จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 375 กอดกันหน่อย
บทที่ 375 กอดกันหน่อย
วันต่อมา
ฉู่ชวิ๋นออกเดินทางมาเงียบ ๆ โดยไม่รบกวนผู้ใด
หยานหวูซวงได้รับบาดเจ็บ จิงหงต้องอยู่คุ้มกันที่นี่เพื่อให้แน่ใจว่าพวกผีดิบจะไม่กลับมาอีก ฉู่ชวิ๋นเลยต้องเดินทางคนเดียว
ตอนบ่าย ฉู่ชวิ๋นกลับมาถึงเมืองกู่เจียง
ประชาชนเดินทางบนถนนด้วยความเร่งรีบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ฉู่ชวิ๋นเดินทางมาที่สำนักภูผาทมิฬทันที เขาพบว่ามีคนคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตู จึงเปลี่ยนไปเข้าทางประตูหลังอย่างเงียบงัน ไม่ให้ผู้ใดรู้ตัว
เมื่อมาถึงชายหนุ่มก็ใช้พลังจิตวิญญาณสำรวจบริเวณโดยรอบ เขาค้นพบตำแหน่งของถางโร้วอย่างง่ายดาย
ในห้องประชุมขณะนี้กำลังชุมนุมด้วยพวกของถางโร้ว จิ่วโยว หยานอี้ ยัยตัวร้าย และผู้อาวุโสอีกหลายคน
หยานอี้สีหน้าซีดขาว บ่งบอกว่าได้รับบาดเจ็บ
ส่วนคนอื่นก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
“เมื่อกี้ฉันเห็นมากับตา มีคนเฝ้ามองพวกเราอยู่หน้าประตู ประเมินได้ว่าพวกมันคงบุกมาคืนนี้แน่นอน” หยานอี้กำมือเป็นหมัดแนบแน่น
“พวกมันพยายามขังเราไว้ที่นี่” ระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ถางโร้วเปลี่ยนแปลงไปมาก เธอแข็งแกร่ง เก่งกล้าไม่ใช่เด็กสาวที่อ่อนแออีกต่อไป
“พวกมันกล้าบุกเข้ามา ก็ฆ่าให้หมด!” จิ่วโยวยังคงมีเสียงเป็นเด็กน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเกรงใจเด็กผู้หญิงคนนี้ ท่ามกลางกลุ่มคนที่นั่งประชุมอยู่ตอนนี้ จิ่วโยวคือผู้ที่มีพลังฝีมือแข็งแกร่งที่สุดและเป็นคนที่สังหารศัตรูได้เยอะที่สุด
“แต่ตอนนี้ลูกศิษย์ของพวกเรากำลังตื่นกลัว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ขวัญกำลังใจของทุกคนคงหายหมด ไม่มีเรี่ยวแรงออกไปต่อสู้อีกแล้ว” ยัยตัวร้ายก็ดูมีอายุขึ้นมาก ขณะนี้ระดับพลังของเธอขึ้นสู่ขั้นจักรพรรดิแล้ว
“ดูเหมือนว่าพวกมันตัดสินใจจะฆ่าเราแล้วสินะ” หงหลิงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ท่านพี่หงหลิง ขอบคุณมากนะคะ ที่มาช่วยพวกเรา” ถางโร้วสบตามองหญิงสาวผู้งดงามที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามด้วยความชื่นชม
หงหลิงผู้หายตัวเดินทางไปฝึกตนถึงต่างประเทศอย่างยาวนาน ขณะนี้มีพลังฝีมือขั้นจักรพรรดิระดับ 3 เมื่อได้ยินว่าสำนักภูผาทมิฬประสบปัญหาเธอก็รีบเดินทางมาช่วยเหลือทันที
“จะเกรงใจไปทำไม? ฉู่ชวิ๋นกับฉันเป็นเพื่อนกัน เขาคงอยากให้ฉันคอยดูแลเธอ ไม่งั้นตอนที่เขากลับมาแล้วไม่เจอใคร เขาคงโกรธมากแน่ ๆ!” หงหลิงเป็นเช่นนี้เสมอ เธอมักจะคอยให้กำลังใจคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
ถางโร้วแก้มแดงระเรื่อ พึมพำว่า “พี่ฉู่ชวิ๋นนี่ละก็ไม่รู้หายไปไหน ไม่ยอมกลับมาสักที?”
