จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 380 การต่อสู้อันน่าสะเทือนขวัญ
บทที่ 380 การต่อสู้อันน่าสะเทือนขวัญ
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นเยียบ เขากำลังโกรธแค้น
มนุษย์ปักษาชราใบหน้ากระตุก ไม่คิดเลยว่าบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างฝ่ายตรงข้าม จะตวาดด่าพวกมันด้วยถ้อยคำเช่นนี้
‘แต่ฉันเป็นผู้อาวุโส แกปั่นหัวฉันไม่สำเร็จหรอก ฉันคือมนุษย์ปักษาผู้สูงส่ง ฉันจะไม่ทำตัวหยาบคายเหมือนมัน’ มนุษย์ปักษาชราพยายามปลุกปลอบใจตัวเอง
“ในเมื่อนกกลายพันธุ์อย่างพวกแกดูถูกมนุษย์ขนาดนี้ แล้วทำไมต้องแปลงร่างมามีหน้าตาเหมือนมนุษย์ด้วย ทำไมพวกแกไม่คงสภาพหน้าตาไก่แจ้แบบเดิมเอาไว้ล่ะ?” ฉู่ชวิ๋นอดไม่ได้ต้องคำรามออกไปด้วยความฉุนเฉียว
มนุษย์ปักษาชราที่จิตใจเยือกเย็นลงแล้ว พลันก็ต้องอารมณ์เดือดดาลอีกครั้งจากคำพูดของฉู่ชวิ๋นและอยากจะพุ่งเข้าไปขย้ำคออีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนี้
“ฉันให้ความเคารพต่อคุณ ปฏิบัติกับคุณด้วยความสุภาพนอบน้อม แต่คุณกลับทำตัวเป็นอันธพาลข้างถนน หรือว่าคุณกำลังกลัวว่าจะสูญเสียตัวตนของมนุษย์กันแน่?” มนุษย์ปักษาชราพูดด้วยสีหน้าเคียดแค้น
“ว่าไงนะ? สัตว์ประหลาดกลายพันธุ์อย่างพวกแกกล้ามาพูดเรื่องตัวตนได้ยังไง? ฉันเป็นมนุษย์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐบนโลกใบนี้ก็คือมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องให้พวกไก่แจ้มาตัดสินหรอกว่าตัวตนของพวกเราคืออะไร” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับไปด้วยความเดือดดาล
คำพูดเหล่านี้ทำให้พวกของเจี่ยงเทาหันมาจ้องมองฉู่ชวิ๋นเป็นตาเดียวพร้อมกับปรบมืออย่างกระตือรือร้น แม้แต่บรรดาจอมยุทธ์ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบก็ยังมีแววตาชื่นชมขึ้นมาแล้ว
“พวกแกจงมองดูรอบตัวให้ดี ที่นี่เป็นพื้นที่ของมนุษย์ อย่าคิดว่าแค่พวกแกมีปีกก็จะทำตัววางอำนาจได้ ถ้ามากวนใจฉันนัก เดี๋ยวฉันก็จับตัวพวกแกส่งให้เคเอฟซีทำชุดไก่พร้อมแชร์ซะเลย!”
บรรดาผู้อาวุโสจากสำนักเทวามรณะเชิดหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ ปากกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ พวกมันไม่สามารถระงับความโกรธแค้นได้อีกต่อไปแล้ว
“อีกไม่ช้าก็เร็ว โลกใบนี้จะต้องตกเป็นของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ส่วนผู้ที่อ่อนแอจะต้องหมอบคลานอยู่กับพื้นและกลายเป็นทาสรับใช้” มนุษย์ปักษาชราพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ผู้ที่แข็งแกร่ง? หมายความว่าพวกแกเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ส่วนมนุษย์เป็นผู้ที่อ่อนแอใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นชำเลืองตามองฝ่ายตรงข้ามด้วยความเหยียดหยาม
หลังจากที่มนุษย์ปักษาชราลดมือลงแล้ว มันก็พูดด้วยความภาคภูมิใจว่า
“ฉันพูดเข้าใจยากมากเกินไปหรือไง? แค่นี้ก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว”
“ไอ้นกแก่ กล้าเดิมพันกับฉันไหมล่ะ?”
