จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 394 เข้าสู่หมู่บ้านประหลาด
บทที่ 394 เข้าสู่หมู่บ้านประหลาด
เคยมีคำกล่าวที่ว่าคนเราเชื่องเหมือนวัวควาย แต่วัวควายจะแสนรู้เหมือนคนหรือ?
อย่างน้อย วัวกระทิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาตัวนี้มันก็ไม่ได้โง่เกินไปนัก ถึงกับจะใช้หางของมันตวัดฟาดเด็กชายที่ชื่อเสี่ยวผีแล้ว
“เสี่ยวผี”
เด็กชายทั้งสองคนส่งเสียงร้องและพุ่งเข้าไปหาผู้เป็นเพื่อน
เสี่ยวผีตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน หางวัวแข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า เมื่อถูกกระแทกเข้าอย่างแรง กระดูกหน้าอกของเสี่ยวผีก็ยุบลงไป ผิวหนังเปิดออก กระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่
“เสี่ยวผี” เด็กชายทั้งสองคนร่ำร้องด้วยความตื่นตระหนก
มอออ!
เจ้าวัวกระทิงส่งเสียงคำรามลั่นในขณะที่หันหน้ากลับมา ดวงตาสีเลือดของมันจ้องมองเด็กทั้งสามคนเขม็ง จากนั้นมันก็ตะกุยขาทั้งสี่ข้าง ทะยานเข้าหากลุ่มเด็กชายผู้โชคร้าย
“พวกเราหนี” เสี่ยวฉีและเด็กชายอีกคนหนึ่งพยุงเพื่อนผู้บาดเจ็บ หันหลังกลับวิ่งหนีไม่คิดชีวิต
ครืน!
วัวกระทิงยักษ์เป็นเหมือนรถบดถนน พื้นดินสะเทือนยามที่มันวิ่งเต็มความเร็ว ต้นไม้เก่าแก่ที่ขวางทางถูกมันชนล้มระเนระนาดไปนับไม่ถ้วน
“เร่งความเร็ว มันตามมาแล้ว” หนึ่งในกลุ่มเด็กชายตะโกนด้วยความวิตกกังวล
แต่ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งวัวกระทิงผู้บ้าคลั่งได้อีกแล้ว ฝีเท้าของมันเร็วจัดจ้าน พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุดยั้งในขณะที่มันวิ่งไล่กวดเข้าใกล้เด็กชายทั้งสามคนมากขึ้นทุกที
เด็กชายทั้งสามคนที่หนึ่งในนั้นอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ไม่มีทางวิ่งหนีวัวกระทิงตัวนี้ได้ทันแน่นอน
“เข้าไปหลบข้างหลังเร็ว”
เบื้องหน้าพวกเขาเป็นก้อนหินยักษ์ขนาดใหญ่ เสี่ยวฉีตะโกนบอกเพื่อนในขณะที่หิ้วปีกเสี่ยวผีเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังก้อนหินด้วยกัน
ฉู่ชวิ๋นคิดว่าวัวกระทิงต้องวิ่งชนก้อนหินก้อนนั้นแน่นอน แต่ที่ไหนได้ มันกลับกระโดดข้ามก้อนหินหน้าตาเฉย เมื่อเท้าของมันสัมผัสพื้นอีกครั้ง วัวกระทิงยักษ์ก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับเด็กชายทั้งสามคน ลมหายใจสีขาวพุ่งออกมาจากสองรูจมูกของมัน เป่าใบไม้ที่กระจายอยู่บนพื้นดินปลิวว่อน
เด็กชายทั้งสามคนเอนตัวพิงก้อนหินด้วยความตื่นตระหนก ได้แต่นึกเสียใจที่คิดมาล้มวัวกระทิงตัวนี้
มอออ!
วัวกระทิงยักษ์คำรามเสียงดังสนั่นปานฟ้าร้อง แล้วเขาทั้งสองข้างของมันก็เป็นประกายสีแดงแวววาวในขณะที่ก้มหัววิ่งตรงเข้าใส่พวกเขาด้วยความเร็วเต็มอัตรา
เด็กชายทั้งสามคนแผ่นหลังติดก้อนหิน ไม่สามารถหลบหนีได้อีกแล้ว ได้แต่เบิกตาจ้องมองวัวกระทิงวิ่งตรงเข้ามา แล้วทั้งสามคนก็ต้องส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว พร้อมกับหลับตาปี๋รอคอยความตาย
เปรี้ยง!
