จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 397 เหตุผลที่ต้องฆ่า
บทที่ 397 เหตุผลที่ต้องฆ่า
ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ความหมายของเขานั้นชัดเจน ยอมรับความผิดจะรอดชีวิต ไม่เช่นนั้นต้องตายสถานเดียว
“ไอ้หน้าอ่อน คิดว่าฉันจะกลัวที่แกพูดหรือไง?” หลงไคระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“เท่ากับว่าจะไม่ยอมรับความผิดใช่ไหม?” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นปราศจากความรู้สึกแม้แต่น้อย
หลงไคหัวเราะลั่น ก่อนจะหยิบลูกศรมาประทับกับคันธนู แล้วยิงเข้าใส่ชายหนุ่มผู้แปลกหน้า
ฟ้าว!
ลูกศรเหล็กที่มีความยาวสองเมตรพุ่งเข้ามาหาฉู่ชวิ๋นเหมือนกับหอกแหลม เสียงวัตถุแหวกอากาศดังน่าขนลุก
“หลงไค!” หลงชิงฉวนคำรามด้วยความเดือดดาล
ฉู่ชวิ๋นยกมือโบกสะบัด ดวงตาของเขาแผ่รังสีฆ่าฟันเต็มเปี่ยม
เช้ง!
ลูกศรเหล็กที่พุ่งมาถึงเบื้องหน้า ถูกพลังลมปราณจากมือของฉู่ชวิ๋นซัดใส่เข้ากึ่งกลาง ส่งผลให้ลูกศรเหล็กที่ยาวสองเมตรระเบิดกระจุยไปทันที
กลุ่มคนที่อยู่รอบบริเวณได้แต่จ้องมองด้วยความตกตะลึง
“ในเมื่อตาเฒ่าอ๋าวยกพวกนายให้กับฉันแล้ว ฉันก็มีสิทธิ์ตัดสินใจขั้นเด็ดขาด”
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ร่างของฉู่ชวิ๋นก็พุ่งตรงขึ้นไปบนยอดเขาแล้ว
หลงไคตกตะลึงกับความเร็วของฉู่ชวิ๋น
“พวกเรารุมยิงมัน” หลงไคร้องตะโกน
แล้ววินาทีต่อมา ลูกศรเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่ฉู่ชวิ๋นที่กำลังกระโดดสวนขึ้นไปบนยอดเขา
เช้ง!
ฉู่ชวิ๋นยังคงลอยตัวขึ้นไปบนยอดเขาราวกับเป็นผีเสื้อ ลูกศรเหล็กที่พวกของหลงไคยิงเข้ามา ถูกพลังลมปราณของเขาปัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง
เปรี้ยง…!
ก้อนหินขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัมเมื่อถูกลูกศรเหล็กพุ่งเข้าใส่ มันก็ระเบิดกระจายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย แสดงให้เห็นถึงความน่าหวาดกลัวของลูกศรเหล็กเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
ฉู่ชวิ๋นมีความเร็วที่น่ากลัวมาก เพียงเสี้ยววินาที ชายหนุ่มก็มาถึงตัวหลงไคที่ยืนอยู่บนยอดเขาได้เรียบร้อยแล้ว และก่อนที่หลงไคจะได้มีโอกาสยิงลูกศรออกมาอีกครั้ง พลังลมปราณสีม่วงก็พุ่งเข้าไปหาเขาในขณะที่กำลังยกมือขึ้น
หลงไคส่งเสียงร้องคำราม ร่างกายมีลมปราณคุ้มกายสีขาวบางๆ ห่อหุ้มเอาไว้ เขายกคันธนูที่ยาว 3 เมตรขึ้น และยิงลูกศรใส่พลังลมปราณที่พุ่งเข้ามา
เปรี้ยง!
เกิดการระเบิดอย่างน่ากลัว แรงระเบิดแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ยอดเขาที่อยู่ข้างเคียงสั่นสะเทือนจากคลื่นแรงระเบิด หลงไคส่งเสียงคำรามอีกครั้งและอีกครั้ง เขาต้องกระโดดล่าถอยไปไกล เพียงชั่วอึดใจเดียว เท้าของเขาก็มาหยุดอยู่ตรงขอบเหว เกือบจะพลัดตกลงไปไม่รู้ตัวเสียแล้ว
“มีฝีมือไม่ใช่เล่น แต่คิดหรือว่าแค่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ก็จะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานแล้ว?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คนแบบแก ฉันฆ่ามานับไม่ถ้วน”
ฉู่ชวิ๋นต่อยหมัดออกไปเต็มแรง แล้วพลังลมปราณก็พวยพุ่งออกจากหมัดของเขา
หลงไคร้องคำรามในลำคอ น้าวคันธนูยิงลูกศรใส่ฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง คราวนี้เขาบรรจุพลังลมปราณลงไปด้วยหมดตัว
เปรี้ยง!
