จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 371 บุญคุณครั้งใหญ่
บทที่ 371 บุญคุณครั้งใหญ่
ลมปราณปีศาจพวยพุ่งออกมาจากตัวประหลาด ฉู่ชวิ๋นดูดซับพลังอย่างหิวกระหาย พันธนาการแห่งท้องฟ้าเปล่งประกายเรืองรอง แปรสภาพลมปราณปีศาจให้เป็นผลดีต่อร่างกาย
ตัวประหลาดมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า มันเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานลมปราณปีศาจก็จะถูกขับออกจากร่างกายของมันจนหมดสิ้น
ฉู่ชวิ๋นเองก็มีความสุขมาก ร่างวิญญาณของเขาได้รับผลประโยชน์เต็มๆ
การดูดลมปราณปีศาจดำเนินไปทั้งสิ้นห้าวัน
รูปลักษณ์ของตัวประหลาดเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เส้นผมที่แห้งเหมือนฟางข้าวของมันกลับกลายเป็นสีดำ ลมหายใจก็เป็นจังหวะมั่นคงมากขึ้น ร่างกายที่ผอมหนังติดกระดูกก็ดูมีน้ำมีนวล
ทางด้านของฉู่ชวิ๋นก็ได้ประโยชน์ไม่น้อย ถึงเขาจะยังเลื่อนขั้นพลังวิญญาณเป็นขั้นที่สามไม่ได้ แต่ร่างวิญญาณของเขาในตอนนี้ก็แข็งแกร่งดั่งภูผา
“อีกวันเดียว ลมปราณปีศาจก็จะถูกขับออกไปจากร่างกายของแกจนหมดแล้ว” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
เกิดความเปลี่ยนแปลงกับตัวประหลาดอย่างมหาศาล มันไม่ได้เป็นคนวิกลจริตอีกต่อไป ร่างกายของมันเรืองรองด้วยออร่าสีขาวผ่อง ลมหายใจของมันเป็นจังหวะ ผิวหนังเรียบเนียนราวกับผิวหยก
“ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว” ตัวประหลาดได้แต่พูดคำนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าตอบว่า “ถูกต้อง แกคงปล่อยฉันไปได้แล้วสินะ”
ตัวประหลาดยิ้มกว้าง “ว่ากันตามตรง ถ้าเจ้าไม่กวนประสาทข้าตั้งแต่แรก ข้าก็วางแผนจะปล่อยเจ้าไปอยู่แล้ว”
ฉู่ชวิ๋นกลอกตามองบน ไม่เชื่อที่อีกฝ่ายพูดเสียเท่าไหร่
“เอาละ ข้ามีนามว่าเหวินยวี่เฉิน เจ้ามีนามว่าอันใด?”
“ฉู่ชวิ๋น”
“สหายน้อยฉู่ชวิ๋น ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ายังหนุ่มแน่นถึงเพียงนี้ แต่มีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งไม่ใช่เล่น ข้าเหวินยวี่เฉินคนนี้ต้องขอคารวะ” เหวินยวี่เฉินพูดด้วยความชื่นชม
จนกระทั่งบ่ายวันต่อมา ลมปราณปีศาจก็ถูกขับออกจากร่างกายของตัวประหลาดจนหมดสิ้น
ตัวประหลาดร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“ลมปราณปีศาจก็ถูกขับออกจากร่างกายหมดแล้ว แกวางแผนจะทำอะไรต่อไป?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“คิดว่าข้าจะออกไปข้างนอกหรือ?” ตัวประหลาดหัวเราะเยาะเย้ย จากนั้นสีหน้าก็ซึมเศร้าไป มันดึงโซ่ที่ล่ามตัวอยู่ให้เขาดูพร้อมกับพูดว่า “ต่อให้ลมปราณปีศาจถูกขับออกจากร่างกายแล้ว แต่โซ่เส้นนี้ก็ทำให้ข้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี”
ฉู่ชวิ๋นลองกระตุกสายโซ่ พร้อมกับลองใช้พลังจิต แต่ไม่ว่าลองดึงสักแค่ไหน สายโซ่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขาดสะบั้นเลย
“เปล่าประโยชน์” ตัวประหลาดส่ายศีรษะดิก “โซ่เส้นนี้ทำมาจากเหล็กสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ไม่สามารถทำลายได้”
“แล้วไม่มีทางปลดโซ่ออกได้เลยหรือไง?”