คลื่นพลังลมปราณถูกยิงออกมา ใบไม้แห้งที่อยู่ในบริเวณนั้นกระจายเป็นผุยผงไปทันที
เด็กชายคนหนึ่งลืมตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว อดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนมายืนอยู่เบื้องหน้าของตนเอง และบุรุษหนุ่มคนนั้นกำลังลดกำปั้นลงมาอย่างช้า ๆ
ได้ยินเสียงวัวกระทิงส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ตัวของมันลอยกระเด็นไปไกล กระแทกกับต้นไม้โบราณหลายสิบต้น ก่อนที่ร่างของมันจะกลิ้งไปแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินที่สั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว
กลุ่มเด็กชายได้แต่จ้องมองชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาด้วยความพิศวง
ฉู่ชวิ๋นหันหน้ากลับมาแล้วคุกเข่าลง
เสี่ยวฉีสบตามองฉู่ชวิ๋น รีบพูดละล่ำละลักว่า “ท่านผู้กล้าหาญ ได้โปรดช่วยเหลือเสี่ยวผีด้วย”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย แล้วแนบฝ่ามือลงไปบนหน้าอกของเสี่ยวผี จากนั้นจึงใช้พลังลมปราณจำแลงรักษาอาการบาดเจ็บให้เด็กชาย
พลังลมปราณจำแลงสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างน่ามหัศจรรย์ อวัยวะที่บอบช้ำของเสี่ยวผีกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว กระดูกหน้าอกที่แตกหักก็เริ่มประสานตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
เพื่อนของเด็กชายทั้งสองคนมีสีหน้างุนงงสับสน พวกเขาก็ฝึกวิทยายุทธ์เช่นกัน จึงสังเกตเห็นได้ทันทีว่าเสี่ยวผีกลับมามีลมหายใจมั่นคงอีกครั้งหนึ่งแล้ว
วูบ!
ทันใดนั้น ลูกศรที่มีขนาดความยาว 3 เมตรก็พุ่งแหวกอากาศเข้ามาส่งเสียงดังหวีดหวิว โดยเป้าหมายของมันอยู่ที่กลางแผ่นหลังของฉู่ชวิ๋น
เด็กชายทั้งสองคนอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
มือข้างหนึ่งของฉู่ชวิ๋นยังวางอยู่บนหน้าอกของเสี่ยวผี แต่กลับมีม่านพลังสีม่วงปรากฏตัวขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของเขาและเด็กชายทั้งสามคนเอาไว้
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ลูกศรทั้งสามดอกยิงเข้าใส่ม่านพลัง ประกายไฟเป็นประกาย แล้วลูกศรทั้งสามดอกก็แตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปในพริบตา
ในขณะนี้ ใบหน้าของเสี่ยวผีกลายเป็นสีแดงซ่าน ลมหายใจกลับมามั่นคง ฉู่ชวิ๋นลดมือลงและหันหน้ามองกลับไปข้างหลัง
วูบ!
ลูกศรอีกสามดอกถูกยิงเข้ามาเป็นระลอกที่สอง ฉู่ชวิ๋นสัมผัสได้ถึงพลังอันรุนแรงที่พุ่งเข้ามา
ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายเย็นชา เมื่อลูกศรพุ่งเข้ามาถึงตรงหน้าเขา ฉู่ชวิ๋นก็ยกมือขึ้นยิงพลังลมปราณใส่ตัวลูกศร ส่งผลให้ลูกศรเหล็กที่ถูกยิงเข้ามาแตกกระจัดกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกครั้ง
เด็กชายผู้อยู่ด้านหลังทั้งสองคนปากอ้าตาค้าง ลูกศรเหล็กเหล่านี้แตกกระจายไปด้วยการโคจรพลังเพียงครั้งเดียว บ่งบอกให้รู้ว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน
“ใคร? ออกมาเดี๋ยวนี้”
ฉู่ชวิ๋นคำรามด้วยความโกรธแค้น เสียงของเขาดังกังวานเหมือนเสียงคำรามของมังกร กึกก้องดังสะท้อนไปทั่วหุบเขา
ในที่ที่ห่างออกไป กลุ่มชายฉกรรจ์ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินใหญ่ พวกมันสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดจากถุงกระสอบ กำลังยกคันธนูที่มีขนาดความยาว 3 เมตร เสียงคำรามที่ดังกึกก้องกังวานของฉู่ชวิ๋นทำให้ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้รู้สึกวิงเวียนศีรษะเหมือนคนเมาเรือขึ้นมาทันที
“หัวขโมยคนนี้มีฝีมือไม่ใช่เล่น ทุกคนระวังตัว” หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ออกปากเตือน
เมื่อพวกมันหายเวียนหัวแล้ว ก็พร้อมใจกันกระโดดออกจากที่ซ่อนตัว ง้างคันธนูและเล็งลูกศรใส่ฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง
“เจ้าหัวขโมยอยู่ที่ไหน? เรารีบเข้าไปช่วยเหลือเด็กกันเถอะ” คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มตะโกน
เห็นได้ชัดว่าพวกมันเคร่งเครียดไม่น้อย
“พ่อครับ” เสี่ยวฉีกับเพื่อนตะโกนหาชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ในกลุ่มนั้น
“เสี่ยวฉี เสี่ยวซาน ไม่ต้องกลัวนะ” หัวหน้ากลุ่มเป็นชายที่สูงประมาณสองเมตร ร่างกายใหญ่โตและแข็งแรงมาก เช่นเดียวกับลูกศรที่เขาเป็นคนยิงออกมาเองเมื่อสักครู่นี้
“พ่อเข้าใจผิดแล้ว ท่านผู้กล้าหาญคนนี้ช่วยเหลือพวกเราไว้ต่างหาก” เสี่ยวฉีตะโกน
กลุ่มชายฉกรรจ์ตกตะลึงไปทันที
“พ่อครับ พ่อเข้าใจผิดแล้วจริง ๆ” เสี่ยวฉีวิ่งเข้าไปหาหนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์
เมื่อเห็นว่าฉู่ชวิ๋นไม่ได้รั้งตัวเสี่ยวฉีเอาไว้ กลุ่มชายฉกรรจ์ก็เริ่มเบาใจลงเล็กน้อย
“เสี่ยวฉี ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มถาม
เสี่ยวฉีรับหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด
กลุ่มชายฉกรรจ์หันมองหน้ากัน จากนั้นจึงพร้อมใจกันเดินตรงเข้ามาหาฉู่ชวิ๋น
“ฉันต้องขอโทษคุณชายผู้กล้าหาญ เมื่อสักครู่นี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด โปรดให้อภัยพวกเราด้วย” ชายฉกรรจ์ที่เดินนำหน้าโค้งตัวขออภัย
ฉู่ชวิ๋นยื่นมือออกไปส่งสัญญาณบอกว่าไม่เป็นไร แต่พลังลมปราณที่ลอยออกมาเบา ๆ นั้น ก็ทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์อดเอามือแตะดาบที่ข้างเอวด้วยความหวาดระแวงไม่ได้
“ไม่เป็นไร ก็แค่เข้าใจผิดเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ฉู่ชวิ๋นพอจะเดาออกว่าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเด็กชายทั้งสามคนนี้แน่นอน
เมื่อสักครู่ที่ทำการรักษาเสี่ยวผี คนกลุ่มนี้คงเข้าใจว่าเขากำลังทำร้ายเด็กทั้งสามคน
กลุ่มชายฉกรรจ์มีสีหน้าตื่นตระหนก พวกเขามีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 5 แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับมีพลังแข็งแกร่งมากกว่านั้น ถึงกลับส่งพลังออกมาต้านทานไม่ให้พวกเขาโค้งตัวได้อีกต่อไปแล้ว
“ไม่ทราบว่าท่านผู้กล้าหาญมาจากข้างนอกหรือครับ?” ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มถาม ถึงแม้ว่าฉู่ชวิ๋นจะช่วยเหลือเด็กทั้งสามคนเอาไว้ เรื่องนั้นพวกเขาขอบคุณ แต่ที่มาที่ไปของบุรุษหนุ่มผู้นี้ยังคงเป็นปริศนา
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“ที่ภูเขาด้านนอกมีค่ายกลกั้นเขตแดน ไม่ทราบว่าคุณชายเข้ามาได้อย่างไร?”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกอึดอัดกับคำถามประเภทนี้ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ฉันก็แค่เดินเข้ามา”
“กลับไปให้หัวหน้าหมู่บ้านจัดการดีกว่านะ” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกระซิบกระซาบกับเพื่อนร่วมกลุ่ม
บุรุษหนุ่มแปลกหน้ามีพลังน่ากลัวมากเกินไป ไม่ควรตอแยด้วยเป็นอันขาด พวกเขาทราบดีว่าตนเองไม่อาจเป็นคู่มือของชายหนุ่มได้เลย แต่ถ้ากลับเข้าสู่หมู่บ้านเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบทันที
“คุณชายผู้กล้าหาญ หมู่บ้านของเราอยู่เบื้องหน้านี้เอง ไปพักที่หมู่บ้านของเราก่อนดีกว่านะครับ” ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มว่า
“ฉันมีธุระต้องไปจัดการ” ฉู่ชวิ๋นตอบ เขามาตามหาหน่วยรบมังกรเงิน ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้ว
“พี่ชาย แถวนี้มีแค่หมู่บ้านเราแห่งเดียวเท่านั้น แถมตอนนี้ก็เย็นแล้วด้วย ได้เวลาที่พวกสัตว์ร้ายจะเริ่มออกล่าอาหาร พี่ชายอยู่คนเดียวไม่ปลอดภัย เข้าไปพักที่หมู่บ้านของพวกเราก่อนดีกว่าครับ” เสี่ยวฉีพูดเสียงดัง
มีแค่หมู่บ้านเดียวอย่างนั้นหรือ? ฉู่ชวิ๋นถามว่า “หมู่บ้านของนายชื่ออะไร?”