“ที่ตั้งของสำนักสวรรค์ฟ้าถูกทำลายล้าง น้องอู๋ก็หายตัวไป ส่วนนายท่านฉู่ชวิ๋นก็ไม่มีใครทราบที่อยู่ สำนักภูผาทมิฬพบเจอการจู่โจมอย่างหนัก ปราสาทจตุรเทพก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน เราไม่มีกำลังคอยสนับสนุนแบบนี้ ไม่รู้เลยว่าจะต้านทานพวกมันได้อีกนานสักแค่ไหน?” หยานอี้พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ทุกคนรีบพักผ่อนกันดีกว่า พวกมันมาปิดล้อมเราเจ็ดคืนติดกันแล้ว ยังไงคืนนี้พวกมันก็คงมาอีกแน่” หงหลิงกล่าว
ทุกคนพยักหน้า ห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ
“มีคนแอบฟัง ตายซะเถอะ!”
จิ่วโยวพลันร้องตะโกน ยกมือขึ้นลำแสงสีเงินสว่างวาบแล้วหอกเงินเล่มหนึ่งก็พุ่งละลิ่วไปที่ประตู ตัวหอกทะลุประตูออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงรูเล็กๆ บนบานประตู
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ประตูด้วยความตึงเครียด
หลังจากที่จิ่วโยวปาหอกไปแล้ว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก
“นั่นใคร? ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” หยานอี้คำรามด้วยความฉุนเฉียวในขณะที่ยกมือขึ้นซัดพลังลมปราณใส่ประตู
เปรี้ยง! ลมปราณสีม่วงเป็นประกายสว่างไสวโอบล้อมบานประตูเอาไว้
พลังลมปราณของหยานอี้ปะทะเข้ากับลมปราณสีม่วงนั้น เปรียบดั่งสายน้ำที่ไหลลงสู่ทะเล เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ทุกคนตื่นตัว จ้องมองไปที่บานประตูอย่างเตรียมพร้อมลงมือ
แอ๊ด!
ประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาตรงหน้าทุกคน
พวกเขาไม่อยากเชื่อสายตา สีหน้าตกตะลึงไปตามๆ กัน
“พี่ฉู่ชวิ๋น!” ถางโร้วยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตื่นเต้น
จิ่วโยววิ่งเข้าไปกระโดดกอดฉู่ชวิ๋น โอบแขนรัดรอบลำคอของเขาไม่ยอมปล่อย
ถางโร้วที่กำลังจะเดินเข้ามาชะงักกึก จิ่วโยวแย่งอ้อมกอดของเธอไปซะแล้ว
ฉู่ชวิ๋นก้าวเท้าเข้ามากวาดตามองทุกคน พูดพร้อมหัวเราะ “เป็นอะไรกันไปหมด? จำฉันไม่ได้แล้วหรือไง?”
“นายท่าน!” หยานอี้รีบประสานมือก้มกายคำนับด้วยความตื่นเต้นจนตัวสั่น
คนที่เหลือของสำนักภูผาทมิฬไม่มีใครไม่กล้าทำตาม
ฉู่ชวิ๋นพยุงหยานอี้ลุกขึ้นมา พูดว่า “ฉันไม่อยู่คราวนี้ พวกนายคงทำงานหนักเลยสินะ”
“ไม่หนักเลยครับ!”
“หนักมาก” สองคำนั้นดังออกมาจากปากของหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหยานอี้
ชายชราหันไปมองหน้ายัยตัวร้าย เป็นเชิงเตือนให้เธอระมัดระวังคำพูดเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่ชวิ๋น
“ไม่ต้องมองแบบนี้เลยนะ ฉันจะบอกให้ว่าพวกเราเป็นคนของตระกูลฉู่ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เขาที่ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลฉู่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้พวกเราต่อสู้กันตามลำพัง ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจะไม่ให้เรียกว่าทำงานหนักได้ยังไง?” ยัยตัวร้ายยังคงมีนิสัยขวานผ่าซากอยู่เช่นเดิม
“หยานหยาน หยุดพูดไร้สาระเดี๋ยวนี้!” หยานอี้ทำเสียงดุ
ฉู่ชวิ๋นยกมือห้ามปราม “ไม่เป็นไร เธอพูดถูกแล้ว ฉันหายตัวไป 3 ปี ถือว่าไร้ความรับผิดชอบ”
“พี่ฉู่ชวิ๋น” ความเศร้าบนใบหน้าของถางโร้วหายไปทันทีเมื่อเธอได้เห็นหน้าฉู่ชวิ๋น
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง อ้าแขนออก ถางโร้วไม่รอช้า โถมตัวเข้าใส่อ้อมแขนของเขาทันที
“ถางโร้ว เธอเติบโตขึ้นเยอะเลยนะ สามารถดูแลตัวเองได้แล้ว เก่งมาก!”