ตัวประหลาดตอบว่า “มีหนทางอยู่ นั่นก็คือกุญแจปลดโซ่ที่อยู่ในมือของผู้ที่จะต้องมาเฝ้าที่นี่แทนข้า”
“ต้องใช้กุญแจดอกนั้นเพียงอย่างเดียวเลยเรอะ?” ฉู่ชวิ๋นไต่ถาม
ตัวประหลาดยิ้มด้วยความขมขื่น ตอบว่า “นอกจากกุญแจแล้ว ไม่มีอะไรที่จะสามารถปลดโซ่เส้นนี้ได้อีก เว้นแต่ว่าจะมีผู้แข็งแกร่งขั้นราชันย์เซียนมาที่นี่เท่านั้น”
ฉู่ชวิ๋นรู้เพียงแต่ว่าขั้นพลังที่อยู่เหนือขั้นจักรพรรดิ ก็คือขั้นเซียน ขั้นเซียนปฐพี และขั้นเซียนสวรรค์ ไล่เรียงกันขึ้นไปแต่ต่อจากนั้นเขาไม่รู้แล้ว
“ว่าแต่ไอ้ขั้นพลังของพวกเซียนนี่มันเป็นยังไงนะ?” ฉู่ชวิ๋นถามต่อ
เหวินยวี่เฉินมองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้เลยงั้นหรือ?”
“ตอนนี้ขั้นพลังที่สูงสุดของมนุษย์โลกคือขั้นจักรพรรดิ ยังไม่มีใครขึ้นไปถึงขั้นเซียนเลยสักคน แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง?”
เหวินยวี่เฉินพูดอะไรไม่ออกจนสุดท้ายก็ต้องพึมพำออกมาว่า “ไม่แปลกใจเลยที่คนของแดนสวรรค์จะละทิ้งโลกนี้ไป โลกที่ครั้งหนึ่งเคยอุดมไปด้วยคนมากฝีมือ กลายเป็นสถานที่ต่ำต้อยแบบนี้ได้อย่างไร?”
หลังจากนั้น เหวินยวี่เฉินก็บอกเล่าเรื่องราวของเทพเซียนให้ฉู่ชวิ๋นฟัง และยังสรุปให้ฟังโดยย่อว่าขั้นพลังของเหล่าเซียนจะมีดังนี้ เริ่มต้นจากขั้นเซียนแท้จริง ขั้นเซียนรู้แจ้ง ขั้นราชันย์เซียน และขั้นเทพเซียน
ฉู่ชวิ๋นนึกสงสัยอยู่ครั่นคร้าม พลังฝีมือของจักรพรรดิอ๋าวฮวงจะจัดอยู่ในระดับไหนกันนะ?
“สหายน้อยฉู่ชวิ๋น ถ้าสักวันหนึ่งข้าได้ออกไปจากที่นี่ ข้าจะต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน” เหวินยวี่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ส่งศิลาวิญญาณที่เป็นจุดศูนย์กลางค่ายกลมาให้ “หากเจ้ามีเวลาว่างก็ลงมาคุยกับข้าบ้าง อยู่ที่นี่ข้าเหงาเหลือเกิน”
ฉู่ชวิ๋นรับศิลาวิญญาณมาถือไว้ สบตามองเหวินยวี่เฉินพลางถามว่า “ใครเป็นคนที่จะต้องมาอยู่เฝ้าที่นี่ต่อจากนายล่ะ? ถ้าสักวันหนึ่งฉันได้เจอมัน ฉันจะได้แย่งกุญแจมาช่วยนายออกไปจากที่นี่”
เหวินยวี่เฉินจ้องมองฉู่ชวิ๋นในความเงียบงัน หลังจากนั้นดวงตาก็เป็นประกายระยิบระยับ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ขอบใจมาก ถ้าข้าได้ออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ จากนี้ไปไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะยืนอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า “ฉันไม่ได้หวังผลอะไรตอบแทนหรอก แต่ถ้าวันนึงนายได้กลับไปอยู่ดินแดนสวรรค์จริง ๆ ฉันก็หวังว่านายคงไม่เป็นศัตรูกับฉันหรือกับมนุษย์โลกนะ”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกสังหรณ์ใจว่าในอนาคตจะต้องเกิดการต่อสู้ระหว่างดินแดนสวรรค์กับโลกมนุษย์อย่างแน่นอน
“ข้าเนี่ยนะจะเป็นพวกเดียวกับดินแดนสวรรค์?” เหวินยวี่เฉินพูดอย่างเย็นชา “ถ้าได้ออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ ข้าจะขึ้นไปฆ่าล้างบางคนของดินแดนสวรรค์ให้หมดสิ้น!”
ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่นายมาติดอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เหวินยวี่เฉินเงียบไปอึดใจใหญ่ บางทีคงกำลังเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม สุดท้ายก็ตอบออกมาว่า “เมื่อนานมาแล้ว สี่สำนักใหญ่บนดินแดนสวรรค์ได้ช่วยกันกักขังเผ่าพันธุ์ภูตทมิฬไว้ที่นี่ แต่ม่านพลังไม่แข็งแกร่งมากพอ พวกปีศาจยังสามารถหลุดรอดออกไปได้ ดังนั้นจึงต้องมีคนถูกส่งมาเฝ้ารักษาการ สี่สำนักใหญ่จะส่งตัวแทนมาครั้งละหนึ่งคน คอยสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเฝ้าที่นี่คนละ 500 ปี”
“แต่นายเฝ้ามาหลายพันปีแล้ว ก็ไม่มีใครมารับช่วงต่อใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นพูด
เหวินยวี่เฉินพยักหน้า “ถูกต้อง และเป็นเพราะไอ้โซ่บ้า ๆ เส้นนี้ที่ทำมาจากเหล็กสวรรค์เก้าชั้นฟ้านั่นแหละ ข้าถึงออกไปไหนไม่ได้ ตัวมันเองถือเป็นสมบัติสวรรค์ชิ้นหนึ่ง ประโยชน์อย่างเดียวก็คือช่วยชะลอความเร็ว ไม่ให้ลมปราณปีศาจกัดกร่อนข้ามากเกินไป”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เขาตรวจสอบโซ่เส้นนี้ด้วยตัวเองแล้ว มันมีความแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ไม่แปลกใจเลยที่มันเป็นสมบัติสวรรค์ชิ้นหนึ่ง
“สหายน้อยฉู่ชวิ๋น เจ้าอยู่ที่นี่มาเดือนกว่าแล้ว โลกภายนอกคงผ่านไปได้ 2 ปีกว่า ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้าง เจ้ารีบกลับไปเถอะ” เหวินยวี่เฉินกล่าวต่อ “ในระหว่างที่ข้ารอให้เจ้าหากุญแจมาช่วย ข้าจะถือโอกาสนี้ใช้เวลาเรียกคืนพลังลมปราณเสียหน่อย หลายพันปีที่ผ่านไป ลมปราณปีศาจพวกนี้ทำให้พลังของข้าเสื่อมถอยไปไม่น้อย”
“ดินแดนภูตทมิฬคงต้องฝากให้นายดูแลไปก่อน” ฉู่ชวิ๋นพูดกับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
“วางใจได้ ข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน รับรองว่าพวกปีศาจไม่ได้หลุดรอดออกไปอีกแล้ว”
…
ณ โลกภายนอก ฉู่ชวิ๋นหมดสติไปเกือบ 3 ปีเต็ม
มีหลายสำนักใหม่ยิ่งใหญ่ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักเทวามรณะ สำนักวัชร หรือสำนักนกยูงปีศาจ เป็นต้น
ฉู่ชวิ๋นหายตัวไม่ทราบข่าวคราวไปเกือบ 3 ปี โลกภายนอกเกิดความเปลี่ยนแปลง ศัตรูของเขาพร้อมที่จะบุกโจมตีมานานแล้ว
วังมังกรเพลิงต้องรับมือการบุกโจมตีจากศัตรูอยู่หลายครั้ง
ประตูวิญญาณสลาย สำนักดาบพิฆาต และสำนักพันธมิตรอื่น ๆ พร้อมใจกันบุกโจมตีวังมังกรเพลิง
จำนวนคนของพวกเขาเป็นรอง ถ้าไม่ได้กองทัพทหารคอยช่วยเหลือ วังมังกรเพลิงคงเหลือเพียงแต่ชื่อไปนานแล้ว
