จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 393 หมู่บ้านประหลาด
บทที่ 393 หมู่บ้านประหลาด
ภูเขาหลงฉี ฉู่ชวิ๋นรีบรุดมาที่นี่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด
เมื่อเข้าสู่ที่พำนักของจักรพรรดิอ๋าวฮวงแล้ว ชายหนุ่มก็พบตาเฒ่าอ๋าวที่กำลังนั่งตกปลาอย่างสบายอารมณ์ ฉู่ชวิ๋นเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดตรงเข้าไปหา
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ข้าไม่มีของวิเศษให้เจ้าแล้วนะ” จักรพรรดิอ๋าวฮวงหันหน้ามาชำเลืองมอง ครั้งสุดท้ายที่ฉู่ชวิ๋นทำหน้าแบบนี้ ชายชราต้องมอบดาบเกล็ดทองคำให้เป็นของขวัญปลอบใจ
“คราวนี้ผมโกรธจริง ๆ แล้วนะ” ฉู่ชวิ๋นหยิบก้อนหินขึ้นมาโยนลงไปในน้ำ ปลาที่กำลังจะเข้ามากินเบ็ดว่ายหนีไป แถมยังสะบัดน้ำกระจายขึ้นมาเปียกตัวจักรพรรดิอ๋าวฮวงเล็กน้อย
จักรพรรดิอ๋าวฮวงจ้องมองชายหนุ่ม พูดเสียงเบา “บอกมา โกรธเรื่องอะไร?”
ฉู่ชวิ๋นเห็นชายชราตอบรับแบบนี้ ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย “ตาเฒ่าอ๋าว ผมหายตัวไป 3 ปี ไม่คิดเป็นห่วงกันบ้างเลยหรือไง?”
“ข้าตรวจดูดวงชะตาของเจ้าแล้ว เจ้าไม่ใช่คนอายุสั้น” จักรพรรดิอ๋าวฮวงกล่าวหน้าตาเฉย ไม่รอให้ฉู่ชวิ๋นตอบรับคำใด ก็พูดต่อทันทีว่า “ไปเที่ยวดินแดนของพวกปีศาจทมิฬสนุกไหมล่ะ?”
“คุณรู้ด้วยเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นประหลาดใจไม่ใช่น้อย
“เดาเอาน่ะ” จักรพรรดิอ๋าวฮวงตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ และหันสมาธิกลับไปจดจ่อที่การตกปลาอีกครั้งในขณะที่กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “เจ้าหายไปในดินแดนพายัพถึง 3 ปี ก็คงต้องไปติดอยู่ในดินแดนของพวกปีศาจทมิฬอย่างเดียวเท่านั้นแหละ”
ฉู่ชวิ๋นเตะก้อนหินลงน้ำไปด้วยความเคียดแค้นอีกครั้ง น้ำสาดกระจาย ผิวน้ำไหวกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น
จักรพรรดิอ๋าวฮวงโยนเบ็ดตกปลาทิ้งไป สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง โต๊ะม้าหินชุดหนึ่งก็มาปรากฏขึ้นข้างกายพร้อมด้วยชุดน้ำชาพร้อมดื่ม ชายชราบอกให้ฉู่ชวิ๋นนั่งลงและกล่าวว่า
“บอกมาหน่อยซิ ดินแดนปีศาจทมิฬเป็นยังไงบ้าง ทำไมเจ้าถึงไปติดอยู่ในนั้นนานนัก?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงไต่ถาม
ฉู่ชวิ๋นนั่งลงและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนปีศาจทมิฬอีกครั้ง
จักรพรรดิอ๋าวฮวงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ที่ที่กาลเวลามีน้ำหนัก ยังมีอยู่อีกหรือนี่?”
ฉู่ชวิ๋นมองตาแข็ง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “อุตส่าห์เล่ามาตั้งนาน สนใจแต่เรื่องเวลาเนี่ยนะ”
“แล้วจะให้สนใจอะไรล่ะ?” ชายชราถามกลับมาทันที
“ก็เรื่องที่ผมเกือบตายไง” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับไปด้วยความฉุนโกรธ
“แล้วเจ้าตายหรือเปล่าละ?”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงทำให้ฉู่ชวิ๋นเกือบจะต้องทุบโต๊ะ พูดด้วยความฉุนเฉียว “ผมเป็นแมวเก้าชีวิต เข้าใจไหม?”