สีหน้าของหลงไคเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง ลูกธนูที่เขายิงออกไป ฉู่ชวิ๋นสามารถคว้าจับไว้ได้อย่างง่ายดาย
เปรี้ยง!
กำปั้นขวาของฉู่ชวิ๋นระเบิดแสงเป็นประกายราวฟ้าแลบ ลมปราณคุ้มกายที่ห่อหุ้มตัวหลงไคแตกสลายหายไปสิ้น หน้าอกของเขาถูกหมัดของฉู่ชวิ๋นกระแทกเข้าไปเต็มแรง บังเกิดเสียงดังทึบ ๆ เหมือนคนตีกลอง
หลงไคส่งเสียงร้องโหยหวน กระอักเลือดคำใหญ่ออกมาจากปาก หลังจากนั้นก็กลิ้งตกภูเขาไป
ฟ้าว…!
ลูกศรเหล็กที่มีความยาว 2 เมตรสองดอก พุ่งแหวกอากาศเข้ามาอีกครั้ง
ฉู่ชวิ๋นยังคงมีแววตาเรียบเฉย เมื่อลูกศรโลหะใกล้เข้ามาถึงตัวเขา ชายหนุ่มก็ตวัดมือคว้าจับมันเอาไว้ด้วยมือเปล่า
คันธนูและลูกศรมาอยู่ในมือของเขาแล้ว
คันธนูนี้เป็นของหลงไค ส่วนลูกศรเป็นของคนที่ยิงเข้ามาใส่ฉู่ชวิ๋นเมื่อสักครู่
ฟ้าว!
ฉู่ชวิ๋นน้าวคันธนูยิงลูกศรโต้ตอบกลับไป
“นี่มันอะไรกัน…”
เกิดเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังมาจากยอดเขาฝั่งตรงข้าม มือธนูที่ยิงใส่ฉู่ชวิ๋นก่อนหน้านี้ ถูกลูกศรของตนเองย้อนศรปักกลับเข้าไปที่หน้าอกซึ่งกลายเป็นรูโบ๋ขนาดใหญ่ ตัวคนลอยกระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตร
พวกของหลงอี้เฝ้ามองด้วยความตกตะลึง
บรรดาชายชราในคณะของหลงชิงฉวนไม่สามารถตกใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว
นี่คือครั้งแรกที่เด็กชายเยาว์วัยอย่างเช่นเสี่ยวฉีพบเห็นการฆ่าคนต่อหน้าต่อตา จึงอดส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจไม่ได้
ฉู่ชวิ๋นมีแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก เขาน้าวคันธนูและยิงลูกศรออกไปอีกครั้ง โดยเล็งเป้าหมายไปยังชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่บนยอดเขาด้านข้าง
ดวงตาของชายฉกรรจ์ผู้นั้นเต็มไปด้วยความตื่นกลัว เขาไม่มีเวลาได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ก็เห็นลูกศรจากในมือของฉู่ชวิ๋นพุ่งเข้ามาแล้ว
เขารีบสร้างลมปราณคุ้มกายอันหนาแน่นขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ทันที พลังลมปราณถูกโคจรอย่างหนักหน่วง ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็ประทับลูกศรเหล็กในมือลงบนคันธนูและยิงสวนกลับไปที่ฉู่ชวิ๋นเช่นกัน
เปรี้ยง!
ลูกศรเหล็กพุ่งเข้าไปปะทะกับลูกศรของฉู่ชวิ๋น ส่งผลให้ลูกศรเหล็กของมันระเบิดกระจายกลางอากาศ
ฟู่!
ลูกศรเหล็กของฉู่ชวิ๋นไม่ได้ระเบิดไปด้วย แต่กลับสามารถพุ่งเข้ามาปักที่ลำคอของเขา ทำให้ตัวคนลอยกระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตร
ลูกศรดอกสุดท้าย ฉู่ชวิ๋นเล็งเป้าหมายไปที่คนผู้หนึ่ง
ฟ้าว!