ที่ตั้งของสำนักภูผาทมิฬ ซึ่งคอยเฝ้าคุ้มกันเมืองโบราณกู่เจียงก็ถูกลอบโจมตีหลายครั้งหลายหน ส่งผลให้ผู้คนตกตายจำนวนมาก ถางโร้ว จิ่วโยว หยานอี้และคนอื่น ๆ ออกรบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้าไม่มีจักรพรรดิอ๋าวฮวงคอยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เกรงว่าที่นี่ก็คงถูกทำลายล้างไม่เหลือซาก
ที่ตั้งของสำนักสวรรค์ฟ้าถูกศัตรูจากต่างเมืองบุกโจมตี ประตูที่เชิงเขาโดนทำลาย หวู่ปู้ซือ หายตัวไป
แม้แต่ที่ภูเขาเฉียนหลงก็ถูกกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายโจมตีเช่นกัน แต่พวกมันก็ต้องล้มเหลวเพราะไม่สามารถฝ่าม่านพลังเข้าไปได้
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ปราสาทจตุรเทพที่ต้องเผชิญกับการพุ่งรบเช่นกัน กองทัพผีดิบยกขบวนเข้าโจมตี ถึงแม้จะมีจิงหงกับหยานหวูซวงคอยช่วยรับมือ แต่มู่เทียนกับหลินชิงเฟิงก็ต้องเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้อันดุเดือด
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงของโลกนั้นน่ากลัวมาก สัตว์ร้ายสามารถพูดภาษามนุษย์ได้และออกปากขับไล่ให้ชาวบ้านอพยพออกจากเมือง
หมาป่าสีครามมีความน่ากลัวมากที่สุด มันป่าวประกาศให้ชาวเมืองอพยพออกไปในเวลา 2 วันไม่เช่นนั้นจะฆ่าให้หมด
แน่นอนว่าชาวบ้านไม่ยอมละทิ้งถิ่นฐานของตนเอง ส่งผลให้ฝูงหมาป่าสีครามโกรธแค้น พวกมันบุกเข้ามาสังหารหมู่ชาวบ้านและยึดครองเมืองเป็นรังของเผ่าพันธุ์หมาป่า
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างเกิดขึ้น ฝูงนกยูงปีศาจก็เข้ายึดครองเมืองแห่งหนึ่งเช่นกัน พวกมันขับไล่ชาวบ้านออกไปหลายพันคน และตั้งสำนักนกยูงปีศาจขึ้นมา
แต่ผู้ที่มีความทะเยอทะยานมากที่สุดก็คือสำนักเทวามรณะ พวกมันอยากจะยึดครองเมืองหลวง วังมังกรเพลิงจึงออกมาประกาศให้ทุกคนอพยพออกไปให้หมด
ในขณะนี้ที่ปราสาทจตุรเทพ หยานหวูซวงกำลังดุด่าฉู่ชวิ๋นด้วยความเดือดดาล แน่นอนว่ามันเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มเท่านั้น จิงหง สร้างม่านพลังเวทย์มนต์คุ้มครองร่างกายของฉู่ชวิ๋นเอาไว้อย่างดี ดังนั้น ร่างกายของชายหนุ่มจึงยังสมบูรณ์เหมือนเดิมทุกประการ
“ฉู่ชวิ๋น ตอนนี้พี่เป็นหรือตายกันแน่? ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ” หยานหวูซวงต้องออกไปต่อสู้หลายวันติด บาดแผลเก่ายังไม่ทันหาย บาดแผลใหม่ก็เพิ่มเติมมาอีกแล้ว
ครืน! พื้นดินสั่นสะเทือน ปราสาทจตุรเทพสั่นไหว
สีหน้าของหยานหวูซวงแปรเปลี่ยนไปทันที เหมือนจะเกิดการระเบิดขึ้นไม่ไกลจากที่นี่
“คุณชายหยาน นายท่านเชิญตัวครับ พวกผีดิบมันบุกมาถึงหน้าประตูปราสาทแล้ว” ลูกศิษย์คนหนึ่งของปราสาทจตุรเทพวิ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นกลัว
หยานหวูซวงพลันสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง พวกผีดิบบุกมาถึงหน้าประตูปราสาทได้แล้ว ดูเหมือนว่าวาระสุดท้ายของพวกเขากำลังใกล้เข้ามาทุกที
“จอมมารฉู่ชวิ๋น พี่ได้ยินฉันหรือเปล่า? ถ้าพี่ยังไม่ตื่น ฉันจะโกรธแล้วนะ”
หยานหวูซวงพึมพำด้วยความขมขื่น “แต่ถ้าพี่ตื่นมาพบว่าฉันตายไปแล้วก็ ฝากดูแลตระกูลหยานของฉันด้วย”
ตระกูลหยานก็ถูกโจมตีหนักไม่น้อยเช่นกัน และผู้โจมตีก็คือพวกตระกูลจังนั่นเอง แต่แทนที่คุณชายหนุ่มจะกลับไปช่วยเหลือครอบครัวของตัวเอง เขากลับเลือกที่จะปักหลักต่อสู้คอยอยู่ช่วยเหลือปราสาทจตุรเทพต่อไป
หยานหวูซวงชำเลืองมองกลับไปที่ร่างของฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินตรงไปที่ประตูปราสาท
“ปราสาทจตุรเทพ ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าอพยพออกไปจากดินแดนพายัพเดี๋ยวนี้ เพราะว่า ณ บัดนี้ ที่นี่คืออาณาเขตของเผ่าพันธุ์ผีดิบแล้ว” ผีดิบตัวนี้มีขั้นพลังที่แข็งแกร่งมาก ดูจากมวลพลังที่ลอยออกมาจากตัวมัน ประเมินได้ว่ามีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 เลยทีเดียว
ด้านหลังของมันยังมีฝูงผีดิบอีกหลายร้อยตัว ยืนรวมกันอยู่ท่ามกลางหมอกลมปราณสีดำที่ลอยตลบอบอวลในอากาศ
ทางด้านกำลังคนของปราสาทจตุรเทพ เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพร้อมด้วยบุตรชายทั้งสี่คน จิงหง หยานหวูซวง คือขุมกำลังที่แข็งแกร่งมากที่สุดในตอนนี้ ส่วนคนที่เหลือที่พอสู้ไหวก็มีบรรดาผู้อาวุโส ส่วนเหล่าลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพ ทุกคนมีฝีมืออ่อนด้อยมากเกินไป ไม่สามารถออกไปสู้รบได้ ทำได้แต่เพียงรอคอยความตายเท่านั้น
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยสีหน้าเครียดขรึม ในขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกฉันไม่มีทางอพยพออกจากดินแดนพายัพ ปราสาทจตุรเทพอยู่มาหลายพันปี จะไม่ยอมให้ผีเร่ร่อนอย่างพวกแกมายึดครองไปได้ง่าย ๆ เด็ดขาด”
“เยวี่ยฟ๋านเตี๋ย กองทัพผีดิบของพวกข้า ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้อีกแล้ว ตอนนี้ข้ามีทางเลือกให้เจ้าสองทาง ทางแรกยอมศิโรราบต่อกองทัพผีดิบของพวกข้า หรือทางที่สอง พวกเจ้าจะต้องถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น” หัวหน้าผีดิบพูดด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน
“ให้พวกฉันยอมศิโรราบต่อศพเดินได้เนี่ยนะ ไม่แปลกใจเลยที่พวกแกจะหน้าด้านหน้าทนได้ขนาดนี้” หยานหวูซวงกล่าวเหน็บแนม กล้ามเนื้อบนใบหน้าของพวกผีดิบแข็งกระด้างไม่ต่างจากก้อนหิน ปราศจากความรู้สึกเขาเลยพูดแบบนี้