“หมู่บ้านมังกรเงินครับ” เสี่ยวฉีตอบ
หมู่บ้านมังกรเงิน หน่วยรบมังกรเงิน ฉู่ชวิ๋นเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาเล็กน้อย
“ตกลง!” ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเห็นด้วย
เสี่ยวฉีกับเด็กชายที่ชื่อเสี่ยวซานดีใจยกใหญ่ ทั้งสองก็แค่อยากขอบคุณชายหนุ่มผู้กล้าหาญ ไม่ได้คิดมีเจตนาแอบแฝงอย่างพวกผู้ใหญ่เลย
ฉู่ชวิ๋นเดินตามกลุ่มคนประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงหมู่บ้านในที่สุด
ในหมู่บ้านแห่งนี้ บ้านทุกหลังทำมาจากก้อนหิน บัดนี้ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน แสงสุดท้ายของวันอาบไล้ทั่วหมู่บ้าน ให้บรรยากาศที่ดูลึกลับและสงบสุข
มีคนจำนวนไม่น้อยยืนรออยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อพบเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังกลับมาแล้ว คนกลุ่มนั้นก็รีบเข้ามาสอบถามทันที
“เสี่ยวผีเป็นอะไรไป?” หญิงสาวคนหนึ่งร้องไห้น้ำตาไหลเมื่อพบกับร่างที่หมดสติของเสี่ยวผี
“จะร้องไห้ทำไม? เขาแค่บาดเจ็บเท่านั้น พักฟื้นอีกสองวันก็หายดีแล้ว” หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นำทางฉู่ชวิ๋นมาที่หมู่บ้านพูดเสียงดังกังวาน
แต่คนจำนวนไม่น้อยกำลังจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความสงสัย
“ต้าซาน น้องชายคนนี้เป็นใครกัน?” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยถาม
“น้องชายคนนี้เป็นผู้กล้าที่ช่วยชีวิตเสี่ยวผีเอาไว้” ชายฉกรรจ์หัวหน้ากลุ่มที่มีนามว่าต้าซาน รับหน้าที่แนะนำตัวฉู่ชวิ๋นอย่างรวบรัด
บรรดาผู้คนจากในหมู่บ้านพร้อมใจกันขอบคุณฉู่ชวิ๋นอย่างเรียบง่าย
ฉู่ชวิ๋นพบว่าหมู่บ้านนี้ผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้หญิงหรือเด็กเล็ก ต่างก็เป็นผู้ที่ฝึกวิทยายุทธ์ทั้งสิ้น
“คุณปู่หัวหน้าหมู่บ้านออกมาแล้ว” เสี่ยวฉีตะโกนเสียงดัง
ฉู่ชวิ๋นหันหน้าไปมอง และพบเข้ากับชายชราผมขาวผู้หนึ่ง ในมือของเขาถือไม้เท้าที่มีความสูงมากกว่าตัวเขาเอง บนใบหน้าของชายชราประดับด้วยรอยยิ้มใจดี ชายชราผู้นี้เดินออกมาจากหมู่บ้านอย่างแช่มช้า
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลงเล็กน้อย ชายชราคนนี้ความจริงไม่ได้แก่เฒ่าเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก ฉู่ชวิ๋นสัมผัสได้เลยว่าชายชรามีพลังไม่ต่ำกว่าขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ซึ่งน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
กลุ่มคนแหวกออกเป็นทาง ชายฉกรรจ์สองสามคนเดินเข้าไปจะช่วยประคองชายชรา แต่ก็ถูกปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันแก่เกินกว่าจะเดินด้วยตัวเองแล้วหรือไง?” ชายชรากล่าวอย่างอารมณ์ดี
หลังจากนั้น เขาก็หันมามองหน้าฉู่ชวิ๋น ดวงตาเป็นประกายแวววาวเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดยิ้ม ๆ “ขอบคุณน้องชายที่ช่วยเหลือเด็กซนพวกนี้”