ฉู่ชวิ๋นมองออกทันทีว่าถางโร้วเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนเธอยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวผู้อ่อนแอและเงียบขรึม แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอด 3 ปีมานี้ ทำให้ถางโร้วเปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน เธอคงผ่านเรื่องราวมามาก
“นี่มันอะไรกัน เทพบุตรสุดหล่อฉู่ชวิ๋นรู้จักแต่แฟนเด็กของตัวเอง แกล้งทำเป็นจำฉันไม่ได้แล้วหรือไง?” หงหลิงโพล่งขึ้นมา เธอเป็นคนหนึ่งที่หลงรัก
ฉู่ชวิ๋น แต่ก็เก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ก้นบึ้งของหัวใจ เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้น ขณะนี้ฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้ว หงหลิงดีใจมากจนน้ำเสียงสั่นเครือไม่รู้ตัว
ถางโร้วหน้าแดงเขินอายให้กับคำพูดของหงหลิง ถึงแม้ว่าเธอยังไม่อยากออกจากอ้อมแขนของฉู่ชวิ๋น แต่ก็เขินอายเกินกว่าที่จะโอบกอดเขาต่อไป
“คราวนี้ต้องรบกวนเธอมากเลยนะ แม่เทพธิดาหงหลิงคนงาม” ฉู่ชวิ๋นยิ้มแย้ม ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าในช่วงวินาทีแห่งความเป็นความตาย หงหลิงกลับเป็นผู้ที่เข้ามากอบกู้สถานการณ์ช่วยเหลือพรรคพวกของเขา
“พูดเป็นแต่คำว่ารบกวนหรือไง หรือว่าท่องมาแค่คำนี้?” หงหลิงบ่นเสียงดัง
“ถ้าอย่างนั้นก็มากอดกันหน่อย ถือว่าเป็นรางวัลก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นอ้าแขนออกกว้าง
หงหลิงหน้าแดงถามพร้อมรอยยิ้มว่า “แล้วฉันมั่นใจได้ยังไงว่านายจะไม่ฉวยโอกาส?”
ถึงปากพูดไปแบบนั้น แต่หงหลิงก็ก้าวออกมาข้างหน้า เดินเข้าสู่อ้อมกอดของฉู่ชวิ๋นอยู่ดี แต่ก็เป็นเพียงการกอดแค่พริบตาเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเธอก็รีบผลักชายหนุ่มออกไป
“แล้วฉันล่ะ!” ยัยตัวร้ายโวยวายขึ้นมาบ้าง
ฉู่ชวิ๋นส่ายศีรษะยิ้มๆ ว่า “ดูเหมือนฉันเนื้อหอมอยู่เหมือนกันนะ มีแต่ผู้หญิงสวย ๆ อยากให้ฉันกอดเต็มไปหมด”
ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปโอบกอดยัยตัวร้าย
“ไม่เจอกันสามปี นายหลงตัวเองยิ่งกว่าเดิมอีก” หงหลิงพูดอย่างอารมณ์ดี
หยานอี้ก็อยากมากอดเขาบ้าง แต่ถูกฉู่ชวิ๋นผลักออกมา
“นายไม่ใช่สาวสวย ไม่ต้องมากอดฉัน” ฉู่ชวิ๋นพูดพร้อมหัวเราะ
หยานอี้ยิ้มกว้าง ฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้ว เท่ากับพวกเขารอดแล้วทำให้สามารถเบาใจขึ้นได้อีกหลายส่วน
“ฉันก็เป็นสาวสวยเหมือนกันนะ” เสียงเด็กน้อยจิ่วโยวดังขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้
ฉู่ชวิ๋นอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ถ้างั้นสาวสวยคนนี้ช่วยปล่อยฉันก่อนได้ไหม เธอรัดคอฉันจนจะหายใจไม่ออกแล้วเนี่ย”
“ไม่” จิ่วโยวไม่ยอมปล่อยอ้อมแขนออกจากรอบลำคอของเขา
“เดี๋ยวนี้ดื้อ ขนาดนี้เลยเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ฉันยังเด็กเกินไป รอฉันโตก่อนฉันจะแย่งนายมาจากพี่ถางโร้วให้ได้ แล้วฉันก็จะแต่งงานกับนาย!” จิ่วโยวพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วหันมองหน้าจิ่วโยว แกะแขนออกจากรอบลำคอและอุ้มเด็กหญิงวางลงบนพื้นห้อง เขากวาดสายตาสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ้มอย่างเอ็นดู “เธอยังตัวเท่าเดิมอยู่เลย”