ชายชรามองหน้าผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับยิ้มกว้าง แต่ฉู่ชวิ๋นยังคงมีสีหน้าบูดบึ้งอยู่เช่นเดิม
“บอกมา เจ้าโกรธเรื่องอะไรกันแน่?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงถามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “จักรพรรดิเซียนฉู่ชวิ๋น จักรพรรดิผู้บ้าเลือด อะไรอีกนะฉายาขี้โม้ ๆ ของเจ้า พวกวายร้ายที่เจ้าปลิดชีวิตเป็นของปลอมทั้งหมดหรือไง? ความกล้าหาญในการเป็นจักรพรรดิของเจ้าหายไปไหนหมดแล้ว?”
ฉู่ชวิ๋นหน้าแดงก่ำ แอบคิดในใจว่าตาเฒ่าคนนี้ชักจะพูดแรงมากขึ้นทุกทีต่อให้สนิทสนมกันสักแค่ไหน แต่จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็ยังพูดจาเหน็บแนมเขาได้เสมอ
“ผมอยากได้หน่วยรบมังกรทองคำกับหน่วยรบมังกรเงินมาใช้งานหน่อย” ฉู่ชวิ๋นไม่ยอมเสียเวลาอีกแล้ว รีบตรงเข้าประเด็นทันที
จักรพรรดิอ๋าวฮวงมองหน้าเขาอยู่อึดใจใหญ่ สุดท้ายก็พูด “เจ้าหนูหัวหน้าหมายเลข 1 มันบอกเจ้า?”
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นว่า “คิดว่าตัวเองเดาเก่งคนเดียวหรือไง? ผมก็เดาเก่งเหมือนกัน”
“ตามสบาย ถ้าอยากได้ก็เอาไปสิ” จักรพรรดิอ๋าวฮวงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
หา?
ฉู่ชวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย เรื่องนี้ง่ายดายมากเกินไป ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาชอบกล จักรพรรดิอ๋าวฮวงไม่ใช่คนว่าง่ายมาแต่ไหนแต่ไร ระหว่างทางมาที่นี่ ฉู่ชวิ๋นต้องเตรียมตัวเอาไว้หลายอย่าง ด้วยรู้สึกว่าจะต้องมีการโต้แย้งอย่างหนักหน่วงเกิดขึ้นแน่นอน
“ยอมยกให้แบบนี้ง่าย ๆ เลยเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นไม่อยากเชื่อ รู้สึกว่าต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่นอน
จักรพรรดิอ๋าวฮวงจ้องมองตอบกลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ฉันกลัวแกจะเป็นบ้าขึ้นมาน่ะสิ ขี้เกียจปลอบเด็กงอแง”
ฉู่ชวิ๋นนิ่งคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก่อนจะเข้าใจสิ่งที่จักรพรรดิอ๋าวฮวงพูด ตาแก่คนนี้กำลังกวนประสาทเขาอยู่รึไงนะ?
“กลัวผมเนี่ยนะ?” ฉู่ชวิ๋นโพล่งด้วยความเหลือเชื่อ “คุณเป็นพญามังกรนะ ยังต้องกลัวอะไรอีก?”