“คุณอยากจะเดิมพันอะไร?” มนุษย์ปักษาชราถาม
“พวกแกดูถูกมนุษย์นักไม่ใช่หรือไง? เผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษาสูงส่งมากใช่ไหม? แต่คนของฉันก็เป็นทหารกล้าเหมือนกัน เราส่งลูกน้องออกมาสู้กัน แล้วมาดูกันเถอะว่าใครจะแข็งแกร่งมากกว่ากัน ดีไหม?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความมั่นใจ
มนุษย์ปักษาชราถึงกับนิ่งอึ้งไปไม่น้อย กวาดตามองไปทางพวกของเจี่ยงเทา แล้วพูดว่า “คุณจะให้คนพวกนี้มาสู้กับบริวารของฉันเนี่ยนะ?”
“ทำไมล่ะ? หรือว่ากลัว?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ
มนุษย์ปักษาชราหันหน้ากลับไปมองบริวารที่อยู่ด้านหลัง พูดด้วยน้ำเสียงอำมหิต “เขาถามว่าพวกแกกลัวหรือเปล่า?”
กลุ่มมนุษย์ปักษาระเบิดเสียงหัวเราะครืนใหญ่ จ้องมองพวกของเจี่ยงเทาด้วยความดูถูกดูแคลน
“เรากลัวว่าพวกมันจะฉี่รดกางเกงก่อนที่จะเริ่มต่อสู้กันอีกน่ะสิครับ ท่านผู้อาวุโส”
“เจ้าพวกมนุษย์ต่ำต้อย ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมด”
“เหตุการณ์ครั้งนี้ นับว่าพวกแกรนหาที่ตายเองนะ”
เหล่ามนุษย์ปักษาตะโกนออกมาด้วยความคึกคัก ดูเหมือนพวกมันจะดูถูกพวกของเจี่ยงเทาอยู่ไม่น้อยจริง ๆ
เจี่ยงเทากับลูกน้องของเขาเดือดดาลสุดขีด พวกเขาคือทหารกล้ารับใช้ประเทศชาติ ยอมหักไม่ยอมงอ ยอมตายดีกว่ายอมก้มหัวให้ศัตรู
“ไอ้พวกมนุษย์ไก่แจ้ เก่งจริงก็อย่าหนีไปไหน มาสู้กันเลยสิวะ” เจี่ยงเทาคำรามออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด
ในเมื่อฉู่ชวิ๋นเป็นผู้ริเริ่มการเดิมพัน หมายความว่าท่านนายพลหนุ่มผู้นี้คงเตรียมการอะไรบางอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้กลุ่มทหารกล้าจึงฝากความหวังเอาไว้ที่ฉู่ชวิ๋นเป็นหนึ่งเดียว
พวกเขาไม่ใช่คนโง่ ถ้าพวกมันไม่ได้กลัวฉู่ชวิ๋น มนุษย์ปักษาชราตัวนั้นคงไม่พูดจาอ่อนน้อมมากมายขนาดนี้
“ไอ้นกแก่ กล้าหรือเปล่าล่ะ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
มนุษย์ปักษาชราใบหน้ากระตุกอีกครั้ง มันเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเทวามรณะ เคยถูกเรียกด้วยถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ในเมื่อพวกคุณรนหาที่ตาย บริวารของฉันก็พร้อมสนองต่อความต้องการ มันจะเป็นข้อพิสูจน์ให้คุณได้เห็น ว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำและอ่อนแอมากแค่ไหน”
“อย่ามาพูดจาไร้สาระ ออกมาสู้กันได้แล้ว!” ฉู่ชวิ๋นท้าทาย
“ในเมื่อนี่เป็นการแข่งขันเดิมพัน เราก็ต้องรู้กันเสียก่อนว่าผู้ชนะจะได้อะไรบ้าง” ดวงตาของมนุษย์ปักษาพลันเปล่งประกายระยิบระยับอย่างแปลกประหลาด
“ถ้าแกชนะ ฉันจะปล่อยมนุษย์ไก่แจ้พวกนี้ไปให้หมด แต่ถ้าพวกเราชนะ เผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษาของพวกแกต้องยอมรับว่าโลกนี้เป็นของมนุษย์” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สีหน้าของมนุษย์ปักษาชราเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อคิดถึงผลลัพธ์ของการแข่งขันครั้งนี้ แต่เพียงพริบตาเดียวมันก็หัวเราะร่วน จะคิดมากไปทำไม มนุษย์ต่ำต้อยพวกนี้ จะเอาความสามารถอะไรมาชนะเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษาผู้สูงส่งและทรงพลังได้?