จิ่วโยวยกมือกอดอก พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นั่นน่ะสิ ทำไมฉันถึงไม่สูงขึ้นเลยล่ะ?”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะลั่น จิ่วโยวมีร่างกายเป็นปีศาจ ชีวิตของปีศาจยืนยาวกว่ามนุษย์มาก ว่ากันตามอัตราส่วน ตอนนี้จิ่วโยวเหมือนมนุษย์อายุ 10 ขวบ แต่สำหรับอายุของปีศาจที่แท้จริงนั้นเพิ่งจะได้ขวบเดียวเท่านั้นเอง
“ไม่เป็นไร รออีกสัก 20 หรือ 30 ปี เดี๋ยวเธอก็สูงกว่านี้เองแหละ” ฉู่ชวิ๋นปลอบใจเด็กหญิง
“โห…ถึงตอนนั้นนายไม่แก่ไปแล้วเหรอ?” จิ่วโยวทำปากยื่น พูดว่า “ไม่ได้ ฉันจะต้องแต่งงานกับนายตอนนี้เลย ไม่งั้นนายกับพี่ถางโร้วมีลูกกันแล้ว อีกหน่อยลูกของพวกนายคงสูงกว่าฉันพอดี”
คำพูดของเด็กน้อยทำให้ทุกคนหัวเราะร่วน
“วางใจเถอะ เอาไว้เธอโตเมื่อไหร่ ฉันจะแต่งงานกับเธอเอง” ฉู่ชวิ๋นพูดติดตลก แต่เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่ามุกตลกของเขาจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่ชีวิตได้อย่างมากมายไปอีกหลายสิบปีหลังจากนี้
ทุกคนนั่งประจำที่ๆ โต๊ะประชุม
ฉู่ชวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “ตกลงพวกที่มาโจมตีเรามันเป็นฝ่ายไหน?”
“ประตูวิญญาณสลาย ครับ” หยานอี้ตอบ “เสื้อคลุมสีดำแบบนั้น มีแต่ประตูวิญญาณสลายพวกเดียวแน่นอน”
“ขุมกำลังของพวกมันล่ะ?”
“แข็งแกร่งมาก พวกมันยกคนมาปิดล้อมเราทั้งหมด 50 คน แต่ไม่ได้บุกโจมตีพร้อมกัน พวกมันจะแบ่งกำลังคนออกเป็นกลุ่มละ 10 คน หัวหน้ากลุ่มเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8”
ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ “จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 งั้นเหรอ? แล้วพวกนายรอดกันมาได้ยังไง?”
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 สามารถสังหารคนของเขาที่นี่ได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ
หยานอี้ตอบด้วยความละอายใจว่า “ทุกครั้งที่มันโจมตีเรา หัวหน้ากลุ่มที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 จะไม่ทำอะไรเลย มันจะปล่อยลูกน้องเข้ามาต่อสู้เท่านั้น เหมือนพวกมันอยากทำให้เราบาดเจ็บ แต่ไม่ได้มีเจตนาฆ่าทิ้ง”
“พวกมันทำตัวเป็นเหมือนแมวเล่นกับหนู พวกมันกำลังกลั่นแกล้งเรา รอให้พวกมันเบื่อเมื่อไหร่นั่นแหละถึงจะฆ่าเราทิ้ง” หงหลิงผ่านประสบการณ์ในโลกยุทธภพมาหลายปี เข้าใจดีถึงเจตนาของพวกมันในครั้งนี้
“พี่ฉู่ชวิ๋น ฉันเห็นด้วยกับพี่หงหลิงนะคะ พวกมันตั้งใจทำให้พวกเราบาดเจ็บ พอทำได้ดั่งใจแล้ว พวกมันก็จะถอนกำลังกลับไปทุกครั้ง” ถางโร้วพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชาดุร้าย หัวเราะเยาะออกมาว่า “คืนนี้ฉันจะสลับบทบาทกับพวกมัน เราจะเป็นแมว พวกมันต้องเป็นหนู”
“พี่ฉู่ชวิ๋น พวกมันมีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ถึง 5 คน พี่จะรับมือไหวหรือคะ?” ถางโร้วถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“อ๋อ…” ฉู่ชวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “วางใจเถอะ ดีดนิ้วทีเดียวก็เรียบร้อยแล้ว”
พวกของหยานอี้รับฟังด้วยความตกตะลึง หลังจากที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างมาอย่างยาวนาน คืนนี้พวกเขาจะได้โต้ตอบชำระแค้นกลับไปบ้าง
จิ่วโยวยื่นมือออกมาข้างหน้าและทวงถาม “หอกเงินของฉันอยู่ที่ไหน?”