ดวงตาของจักรพรรดิอ๋าวฮวงเป็นประกายดุร้าย สองมือกำเป็นหมัดแน่น
ฉู่ชวิ๋นตื่นตัวขึ้นทันที รีบพูด “ผมจะบอกให้ คนจริงเขาไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าหรอกนะ”
“อ่อนหัด!” จักรพรรดิอ๋าวฮวงมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน รอให้เขาเลื่อนระดับพลังได้สูงมากกว่านี้ก่อนเถอะ สิ่งแรกที่เขาจะทำคือกลับมาตื้บตาแก่คนนี้ให้น่วมไปเลย
“หน่วยรบมังกรเงินกับมังกรทองคำอยู่ที่ไหน?” ฉู่ชวิ๋นถาม
จักรพรรดิอ๋าวฮวงตอบว่า “หน่วยรบมังกรทองคำตอนนี้ยังจำศีลอยู่ พวกสัตว์ประหลาดยังออกมาไม่เยอะมากเท่าที่ควร ตอนนี้เจ้าเอาหน่วยรบมังกรเงินไปก่อนก็แล้วกัน”
“แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?” นี่คือสิ่งที่ฉู่ชวิ๋นอยากจะรู้มากที่สุด
“ไม่รู้เหมือนกัน” จักรพรรดิอ๋าวฮวงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “วัน ๆ หนึ่งข้าต้องทำอะไรตั้งเยอะแยะ จะเอาเวลาที่ไหนมาสนใจเรื่องพวกนี้ ข้าไม่มีเวลาว่างเหมือนเจ้าหรอกนะ”
ฉู่ชวิ๋นเหยียดยิ้ม “คุณยุ่งอยู่กับการกิน ดื่ม แล้วก็ตกปลาล่ะสิ”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พูดว่า “ฉันเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตให้มีความสุข ในเมื่อเจ้าเข้าใจดีแล้ว แล้วจะมาโกรธข้าได้ยังไง?”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกโกรธแค้น ตาเฒ่าคนนี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
“โดยที่ไม่สนใจใช่ไหมว่าผมจะเป็นหรือตาย งั้นเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นว่า
จักรพรรดิอ๋าวฮวงพยักหน้าอย่างแข็งขัน
“ผมไม่อยากทำหน้าที่นี้อีกต่อไปแล้ว” ฉู่ชวิ๋นรู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงเอาแต่กิน ดื่ม แล้วนั่งตกปลา ไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องโลกมนุษย์อย่างที่ควรทำเลย
“แล้วแกจะไม่ทำได้หรือไง” ชายชราตอบกลับมาอย่างไม่สนใจแม้แต่น้อย “ที่แกขึ้นไปพูดบนเวทีมอบเหรียญรางวัล มันสุดยอดมากเลยนะ ขนาดฉันไม่ใช่พวกมนุษย์กลายพันธุ์พวกนั้น ยังอดรู้สึกหมั่นไส้แกไม่ได้เลย”
ฉู่ชวิ๋นจ้องมองจักรพรรดิอ๋าวฮวงด้วยแววตาเศร้าซึม “ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากรับหน้าที่นี้อีกแล้ว ผมจะกลับไปรวบรวมกำลังคนของวังมังกรเพลิงกับภูเขาเฉียนหลงเข้าด้วยกัน แล้วผมจะขอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบ้างล่ะ”
“งั้นข้าจะบอกวิธีสลายค่ายกลภูเขาเฉียนหลงให้พวกมนุษย์กลายพันธุ์รู้” จักรพรรดิอ๋าวฮวงพูดขึ้นมาดื้อ ๆ
ฉู่ชวิ๋นเบิกตาโต “นี่คุณกำลังขู่ผม?”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงมองหน้านิ่ง ก่อนผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง
ฉู่ชวิ๋นโกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไงอีกแล้ว “พวกมันกล้ามาไหมล่ะ? คิดว่าผมกลัวพวกมันหรือไง?”
“ข้าจะเปิดค่ายกลภูเขาเฉียนหลงให้ด้วย” จักรพรรดิอ๋าวฮวงว่า
ฉู่ชวิ๋นเชิดหน้าขึ้น ทำไมตาแก่คนนี้ถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้นะ?