“ตกลง ฉันยินดีเดิมพัน เอาศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษามาเดิมพันด้วยก็ได้” มนุษย์ปักษาชราพูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับกล้าเอาชื่อของเผ่าพันธุ์มาเดิมพันด้วยแล้ว
“ลูกน้องฉันมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 9 คน ฉันขอแนะนำให้แกส่งลูกน้องออกมาทั้งหมดดีกว่านะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะหาว่าฝ่ายฉันรังแกพวกแกมากเกินไป” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจไม่แพ้กัน
ถ้อยคำของฉู่ชวิ๋นทำให้พวกของเจี่ยงเทารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มนุษย์เพียง 9 คนต่อสู้กับมนุษย์ปักษานับร้อยชีวิต ถ้าพวกเขาชนะ มันก็จะกลายเป็นความสำเร็จของประเทศชาติ ต่อให้ต้องตายระหว่างการต่อสู้ พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้แพ้ที่ชนะใจประชาชน
บรรดาจอมยุทธ์ที่มุงดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบ ยิ่งดูก็ยิ่งสงสัยว่าฉู่ชวิ๋นเป็นผู้ใดมาจากไหนกันแน่?
บรรดามนุษย์ปักษาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ไม่ปิดบังเลยว่าพวกมันดูแคลนนายทหารทั้ง 9 คนมากแค่ไหน
“ไม่เป็นไร ในเมื่อพวกคุณมีแค่ 9 คน ฉันก็จะส่งบริวารออกไปแค่ 9 คนเท่านั้น แบบนี้สิถึงจะเรียกว่ายุติธรรม” มนุษย์ปักษาชราก็กำลังส่งเสียงหัวเราะอยู่เช่นกัน
ฉู่ชวิ๋นเหยียดยิ้มที่ริมฝีปาก ก่อนพูดว่า “งั้นก็มาเริ่มกันเลย สถานที่ต่อสู้ให้พวกแกกำหนดเอาเองก็แล้วกัน ที่นี่เป็นเขตแดนของมนุษย์ ถ้าเราเลือกก่อนมันจะทำให้พวกเราชนะง่ายเกินไป เดี๋ยวพวกแกก็จะหาว่าฝ่ายมนุษย์เอาเปรียบอีก”
“ฮ่าๆ…” มนุษย์ปักษาชรายังคงหัวเราะด้วยความขบขัน “ฉันไม่รู้เลยจริงๆ ว่าคุณไปเอาความมั่นใจมาจากไหน? แต่ถ้าเกิดฉันเลือกมาแล้ว พวกคุณจะเห็นด้วยจริงๆ หรือ”
“เลือกมาเถอะ ต่อให้ต้องขึ้นไปสู้กันบนรังนกของพวกแก เราก็ไม่ว่าอะไรหรอก” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” มนุษย์ปักษาชราพยักหน้า
หลังจากนั้น มันก็ล้วงหยิบแผนที่รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสออกมาแผ่นหนึ่ง แผนที่แผ่นนี้ทำมาจากหนังสัตว์ มีรัศมีเป็นประกายเรืองรอง บนแผนที่ระบุถึงตำแหน่งของภูเขาและแม่น้ำสายหนึ่งเอาไว้ชัดเจน