“แถวนี้ไม่เคยต้อนรับคนนอกบ้างเหรอครับ” ฉู่ชวิ๋นพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นานมากแล้วที่หมู่บ้านของเราไม่เคยต้อนรับคนนอก ทุกคนย่อมเกิดความสงสัยเป็นธรรมดา อย่าถือสาหาความเลยนะ” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงมีเมตตา
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ พยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจ
ชายชราผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ สามารถปกปิดตัวจริงได้อย่างแนบเนียนยิ่งนัก ฉู่ชวิ๋นเข้าใจดีว่าภายใต้รูปลักษณ์ของผู้เฒ่าใจดี มีรอยยิ้มเป็นมิตรเหมือนซานตาคลอสของพวกฝรั่ง แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นแล้ว ชายชราก็สามารถกลายร่างเป็นเสือร้ายได้ภายในพริบตาเดียว
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว อย่าทำตัวหยาบคายใส่แขกของเราแบบนี้สิ” ชายชราออกคำสั่ง
จากนั้น เขาก็หันกลับมาพูดกับฉู่ชวิ๋นว่า “น้องชาย ฉันลืมแนะนำตัวเองไปเลย ฉันคือหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ มีนามว่าหลงชิงฉวน”
“ฉู่ชวิ๋น” ฉู่ชวิ๋นแนะนำตัวเองบ้าง
“ที่แท้ก็เป็นน้องฉู่ชวิ๋นนี่เอง” ชายชราเดินแหวกกลุ่มเด็กชายเข้ามาถึงตัวของฉู่ชวิ๋น และเอ่ยปากเชิญชวน “ไปเถอะ เข้าไปคุยในหมู่บ้านกันดีกว่า”
“คุณปู่ครับ คุณปู่ครับ ให้พี่ชายไปพักที่บ้านเราได้ไหม” เสี่ยวฉีพูด
หลงชิงฉวนยิ้มกว้าง เอื้อมมือไปขยี้หัวเสี่ยวฉี แล้วพูดว่า “คุณปู่มีบางอย่างจะคุยกับพี่ชายคนนี้เขาหน่อย เอาไว้วันพรุ่งนี้หลานค่อยชวนเขาไปค้างคืนที่บ้านดีไหม?”
เสี่ยวฉีพยักหน้าด้วยความยินดี
ฉู่ชวิ๋นได้รับเชิญให้เข้าสู่หมู่บ้าน และเดินตรงไปยังที่พักของหลงชิงฉวน
หมู่บ้านแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ แต่ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาที่พบเห็นระหว่างทาง
เด็กจำนวนไม่น้อยอายุ 7 ถึง 8 ขวบ กำลังโยนก้อนหินที่มีน้ำหนักหลายพันกิโลกรัมเล่นกันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
ส่วนเด็กอายุ 10 ขวบอีกกลุ่มหนึ่ง ก็กำลังยกหินที่มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าเด็กกลุ่มเมื่อสักครู่นี้ขึ้นเหนือศีรษะ และทุ่มออกไปไกลหลายร้อยเมตร ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนครืนครัน
รวมถึงยังมีเด็กเล็กประมาณ 4 ถึง 5 ขวบอีกกลุ่มใหญ่ กำลังดึงหางสิงโตยักษ์ที่มีความสูง 3 เมตรและความยาวลำตัว 5 เมตรเล่นด้วยความสนุกสนาน
ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงไม่น้อย สิงโตตัวนี้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 5 แต่กลับถูกเด็กกลุ่มนี้ลากไปลากมาบนพื้นดินเหมือนกับเป็นลูกแมวตัวหนึ่ง
ฉู่ชวิ๋นได้แต่อุทานอยู่ในใจว่า นี่มันหมู่บ้านอะไรกันเนี่ย?