“ไม่รู้สิ” ฉู่ชวิ๋นส่ายศีรษะ
“โกหก ก็นายเป็นคนเอาไป” จิ่วโยวร้อนใจมากที่อาวุธหาย
ฉู่ชวิ๋นคลี่ยิ้ม พลิกฝ่ามือขึ้นมา เกิดประกายสีทองเรืองรอง แล้วกระบองช่อหนามด้ามหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
นี่คือกระบองช่อหนามที่ได้มาจากภูเขาคุนหลุน เป็นอาวุธลึกลับชั้นสูง มีอานุภาพรุนแรงมหาศาล
“จากนี้ไปเธอใช้เจ้านี่ก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นอยากให้จิ่วโยวใช้อาวุธดี ๆ กว่านี้
เมื่อเห็นว่าฉู่ชวิ๋นยื่นส่งมาให้ ดวงตาของจิ่วโยวก็เป็นประกายเจิดจ้า เธอรับมันไปถือไม่ยอมวาง รู้สึกได้โดยทันทีว่ากระบองช่อหนามนี้มีอานุภาพที่รุนแรงมากกว่าหอกเงินมาก
ความอิจฉาปรากฏขึ้นในแววตาของทุกคน
ฉู่ชวิ๋นหยิบดาบคู่ธรณีออกมา มันมีลักษณะเหมือนดาบทั่วไป แต่คมดาบมีความแข็งแกร่งมาก จัดเป็นอาวุธลึกลับระดับกลาง ชายหนุ่มมอบมันให้แก่หงหลิง
หงหลิงขอบคุณแผ่วเบาในขณะที่รับดาบไปถือด้วยความดีใจ เธออยากจะมีอาวุธลึกลับเป็นของตัวเองมาตลอด และดาบเล่มนี้แค่ดูก็รู้ว่าเป็นของล้ำค่า
ฉู่ชวิ๋นหยิบดาบยาวออกมาอีกหนึ่งเล่ม นี่คือดาบสะบั้นฟ้า มีอานุภาพรุนแรงในการฟันมากกว่าดาบทั่วไป นับเป็นอาวุธลึกลับระดับกลาง เขามอบมันให้แก่หยานอี้
หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นสอบถามว่ายัยตัวร้ายอยากได้อาวุธชนิดใด แล้วเขาก็หยิบค้อนสายฟ้าออกมามอบให้เธอ
ทันทีที่ค้อนสายฟ้าเข้าไปอยู่ในมือของยัยตัวร้าย สายฟ้าก็แลบแปลบ เสียงฟ้าคำรามดังครืนครัน ยัยตัวร้ายรีบนำค้อนสายฟ้าไปทดลองความร้ายกาจที่ลานหินหลังปราสาททันที
“ถางโร้ว เธออยากได้อาวุธแบบไหน?” ฉู่ชวิ๋นสอบถาม
ถางโร้วนิ่งคิดอยู่อึดใจใหญ่ เธอก็อยากได้ดาบเหมือนกัน เนื่องจากถนัดต่อสู้ด้วยดาบมากที่สุด
ฉู่ชวิ๋นมอบดาบยาวที่สวยงามมากเล่มหนึ่งให้เธอ นี่คืออาวุธลึกลับระดับกลาง สามารถฟาดฟันได้อย่างคล่องแคล่วและดุดัน
ถางโร้วพึงพอใจกับดาบเล่มนี้เป็นอย่างมากมาก เด็กสาวยิ้มจนตาหยี ชื่นชอบมากจนไม่ปล่อยดาบให้อยู่ห่างกาย
ฉู่ชวิ๋นแจกจ่ายอาวุธคู่กายให้กับเพื่อนคนสำคัญเรียบร้อย อาวุธลึกลับเหล่านี้เป็นของหายากก็จริง แต่ไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับเขา เนื่องจากการปล้นห้องเก็บสมบัติของวิหารดวงตะวันเมื่อครั้งก่อน ทำให้ฉู่ชวิ๋นยังคงมีอาวุธลึกลับเหลืออยู่ในการครอบครองอีกหลายสิบชนิด
เมื่อทุกคนมีอาวุธลึกลับอยู่ในมือ จิตใจก็ฮึกเหิมขึ้นมาพวกเขาไม่เคยเฝ้ารอให้ถึงยามราตรีเร็ว ๆ ขนาดนี้มาก่อน