“นี่คือสมบัติสวรรค์ประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษา เรียกว่าแผนที่ทะลุมิติ ด้านในแผนที่นี้จะเป็นอีกมิติหนึ่งที่เต็มไปด้วยภูเขาเขียวขจี พวกเราส่งบริวารเข้าไปสู้กันในแผนที่นี้ดีไหม?” มนุษย์ปักษาชรากล่าวพร้อมกับชูแผนที่ให้ทุกคนดู
นี่คือสมบัติสวรรค์ประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษา ด้านในแผนที่เป็นอีกหนึ่งมิติที่ผู้คนสามารถหลุดเข้าไปได้ ปกติแล้วจะเอาไว้ใช้หลอกบรรดาศัตรูของพวกมันให้เข้าไปติดกับดักอยู่ในนั้น
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายแวววาว แผนที่ทะลุมิติ นับเป็นสมบัติสวรรค์อย่างแท้จริง มันสามารถใช้ได้ทั้งสำหรับสู้กับศัตรู ใช้สำหรับป้องกันตัวเอง หรือจะเอาไว้ใช้เก็บของก็ได้ เป็นสมบัติสวรรค์แม้แต่ในดินแดนเซียนเลยทีเดียว
แต่ที่ทำให้ชายหนุ่มอดเสียดายไม่ได้ก็คือ แผนที่แผ่นนี้ยังวาดไม่เสร็จ มันวาดไว้เพียงแค่มุมกระดาษหนังสัตว์เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทรงพลังมาก
“ไม่มีปัญหา ให้ลูกน้องของพวกเราเข้าไปสู้ในแผนที่ทะลุมิติแผ่นนี้ก็ได้”
ฉู่ชวิ๋นส่งเสียงหัวเราะพลางหันไปมองหน้าพวกเจี่ยงเทา “ว่าแต่ว่าพวกนายกล้าเข้าไปในแผนที่หรือเปล่าล่ะ?”
พวกของเจี่ยงเทาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่จอมยุทธ์มีวิชาติดตัว เมื่อได้เห็นสิ่งของประหลาดพิสดารเช่นแผนที่ที่สามารถส่งคนเข้าไปอยู่ด้านในได้แบบนี้ พวกเขาก็อดตกตะลึงไม่ได้จริงๆ
แต่จะอย่างไร ทหารก็คือทหารอยู่วันยันค่ำ ต่อให้ต้องเอาคอไปพาดเขียงรอการสับ พวกเขาก็ไม่หวาดกลัว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฉู่ชวิ๋นคงไม่ยืนดูดายมองพวกเขาตกตายแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือการต่อสู้ที่มีศักดิ์ศรีของมวลมนุษยชาติและเกียรติภูมิของกองทัพจีนเป็นเดิมพัน เต็มที่ก็แค่ตาย แล้วพวกเขาจะหวาดกลัวไปทำไม?
“ไม่มีปัญหาครับท่านนายพล ต่อให้ข้างในแผนที่ผืนนี้มีถ้ำเสือวังมังกร พวกเราก็จะเข้าไปถล่มให้ราบคาบ” เจี่ยงเทาพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องกันก็ดีแล้ว แต่ฉันยังมีคำถามอีกนิดหน่อย ในเมื่อนี่เป็นการต่อสู้ เราจะกำหนดผู้แพ้ผู้ชนะยังไง?”