ลูกศรพุ่งโค้งออกไปเหมือนกับดาวตกลงมาจากท้องฟ้า
“เหวอ…” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ที่ยืนอยู่บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวในขณะที่กระโดดลงจากยอดเขา พยายามหลบหนี
ฟู่!
ลูกศรเหล็กพุ่งเข้าไปเสียบใส่ที่เอวของเขาทะลุผ่านกลางลำตัว เลือดสาดกระจาย แล้วร่างกายของเขาก็ถูกลูกศรเหล็กตัดขาดเป็นสองท่อน
เงียบ เงียบสงัด!
ในขณะนี้ ทุกคนเฝ้ามองด้วยความตกตะลึงจนหัวใจแทบหยุดเต้น
“ยิงมันเลย มันไม่เหลือลูกศรแล้ว” หลงไคตะโกนออกมาด้วยความคับแค้นใจ หน้าอกของเขาถูกฉู่ชวิ๋นต่อยจนกระดูกยุบ กระดูกชายโครงแตกหัก อวัยวะภายในบอบช้ำรุนแรง
เขาทั้งหวาดกลัวและโกรธแค้น เข้าใจดีว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่ควรไปตอแยด้วยเลย อีกฝ่ายมีพลังวรยุทธ์สะเทือนฟ้าดิน เมื่อพูดว่าจะฆ่าก็ลงมือ ไม่มีเอ่ยปากเตือนคำใดทั้งสิ้น
แว่วเสียงตะโกนขานรับดังมาจากยอดเขา ลูกศรถูกประทับเข้ากับคันธนู แล้วลูกศรดอกหนึ่งก็ถูกยิงเข้าใส่ฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง
ลูกศรดอกนี้สามารถทำลายก้อนหินใหญ่ให้แหลกสลายได้เป็นผุยผงในพริบตาเดียว
ฉู่ชวิ๋นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย น้าวคันธนูที่ไม่มีลูกศร เขาเล็งเป้าหมาย จากนั้นจึงปล่อยมือ ได้ยินเสียงลูกศรแหวกอากาศออกไปทันที
ฟ้าว!
เห็นได้ชัดว่าในมือไม่มีลูกศร แต่กลับมีลูกศรพุ่งออกไปแล้ว
เปรี้ยง!
ลูกศรเหล็กที่พุ่งเข้ามา ปะทะเข้ากับลูกศรลมปราณสีม่วง แล้วเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อก็บังเกิดขึ้น ลูกศรเหล็กที่พุ่งเข้ามาถูกพลังลมปราณกระแทกจนแตกกระจายเป็นหลายส่วน ร่วงกราวลงจากกลางอากาศ
ตู้ม!
เศษลูกศรที่แตกหักร่วงลงมาจากท้องฟ้าเหมือนหยาดฝนโปรยปราย ร่างครึ่งหนึ่งของชายฉกรรจ์ซึ่งเป็นคนยิงลูกศรออกมา ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือดไปเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนที่รับชมอยู่ต่างก็ตัวเย็นวาบด้วยความรู้สึกสยดสยอง
หลงชิงฉวนและกลุ่มชายชรา รวมถึงกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงนั้นพากันปิดตาพวกเด็กชายเสี่ยวฉี ด้วยว่าไม่มีใครกล้าให้พวกเขาได้พบเห็นความน่าสยองขวัญที่มากเกินไปแบบนี้
ฟ้าว!
ลูกศรลมปราณสีม่วงยังคงพุ่งออกไปเป็นประกายสว่างไสว
ตู้ม!
ชายฉกรรจ์อีกหนึ่งคนร่างระเบิดกลายเป็นม่านหมอกเลือด แม้แต่ลูกศรเหล็กในมือของเขาก็แตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี
ฟ้าว…!
ลมปราณเปร่งประกาย ลูกศรลมปราณสีม่วงถูกยิงออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
หยาดฝนเลือดพร่างพรมลงมาจากยอดเขา ไม่ว่าผู้ใดถูกลูกศรลมปราณสีม่วงยิงเข้าใส่ เขาผู้นั้นก็จะกลายเป็นม่านหมอกเลือด แม้แต่ศพก็ไม่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้
“นะ…นายท่านฉู่ชวิ๋น ให้อภัยพวกเราด้วย…พวกเราผิดไปแล้ว…”
บริวารของหลงไคที่ก่อนหน้านี้มีอยู่หลายสิบคน ในขณะนี้เหลือเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น พวกเขาต่างหวาดกลัวว่าชะตาจะขาด จึงก้มลงคุกเข่าหมอบกราบบนพื้นดินตัวสั่นงันงก
ฉู่ชวิ๋นมีสีหน้าเรียบเฉยปราศจากความรู้สึก น้าวสายรั้งพร้อมกับทำท่าประทับลูกศรเข้ากับคันธนู หากเขาออกแรงมากกว่านี้อีกนิดเดียว คันธนูก็อาจจะแตกหักได้
“ฉันลืมบอกพวกนายไปเลยว่า พวกคนที่โลกข้างนอกตั้งฉายาให้กับฉันว่าจอมมารฉู่ชวิ๋น”
ฟ้าว!