หัวหน้ากองทัพผีดิบยกมือขึ้นสูง ซัดลมปราณสีดำตรงเข้าใส่หยานหวูซวง มันมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 เวลา 3 ปีที่ผ่านมา หยานหวูซวงสามารถบรรลุพลังขึ้นมาได้อีกหนึ่งระดับ ทำให้กลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือของฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี
จังหวะนี้ จิงหงยกมือขึ้นสะบัดแส้สีขาว ปัดลำแสงสีดำกระจายหายวับ
3 ปีผ่านไป จิงหงพื้นฐานพลังมั่นคงมากขึ้น ขณะนี้เธออยู่ในขั้นแก่นแท้ลมปราณขั้นต้น ซึ่งเทียบเท่ากับพลังของฉู่ชวิ๋น แต่ความแตกต่างระหว่างฝีมือการต่อสู้ของเธอกับชายหนุ่มก็ยังคงมีมากเกินไป
อย่าลืมว่านอกจากฉู่ชวิ๋นจะมีพลังขั้นแก่นแท้ลมปราณแล้ว เขายังใช้พลังลมปราณจำแลงได้อีกด้วย แถมยังมีสายเลือดและโครงกระดูกมังกร ผู้มีพลังในขั้นเดียวกันไม่มีทางสู้เขาได้เลย
กองทัพผีดิบไม่เคลื่อนไหว แต่จิงหงต้องถอยหลังกลับมาก่อน
“เจ้าพวกมนุษย์ต่ำต้อยนี่ช่างน่ารำคาญจริง ๆ” หัวหน้าผีดิบพูดด้วยความเหยียดหยาม
“คิดอยากจะมาครอบครองที่อยู่ของมนุษย์ ฝันไปเถอะ” จิงหงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา โคจรพลังลมปราณแผ่กระจายไปทั่วร่าง
หัวหน้าผีดิบระเบิดเสียงหัวเราะแปลกแปร่ง พูดว่า “บริวารของข้ารายงานว่า พวกเจ้ามีผู้มากฝีมืออยู่ด้วยคนหนึ่ง ตอนนี้มันอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ?”
ทุกคนทราบดีว่ามันกำลังถามถึงฉู่ชวิ๋น เมื่อคิดถึงฉู่ชวิ๋น พวกเขาก็เป็นกังวลขึ้นมาแล้ว 3 ปีผ่านไป ชายหนุ่มจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่มีใครทราบ
“ถ้าเขาอยู่ที่นี่ พวกเจ้ายังจะกล้าอาละวาดอยู่อีกไหม?” จิงหงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
หัวหน้าผีดิบมีกล้ามเนื้อบนใบหน้าตายด้าน ใบหน้าของมันไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย มันได้แต่ขยับปากเค้นเสียงหัวเราะออกมา “มนุษย์ชอบคุยโวโอ้อวดเสียจริง ข้าว่ามันผู้นั้นคงหวาดกลัวจนหลบหนีไปแล้วมากกว่า”
“สามหาว แกกำลังพูดถึงจอมมารฉู่ชวิ๋น เขาเคยหนีใครที่ไหน? ถ้าเขาปรากฏตัวเมื่อไหร่ มีแต่พวกแกนั่นแหละที่จะต้องหนี” หยานหวูซวงหัวเราะเยาะหยัน แม้ยามปกติเขาจะหาเรื่องทะเลาะกับฉู่ชวิ๋นตลอดเวลา แต่คุณชายหนุ่มก็เชื่อมั่นในพลังฝีมือของฉู่ชวิ๋นเสมอ
“เปล่าประโยชน ดูเหมือนว่าพวกเจ้าคงไม่ยอมศิโรราบต่อพวกข้าสินะ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ปราณี” หัวหน้าผีดิบยกแขนที่ยาวเก้งก้างของมันขึ้นสูง ก่อนจะตวัดลงพร้อมกับคำราม “ฆ่าพวกมันให้หมด!”