไปแล้วก็คงไม่ย้อนกลับมา ไม่อย่างนั้น…”
“ไม่อย่างนั้นทำไม?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“เมื่อโลกฟื้นตัวกลับมา ทุกอย่างก็จะอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ถ้าพวกเทพเซียนจะกลับมา พวกมันจะกลับมายึดครองโลกใบนี้เหมือนเดิมยังไงล่ะ!” ตัวประหลาดอธิบาย
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นพลันเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ เขาถามออกไปน้ำเสียงราบเรียบ “แล้วแกต้องการอะไร? ไม่อยากออกไปหาความยิ่งใหญ่ใส่ตัวบ้างหรือไง?”
“ถ้าเป็นโลกมนุษย์ จะอย่างไรคนของแดนสวรรค์ก็ต้องยิ่งใหญ่อยู่แล้ว” ตัวประหลาดคำรามเสียงดัง
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะขบขัน ผ่อนคลายบรรยากาศรอบตัว กล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้โลกตกเป็นของมนุษย์แล้ว”
“ไม่มีใครหยุดยั้งดินแดนสวรรค์ได้”
“จริงหรือ?” ฉู่ชวิ๋นระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู ถ้าคนของแดนสวรรค์ของแกมาที่โลกมนุษย์เมื่อไหร่ อย่าหาว่าฉันโหดร้ายเกินไปฆ่าพวกเขาหมดเกลี้ยงก็แล้วกัน”
ในวินาทีนั้น รอบตัวของฉู่ชวิ๋นมีรัศมีเป็นประกายเจิดจ้าเหมือนสายรุ้ง มันส่องแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้า แม้แต่ตัวประหลาดก็ยังต้องตกตะลึง
“เจ้าเป็นคนของสำนักใด? ใครสอนพลังที่แข็งแกร่งแบบนี้ให้เจ้าได้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้?” ตัวประหลาดอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ พลังที่ฉู่ชวิ๋นสำแดงเดชออกมาทำให้มันแม้ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อแล้วจริงๆ
“ฉันเป็นคนของตระกูลฉู่!” ฉู่ชวิ๋นตอบ
ตัวประหลาดนิ่งเงียบไปด้วยความพิศวง “ดูเหมือนจะเป็นตระกูลใหม่สิน ไม่งั้นข้าต้องได้ยินชื่อมาบ้าง”
“แกไม่รู้จักหรอก” ฉู่ชวิ๋นเหยียดหยาม “ต้องติดอยู่ที่นี่มาหลายพันปี แกจะรู้อะไร?” พลัน ชายหนุ่มตะโกนก้องท้องฟ้าว่า “อีกไม่กี่สิบปีหลังจากนี้ ชื่อของตระกูลฉู่จะต้องก้องกังวานไปทั่วแดนสวรรค์แน่นอน”
ตัวประหลาดมองหน้าฉู่ชวิ๋น ไม่พูดอะไรอีก
“แกคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่อย่างสมัครใจหรอกใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นถามออกไปในขณะที่จ้องมองตัวประหลาด
ตัวประหลาดกระพริบตาปริบ ๆ ในดวงตาของมันเริ่มกลับมามีลำแสงสีแดงเรืองรองอีกครั้ง ฉู่ชวิ๋นหนังหัวชายิบ เขาจะจัดการมันเลยดีไหมนะ? คงไม่ปลอดภัยถ้าปล่อยให้ตัวประหลาดกลับไปอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งอีก
แต่โชคดีที่ตัวประหลาดสามารถควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง
“บนแดนสวรรค์มีอยู่ด้วยกัน 4 สำนักใหญ่ พวกมันตกลงกันว่าจะผลัดกันส่งคนมาประจำการที่นี่ทุก ๆ 500 ปี แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ ข้าจึงอยู่ที่นี่อย่างโดดเดียวมาหลายพันปีแล้ว” ตัวประหลาดพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าและโดดเดี่ยว
ที่แท้ก็โดนหักหลังนี่เองสินะ ฉู่ชวิ๋นคิดอยู่ในใจ
“ตั้งแต่ที่เริ่มทำสงครามพุ่งรบกัน ดาวเคราะห์โลกก็แทบจะกลายเป็นสถานที่แห่งความสูญเปล่า ผู้คนจำนวนมากถูกค่ายกลจองจำ ฝ่ายคนของดินแดนสวรรค์ก็บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย คนที่เหลืออยู่ก็ต้องถูกส่งมาเฝ้าตามสถานที่ต่างๆ แบบข้า…” ตัวประหลาดรำพึง “แต่พวกมันก็ละทิ้งข้า ครอบครัวของข้าละทิ้งข้าไปแล้ว”
ตัวประหลาดพูดด้วยความโกรธแค้น แต่ฉู่ชวิ๋นก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าตามข้อมูลที่ตัวประหลาดบอกมา 4 สำนักใหญ่บนแดนสวรรค์จะต้องส่งคนมาสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเฝ้าสถานที่แห่งนี้ แต่โชคร้ายที่ตัวประหลาดต้องอยู่รักษาการณ์ที่นี่มาหลายพันปี โดยที่ไม่มีผู้ใดมารับตำแหน่งแทนมันเลย
ทันใดนั้น สีหน้าของฉู่ชวิ๋นแปรเปลี่ยนไป ชายหนุ่มรีบกระโดดถอยหลังออกห่าง แต่แล้วกลับมีม่านพลังสีแดงสว่างไสวมาห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้
ฟู่!