“ฝ่ายที่อยู่รอดชนะ ฝ่ายที่ตายก็แพ้ไป” ฉู่ชวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
บรรดาผู้อาวุโสของมนุษย์ปักษาชะงักไปเล็กน้อย แต่ผู้เป็นหัวหน้าก็พูดว่า “ตกลง เอาตามนี้ก็แล้วกัน”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเรามาเตรียมตัวกันก่อนสักหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นค่อยเริ่มสู้กัน” ฉู่ชวิ๋นพูดจบก็ไม่รอฟังว่ามนุษย์ปักษาชราจะเห็นด้วยหรือไม่ ชายหนุ่มพยักหน้าให้พวกของเจี่ยงเทาเดินตามเขามา
“ท่านนายพลครับ เราใช้อาวุธร้อน*ดีกว่านะครับ” เจี่ยงเทาพูดและรีบอธิบายทันทีว่า “พวกผมไม่ได้กลัวตาย แต่ก่อนตายพวกเราก็อยากจะกำจัดไอ้พวกไก่แจ้นี่ให้ได้สักสองสามตัว แต่ปืนกลธรรมดาไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้เลย” (อาวุธร้อน* อาวุธจำพวกระเบิด)
“ใครบอกว่าปืนพวกนี้ทำอะไรพวกมันไม่ได้?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ
“ความจริงแล้ว ปืนพวกนี้สอยพวกมันร่วงได้ไม่ยากเลย”
ดวงตาของเจี่ยงเทาและลูกน้องเป็นประกายแวววาว จริงด้วยสิ! ฉู่ชวิ๋นก็ใช้ปืนชนิดเดียวกับพวกเขายิงมนุษย์ปักษาร่วงมาต่อหน้าต่อตาแล้ว
มนุษย์ปักษาชราเห็นพวกของฉู่ชวิ๋นกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ ก็เงี่ยหูฟังโดยไม่รู้ตัว ประสาทการได้ยินของเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษาว่องไวมาก สามารถระบุทิศทางของเสียงเข็มที่ตกกระทบพื้นได้ด้วยซ้ำ
“พวกมันกำลังแอบฟังเราอยู่ ด่าสวนไปเลย” ฉู่ชวิ๋นพูดแกล้งพวกมันเพราะยิ่งหูดีการโดนด่าตอนกำลังตั้งใจฟังแบบนี้ผลยิ่งรุนแรง
พวกของเจี่ยงเทาตอนแรกก็สับสนมึนงงเล็กน้อย แต่แล้วพวกเขาก็เข้าใจ
“ไอ้นกแก่ สนใจแต่เรื่องของตัวเองเถอะ อย่ามาแอบเสือกเรื่องของพวกฉันเลย เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน” เจี่ยงเทาพูดด้วยสีหน้าท่าทางเป็นปกติ ไม่มองมาทางมนุษย์ปักษาชราด้วยซ้ำ แถมยังพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ
แต่ปากของมนุษย์ปักษาชรากระตุกยิก เห็นได้ชัดว่าได้ยินชัดเจน
“ไอ้พวกไก่แจ้ เดี๋ยวฉันจะถอนขนพวกแกให้หมด” นายทหารอีกคนหนึ่งพึมพำ
ริมฝีปากของมนุษย์ปักษาชรากระตุกมากยิ่งขึ้น
“เรียบร้อย ต่อจากนี้ฟังที่ฉันจะพูดให้ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้มั่นใจได้ว่าพวกนายต้องชนะแน่นอน” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
เจี่ยงเทาและลูกน้องพยักหน้า
ฉู่ชวิ๋นพลันโบกสะบัดแขนหนึ่งครั้ง ก็เกิดม่านพลังป้องกันเสียงเล็ดลอดกางกั้นรอบกายของพวกเขา
“เอาปืนของพวกนายออกมาให้หมด” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง
เจี่ยงเทากับลูกน้องนำปืนกลประจำกายออกมาแสดงให้นายพลหนุ่มเห็น