“งั้นผมจะบอกคนทั้งโลกว่าคุณซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหลงฉี” ฉู่ชวิ๋นไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
“ก็เอาสิ!” ชายชรายกน้ำชาขึ้นจิบ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกมันไม่กล้ามาทำอะไรข้าหรอก ดีดนิ้วทีเดียวก็ตายหมดแล้ว”
“ตาเฒ่าร้อยเล่ห์ แบบนี้มันมากเกินไปแล้วนะ” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเดือดจัด
“แล้วจะทำไม แค่หายใจทีเดียว ข้าก็ส่งแกกลับไปอยู่ในท้องแม่ได้แล้ว”
“ผม…” ฉู่ชวิ๋นโกรธจนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“ถ้าเจ้าไม่อยากโดนแบบนั้น ก็จงทำตามที่ข้าสั่งและต้องเคารพผู้สูงอายุให้มันมากกว่านี้หน่อย ไม่งั้นอีกหน่อยเจ้าได้เดือดร้อนแน่ ๆ” จักรพรรดิอ๋าวฮวงพูดอย่างวางอำนาจ
ฉู่ชวิ๋นได้แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนข่มความเจ็บแค้นเอาไว้อย่างไม่มีทางเลือก “ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ”
“ด้วยความยินดี” ชายชราตอบกลับมาอย่างไม่แยแส
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว บอกผมมาว่าหน่วยรบมังกรเงินอยู่ที่ไหน?” ฉู่ชวิ๋นไม่อยากพูดคุยกับชายชราอีกแล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจ
จักรพรรดิอ๋าวฮวงลุกขึ้นยืน โบกสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พายุลมหมุนก็ห่อหุ้มร่างกายของพวกเขาหายลับไปจากริมน้ำ
ไม่นานหลังจากนั้น สองบุรุษต่างวัยก็มาปรากฏตัวขึ้นในหุบเขาที่มีหมอกหนาแห่งหนึ่ง
“ที่นี่มันที่ไหนกัน?” ฉู่ชวิ๋นกวาดสายตามองรอบตัว พบเจอแต่ผืนป่าและภูเขาเขียวครึ้ม
“ปักกิ่ง”
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากเชื่อ “ปักกิ่งมีที่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ยังไม่รู้ตัวอีก” จักรพรรดิอ๋าวฮวงมองหน้าชายหนุ่มด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะโยนเศษก้อนหินมาให้หนึ่งชิ้น “ข้ามาส่งเจ้าแค่นี้แหละ ต่อจากนี้ช่วยเหลือตัวเองก็แล้วกัน”
“คุณจะไม่เข้าไปกับผมจริงสิ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“ต้องรอให้ข้าเอาอาหารมาป้อนใส่ปากให้ด้วยไหม ทำอะไรเองบ้าง?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงมองค้อน
“งั้นหาไกด์นำทางให้ผมสักคนได้ไหม ขืนผมเดินดุ่ม ๆ เข้าไปแบบนี้ มีหวังได้โดนเจ้าถิ่นรุมกระทืบตายกันพอดี”
“ฝีมืออย่างเจ้ายังจะกลัวอะไรอีก” จักรพรรดิอ๋าวฮวงพูดจบ ร่างก็หายวับไปกลางอากาศ
ฉู่ชวิ๋นได้แต่รำพึงอะไรบางอย่างออกมาอีกสองสามคำ หลังจากนั้นก็เดินลงไปตามเนินเขา มุ่งหน้าเข้าไปสู่ช่องแคบที่แยกเทือกเขาออกเป็นสองฝั่ง
ที่ปากทางเข้าช่องแคบ มีค่ายกลที่จักรพรรดิอ๋าวฮวงกั้นเอาไว้ หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นยกเศษก้อนหินขึ้นหมุนกลางอากาศ เขาก็สามารถเดินทะลุเข้าไปด้านในค่ายกลได้อย่างไม่มีปัญหา
เศษก้อนหินในมือเป็นเหมือนกุญแจเปิดประตูมิติที่สำคัญมาก ถ้าเขาไม่มีมันอยู่ติดตัว ฉู่ชวิ๋นก็คงจะต้องโดนค่ายกลสังหารเสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากไม่เคยมีใครรอดชีวิตจากค่ายกลของจักรพรรดิอ๋าวฮวงได้มาก่อน
เมื่อเดินเข้าไปด้านในค่ายกลแล้ว บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไปทันที ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส ภูเขาเขียวขจี มีแม่น้ำชุ่มฉ่ำ ดอกไม้บานสะพรั่งอยู่ทุกหนทุกแห่ง พูดง่าย ๆ ที่นี่ราวกับเป็นสรวงสวรรค์
ฉู่ชวิ๋นเงยหน้ามองไปบนยอดเขา อดรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาไม่ได้
ไม่ไกลออกไปนัก มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ในความเงียบสงบสุข มีควันจากกองไฟลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า มีกลุ่มเด็กกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่บริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้าน
นี่มัน…ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจเลยจริง ๆ สถานที่แห่งนี้มันช่างห่างไกลจากสิ่งที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้มากมายหลายเท่า
หน่วยรบมังกรเงินตามที่ชายหนุ่มคิดเอาไว้ น่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีอายุหลายร้อยปี เข้ามาหลบซ่อนตัวในป่าลึกเพื่อฝึกวิชาอย่างมุ่งมั่น
แต่หมู่บ้านที่เงียบสงบแห่งนี้มันคืออะไรกัน?