ร่างกายของฉู่ชวิ๋นห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีแดง ในขณะที่ภายในร่างกายพลังลมปราณก็เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ทำให้ตัวเขาเปล่งแสงสว่างมากยิ่งขึ้นภายในม่านพลังสีแดงนั้น
สิ่งที่ทำให้ฉู่ชวิ๋นตื่นตระหนกก็คือ ม่านพลังสีแดงนี้มีความแข็งแกร่งมาก ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้แหลกสลายลงไปได้โดยง่าย
ไม่กี่อึดใจต่อมา เขาก็ถูกดึงกลับไปหาตัวประหลาดอีกครั้ง
ฉู่ชวิ๋นไม่แสดงท่าทีตื่นตกใจ แต่เขาโคจรพลังทั่วร่างกายเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ตัวประหลาดวางแผนร้ายต่อเขาอยู่จริง เขาก็จะไม่ยอมให้มันทำสำเร็จง่ายๆ แน่นอน
“แกวางแผนจะทำอะไรกันแน่?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ตัวประหลาดยิ้มกริ่ม “ข้าอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้ว ข้าหิวเหลือเกิน ข้าอยากกินเจ้า”
“ฉันเป็นแค่วิญญาณ กินเข้าไปแกจะอิ่มได้ยังไง?” ฉู่ชวิ๋นพลันหัวเราะเยาะ
ตัวประหลาดกระซิบกระซาบว่า “น่าเบื่อจริง ๆ ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น”
“นี่มันไม่ตลกเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความฉุนเฉียว นอกจากตอนปะทะฝีมือกับจักรพรรดิอ๋าวฮวงแล้ว นี่คือครั้งแรกที่เขารู้สึกตกเป็นรองอย่างแท้จริง ชายหนุ่มรีบบอกกับตนเองว่าจะต้องรีบเลื่อนระดับพลังขึ้นไปให้เร็วที่สุดให้ได้ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ความภาคภูมิใจในการเป็นจักรพรรดิเซียนคงได้สูญหายกันหมดพอดี
“ข้าแค่อยากทำให้เจ้ารู้ว่า ถ้าข้าอยากทำร้ายเจ้าจริง ๆ แค่ดีดนิ้วข้าก็จัดการเจ้าได้แล้ว” พูดจบ ตัวประหลาดก็สลายม่านพลังสีแดงให้เขา
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกรำคาญใจอยู่ไม่น้อย ตัวประหลาดตัวนี้เหมือนร่างฝาแฝดของ จักรพรรดิอ๋าวฮวงไม่มีผิด เขาอดใจไม่ไหวต้องตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ตัวเองยังโดนล่ามโซ่อยู่แบบนี้ ยังมีหน้ากล้าพูดจาอวดดีอีกนะ”
ผลั่ก!
ตัวประหลาดโบกมือใส่ฉู่ชวิ๋น ร่างวิญญาณของชายหนุ่มกลิ้งกระเด็นไปบนพื้นหลายตลบ
“เจ้าหนู จงระมัดระวังคำพูดให้มากกว่านี้!” ตัวประหลาดชำเลืองมองฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาไม่พอใจ
ฉู่ชวิ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “ฉันจะพูดแบบนี้แหละ ถ้าแกไม่อยากฟัง ฉันก็จะไปแล้ว”
“งั้นก็เชิญ!” ตัวประหลาดชำเลืองตามองเขา
ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นยืนและรีบก้าวเดินตรงไปที่วังน้ำวน เขามายืนอยู่ข้างวังน้ำวนด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะเหลียวหน้ากลับไปหัวเราะใส่ตัวประหลาดว่า “แกมันเป็นตาแก่สติฟั่นเฟือน ขอให้อยู่ที่นี่ต่อไปอย่างมีความสุขแล้วกัน”
พูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็หย่อนขาลงไปในวังน้ำวน
ตู้ม!
วังน้ำวนระเบิดลำแสงสีขาวสว่างจ้า ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเหมือนเหยียบเท้าลงไปในเหล็กร้อนหลอมเหลว เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดในขณะที่หมุนตัวตีลังกากลับหลัง
ฉู่ชวิ๋นนอนดิ้นด้วยความทรมานอยู่บนพื้นดิน ลำแสงสีขาวมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงมากพอที่จะทำให้ลมปราณคุ้มกายของร่างวิญญาณเขาแตกสลายไปในพริบตา
“เจ้าหนู รู้สึกอย่างไรบ้าง?” ตัวประหลาดยิ้มกว้าง
ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นยืนถลึงตาจ้องมองตัวประหลาด มันรู้อยู่แล้วว่าสิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น แต่กลับไม่คิดเดือนเขาเลยสักคำ
“แกรู้วิธีออกไปจากที่นี่ใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมารักษาหน้าอีกแล้ว
ตัวประหลาดตอบว่า “แน่นอน ข้าเป็นคนเฝ้าที่นี่ ข้าต้องรู้อยู่แล้วว่าจะออกไปได้ยังไง”
ฉู่ชวิ๋นมีสีหน้าเคร่งเครียด “เวลาที่สติฟั่นเฟือน แกได้เผลอปล่อยพวกภูตทมิฬออกไปข้างนอกบ้างหรือเปล่า?”