“มีแค่นี้ใช่ไหม ไม่มีอีกแล้วนะ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
เจี่ยงเทาส่ายหน้าตอบว่า “ยิ่งพกปืนเยอะ ก็ต้องพกกระสุนเยอะครับ เวลาเคลื่อนที่มันจะทำให้เราช้าลง”
ฉู่ชวิ๋นโบกมือเล็กน้อยและกล่าวต่อ “ไม่จำเป็นหรอก ใช้ลูกกระสุนเปล่าก็พอ”
“แต่ท่านนายพลครับ ลูกกระสุนเปล่าฆ่าคนยังไม่ตายเลยนะ จะฆ่าไอ้พวกไก่แจ้พวกนี้ได้เหรอครับ?” นายทหารคนนึงถามอย่างเป็นกังวล
เจี่ยงเทาพลันหันไปตบหน้าลูกน้องคนนั้น พูดอย่างฉุนเฉียวว่า “หุบปาก ท่านนายพลสั่งอะไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ต้องถาม”
ฉู่ชวิ๋นสั่งให้ทุกคนนำลูกกระสุนมาเทกองรวมอยู่ตรงหน้า จากนั้นเขาก็งัดหัวกระสุนออกและนำเส้นไหมสีขาวยัดเข้าไปในปลอกกระสุนทุกลูก
ขณะนี้ ลูกกระสุนเหล่านี้ไม่มีดินปืนอยู่ด้านใน มีแต่เส้นไหมสีขาวอย่างเดียวเท่านั้น
ฉู่ชวิ๋นนำแผ่นหยกออกมาเก้าแผ่น รีบแกะสลักแต่ละแผ่นอย่างรวดเร็วเป็นลวดลายที่ลงเวทมนต์เอาไว้
“ทุกคนพกติดตัวไว้คนละแผ่น จำเอาไว้ว่าอย่าให้ห่างตัวเด็ดขาด เมื่อมีมันอยู่ติดตัว รับรองได้ว่าไม่ตายแน่”
นี่คือเรื่องที่กำหนดความเป็นตายของชีวิต ถึงแม้ว่าพวกของเจี่ยงเทาจะไม่กลัวตาย แต่พวกเขาก็ไม่อยากตายโดยไม่จำเป็น ทุกคนรับแผ่นหยกไปพกติดตัวเป็นอย่างดี
“เวลาต่อสู้ต้องทำให้ตัวเบาที่สุด นอกจากปืนกับลูกกระสุนแล้ว ของที่เหลือทิ้งไปให้หมด” ฉู่ชวิ๋นพูด
เจี่ยงเทาเป็นผู้นำ เริ่มด้วยการถอดเสื้อด้านในออก เหลือไว้แต่เพียงเสื้อกันกระสุนเท่านั้น จากนั้นก็พกแผงลูกกระสุนเท่าที่จำเป็น บางส่วนเขาแยกเก็บไว้ใส่กระเป๋ากางเกง ถ้าหากกระสุนหมดกะทันหัน ก็สามารถหยิบออกมาใช้งานได้
“เรียบร้อยหรือยัง?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“พวกเราพร้อมแล้วครับ ท่านนายพล!” นายทหารทั้ง 9 ตอบรับอย่างพร้อมเพียง
“นี่เป็นโอกาสดีที่พวกนายจะได้สร้างชื่อเสียงและเกียรติยศให้แก่ประเทศชาติ จงจดจำไว้ว่าทั่วโลกกำลังจับตามองการต่อสู้ครั้งนี้อยู่” ฉู่ชวิ๋นพูดปลุกใจทุกคน
บรรดาจอมยุทธ์ที่มุงดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบ เริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายทอดสดกันแล้ว
“เข้าใจแล้วครับ” ทหารทั้ง 9 นายรับคำเป็นเสียงเดียวกัน
“ดีมาก ฉันจะรอฟังข่าวดี ถ้าพวกนายทำได้น่าประทับใจ ฉันจะเชิญหัวหน้าหมายเลข 1 มามอบเหรียญกล้าหาญให้พวกนายด้วยตัวเอง!”
เมื่อได้ยินว่าตนเองอาจจะได้พบกับหัวหน้าหมายเลข 1 และอาจจะได้รับเหรียญกล้าหาญจากมือของท่านผู้นั้น ทหารทั้ง 9 นายก็มีดวงตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้นคึกคัก
“เฮ้ย ไอ้นกแก่ พวกเราพร้อมแล้ว พวกแกน่ะพร้อมตายหรือยัง?” ฉู่ชวิ๋นตะโกนถามออกไป
มนุษย์ปักษาชราหันกลับมามองหน้าฉู่ชวิ๋น แล้วจึงหัวเราะเยาะ “อวดดีไปเถอะ รอเก็บศพลูกน้องของตัวเองก็แล้วกัน”