หรือว่าตาแก่อ๋าวฮวงจะเล่นตลกกับเขาอีกแล้ว?
ฉู่ชวิ๋นเดินตรงไปยังหมู่บ้านประหลาดแห่งนั้น
หมู่บ้านอยู่ไม่ไกลก็จริง แต่ในความรู้สึกของฉู่ชวิ๋น มันเหมือนกับห่างไกลหลายร้อยกิโลเมตร
ฉู่ชวิ๋นเดินไปได้สักพัก ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของการต่อสู้ดังขึ้น เสียงนั้นดังอยู่ไม่ไกลสักเท่าไหร่ ฉู่ชวิ๋นจึงเดินลัดเข้าไปในภูเขา และพบแหล่งที่มาของเสียงการต่อสู้นั้นแล้ว
ชายหนุ่มอดประหลาดใจอีกครั้งไม่ได้
เด็กชายสามคนที่มีอายุไม่เกิน 12 ขวบ สวมใส่ผ้าเนื้อหยาบ กำลังต่อสู้กับวัวกระทิงตัวหนึ่งด้วยมือเปล่า
วัวกระทิงตัวนี้มีความยาวของลำตัวราวสี่เมตร มีความสูงประมาณหกเมตร ขาแต่ละข้างเหมือนกับเสาหินขนาดใหญ่ เขาทั้งสองข้างยาวข้างละสองเมตร มีความแหลมคมเหมือนใบดาบ ส่องแสงเป็นประกายสีขาวแวววาว
วัวกระทิงตัวนี้มีพลังระดับจักรพรรดิขั้นที่ 3
เด็กชายคนที่อยู่ด้านหน้าสุดหมุนตัวตีลังกากลางอากาศสูงขึ้นไปประมาณ 10 เมตร ก่อนที่จะกระโดดขึ้นขี่บนหลังวัวกระทิงได้อย่างพอดิบพอดี แล้วกำปั้นของเด็กชายก็เป็นประกายระยิบระยับเมื่อเขากระแทกหมัดใส่แผ่นหลังของวัวกระทิงสุดแรง
ฉู่ชวิ๋นมองดูด้วยความตกตะลึง ที่แท้เด็กชายคนนี้ก็ฝึกวิทยายุทธ์เช่นกัน และน่าจะมีพลังไม่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิอย่างแน่นอน
ความจริงแล้ว หมัดของเด็กชายไม่สามารถทำอันตรายวัวกระทิงได้เลย มีแต่จะทำให้มันบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น มันตะกุยขาทั้งสี่ข้างวิ่งเข้าหากลุ่มเด็กชายที่เหลืออยู่พร้อมด้วยแรงชนนับหมื่นปอนด์
“เร็วเข้า รีบโยนบ่วงไปเร็ว” เด็กชายคนหนึ่งร้องตะโกนพร้อมกับโยนบ่วงเถาวัลย์คล้องไปที่เขาข้างหนึ่งของวัวกระทิง
เด็กชายผู้เป็นเพื่อนอีกคนก็โยนบ่วงเถาวัลย์คล้องเขาอีกข้างของวัวกระทิงเช่นกัน
เด็กชายทั้งสองคนนี้โคจรพลังลมปราณ พยายามฉุดรั้งไม่ให้วัวกระทิงวิ่งหนีไป แต่ผลที่ได้ก็คือพวกเขากลับถูกมันลากถูลู่ถูกังไปตามพื้นดิน
ฉู่ชวิ๋นรับชมเหตุการณ์แล้วก็เกือบจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เด็กชายทั้งสามคนนี้กำลังทำสิ่งที่เย้ยชะตาฟ้าดิน พวกเขาไม่มีทางเอาชนะวัวกระทิงตัวนี้ได้เลย
วัวกระทิงขึ้นชื่อเรื่องพละกำลังมหาศาลมาแต่ไหนแต่ไร การต่อสู้กับมัน เรียกได้ว่าเป็นการรนหาที่ตาย