ตัวประหลาดพยักหน้าตอบว่า ”อาจเป็นไปได้”
ฉู่ชวิ๋นได้ยินแบบนี้ก็จ้องมองหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยความเย้ยหยัน พูดว่า “หลังจากสติเลอะเลือนแล้ว ฉันว่าตอนนั้นแกคงจำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก”
ตัวประหลาดทำหน้าตื่นตกใจ แล้วกล่าวว่า “ฉลาดไม่ใช่น้อย แต่เจ้าไม่มีทางกลับออกไปได้หรอก จงอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่เสียดีๆ”
“…” ฉู่ชวิ๋นถึงกับพูดอะไรไม่ออก นึกเป็นกังวลอยู่ในใจว่าตัวประหลาดผู้นี้มีบุคลิกแปลกประหลาดพิสดาร ถ้าไม่สามารถรีดเค้นคำตอบออกมาได้ เกรงว่าเขาคงต้องติดอยู่ที่นี่จริงๆ เสียแล้ว
“แกก็รู้ ฉันเป็นเพียงแค่ร่างวิญญาณ คงทนอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงเดือน” ฉู่ชวิ๋นกล่าว “ท้ายที่สุด ที่นี่ก็จะมีคนสติเลอะเลือนเพิ่มอีกคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง”
ตัวประหลาดพยักหน้า พูดว่า “ถูกต้อง แต่อย่างน้อยก็ลองอยู่กับข้าสัก 29 วันก็แล้วกัน”
“หลังจากครบ 29 วันแล้ว แกจะปล่อยตัวฉันไปใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นถาม
ตัวประหลาดส่ายหน้า “29 วันกับ 30 วันมันแตกต่างกันตรงไหน? ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าไม่เสียสติก็คงกลายเป็นคนปัญญาอ่อน กลับขึ้นไปข้างบนก็มีแต่สร้างความเดือดร้อนให้คนรอบตัวเจ้าเท่านั้น”
ฉู่ชวิ๋นโกรธแค้นจนใบหน้ากระตุก สวนกลับไปอย่างมีโทสะ “แล้วแกต้องการอะไรกันแน่?”
“ก็ถ้าวันไหนข้าอารมณ์ดี ข้าก็อาจจะปล่อยเจ้าไปเองก็ได้” ตัวประหลาดมีสีหน้าชั่วร้าย
เปรี้ยง!
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชา เขายกมือขึ้นและซัดพลังลมปราณสีม่วงออกไป
ตัวประหลาดไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย พลังลมปราณของชายหนุ่มพุ่งเข้าไปที่ศีรษะของมันอย่างจัง
“เอาอีก!” ตัวประหลาดพูดอย่างชอบใจ
ฉู่ชวิ๋นแน่ใจแล้วว่านี่เป็นเพียงแค่คำขอร้องของคนสติฟั่นเฟือน เขาไม่ใช้พลังอีกแล้ว เก็บพลังเอาไว้ใช้ยามจำเป็นดีกว่า
สิ่งที่ทำให้ฉู่ชวิ๋นเป็นกังวลก็คือในตอนนี้อากาศเต็มไปด้วยลมปราณปีศาจ และพวกมันก็เริ่มกัดกินร่างวิญญาณของเขาแล้ว เขาจะต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ฉู่ชวิ๋นเดินกลับไปที่วังน้ำวนอีกครั้ง ในเมื่อต้องหาทางออก เขาก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด
ถึงวังน้ำวนตรงหน้าจะดูน่ากลัว แต่หลังจากที่เดินวนวิเคราะห์ดูอยู่ครู่ใหญ่ ฉู่ชวิ๋นก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่านี่เป็นค่ายกลชนิดหนึ่ง ซึ่งถูกใครบางคนสร้างเอาไว้เฉพาะจุด ไม่เกี่ยวพันกับบริเวณอื่น
ฉู่ชวิ๋นเริ่มต้นสำรวจมองหาจุดศูนย์กลางค่ายกล
ตัวประหลาดเฝ้าจ้องมองฉู่ชวิ๋น ดวงตาของมันเป็นประกายระยิบระยับ สุดท้ายแล้วก็ทนไม่ไหว ต้องถามออกมาว่า “เจ้ารู้จักค่ายกลด้วยงั้นหรือ?”
ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจ จดจ่อสมาธิอยู่ที่วังน้ำวนตรงเบื้องหน้า