“เสี่ยวฉี กระโดดหนีมาเร็ว กระทิงตัวนี้แข็งแกร่งเกินไป เราเอามันไม่อยู่แน่” เด็กชายทั้งสองคนร้องประสานเสียงในขณะที่ถูกลากไปตามพื้นดิน
เด็กชายคนที่ขี่บนหลังวัวกระทิงใช้มือกำเส้นขนบนตัวของมันแน่น ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาว ก่อนที่วัวกระทิงตัวนั้นจะวิ่งชนก้อนหินใหญ่ เขาก็กระโดดหนีออกมาได้อย่างทันท่วงที
โครม!
แรงกระแทกนับหมื่นปอนด์ทำให้ก้อนหินใหญ่ก้อนนั้นแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี
วัวกระทิงยืนงงอยู่กับที่ ร่างกายใหญ่ยักษ์ของมันโอนเอนไปมาเหมือนคนที่ร่ำสุรามากเกินไป
มอออ!
มันคำรามเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า
เจ้าวัวกระทิงยักษ์หันหน้ามา ดวงตาสีแดงก่ำของมันจ้องมองเขม็งมาที่กลุ่มเด็กชาย พลัน สี่เท้าของมันตะกุยพื้นดินซึ่งสั่นสะเทือนทันที เขาแหลมของมันเป็นประกายส่องแสงสว่างในขณะที่พุ่งตรงเข้าไปหาเด็กชายคนหนึ่ง
“เสี่ยวฉี ช่วยฉันด้วย” เด็กชายผู้เป็นเป้าหมายเห็นดังนั้นก็อุทานออกมาด้วยความตื่นกลัว มือโยนบ่วงเถาวัลย์ออกไป เด็กชายที่กระโดดลงมาจากหลังวัวกระทิงลุกขึ้นรับบ่วงเถาวัลย์เอาไว้ แล้วออกแรงกระชากตัวเพื่อนสุดแรงเกิด
ครืน!
พื้นดินสั่นสะเทือน ต้นไม้สี่ถึงห้าต้นถูกวัวกระทิงชนล้มระเนระนาด เวลาต้นไม้เหล่านั้นล้มลงกระแทกพื้นจะส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“พวกเรารีบหนี กระทิงตัวนี้แข็งแกร่งมากเกินไป พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน” เด็กชายอีกคนหนึ่งพูด
“ไม่ได้ ฉันสัญญากับเธอเอาไว้แล้วว่าวันเกิดปีนี้ ฉันจะมอบรองเท้าหนังวัวให้เป็นของขวัญ” เด็กชายที่ชื่อเสี่ยวฉีปฏิเสธการถอนกำลัง
ครืน!
วัวกระทิงไล่กวดเข้ามาด้วยขาทั้งสี่ข้าง พื้นดินสะเทือนเหมือนเกิดเหตุแผ่นดินไหว มันพุ่งตรงเข้าไปหาเด็กชายอีกคนหนึ่ง เสียงดังน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“เสี่ยวผี รีบหนีไป” เสี่ยวฉีร้องตะโกน
เด็กชายผู้มีนามว่าเสี่ยวผีรีบกระโดดไปข้างทาง สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะจากวัวกระทิงยักษ์ได้อย่างหวุดหวิด แต่ในขณะที่เจ้าวัวกระทิงพุ่งเฉียดร่างของเขาไปนั้นเอง สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น
หางวัวกระทิงตวัดวาบเหมือนแส้สายฟ้าฟาดเข้าใส่ร่างของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น