ลูกศรลมปราณสีม่วงถูกยิงออกไปอีกครั้ง แล้วร่างของชายฉกรรจ์ก็ระเบิดกลายเป็นม่านหมอกเลือด
“นายท่านฉู่ชวิ๋น ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเขาด้วย”
หลงชิงฉวนทนดูไม่ไหวแล้ว ตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา อย่าว่าแต่ไม่เคยมีนักรบมังกรเงินคนไหนจะตกตายด้วยฝีมือของสัตว์ร้ายในป่า พวกเขาย่อมไม่เคยถูกฆ่าด้วยธนูดอกเดียวเช่นนี้มาก่อน
“จักรพรรดิอ๋าวฮวงคอยคุ้มครองพวกนายมาหลายพันปี ทำให้พวกนายได้อยู่กันอย่างสงบสุขมาหลายชั่วอายุคน มอบดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ให้อยู่อาศัย ไม่มีความวุ่นวายของโลกภายนอกเข้ามารบกวน พวกนายควรจะดีใจและสำนึกบุญคุณ แต่ที่ไหนได้กลับก่อคลื่นใต้น้ำทำตัวแข็งข้อ แบบนี้ฉันให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด”
“ทุกอย่างที่พวกนายได้ใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือพลังวรยุทธ์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนได้จากจักรพรรดิอ๋าวฮวงทั้งสิ้น แต่พวกนายกลับไม่เหลือความเคารพต่อตัวเขาเลย รู้ไหม ในขณะนี้ที่โลกข้างนอกมีพวกชั่วร้ายปรากฏตัวออกมามากมาย เช่นเดียวกับพวกสัตว์ประหลาดที่มีหลากหลายสายพันธุ์ ในเมื่อพวกนายไม่รู้จักการสำนึกบุญคุณ ฉันก็จะกำจัดพวกนายออกไปจากโลกนี้ซะ สำหรับคนอื่น ฉันอาจจะเป็นเทพเจ้าของพวกเขา แต่สำหรับพวกนาย ฉันคือปีศาจร้าย”
ฟ้าว! ฟ้าว!
ชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่อีกสองคนไม่ทันได้เปล่งเสียงร้อง ร่างก็ระเบิดกลายเป็นม่านหมอกเลือดไปแล้ว
กลุ่มชายชราของหลงชิงฉวนริมฝีปากกระตุก จะให้พวกเขาพูดอะไรได้อีก? นี่คือจุดจบที่มองออกตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
ฉู่ชวิ๋นกระโดดลงจากภูเขาเข้าไปหาหลงไค
“พวกเขารับโทษด้วยการชดใช้ชีวิตไปแล้ว” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาน่าขนลุก
หลงไคมีสีหน้าเศร้าหมอง ความรู้สึกเสียใจ เสียดาย และรันทดหดหู่ปรากฏขึ้นในแววตาของเขา
“ฆ่าฉันเลยสิ!” หลงไคหลับตาลง
“ฉันจะไว้ชีวิตนาย” ฉู่ชวิ๋นพูด
หลงไคลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว
“ขอบคุณนายท่านฉู่ชวิ๋นที่ไม่ฆ่าฉัน หลงไคคนนี้ขอสาบานว่าจะภักดีกับคุณตลอดไป ไม่ว่าฟ้าจะถล่มหรือแผ่นดินจะทลาย แต่ความภักดีของฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงเด็ดขาด”
ฟู่!
พลังลมปราณระเบิดออกมา เลือดสาดกระจายไปทุกทิศทุกทาง ศีรษะของหลงไคหลุดกระเด็นออกจากบ่า ดวงตาของเขายังคงเหลือกค้างด้วยความเหลือเชื่อ
ทุกคนเฝ้าดูด้วยความรู้สึกเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ทุกสายตาจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความตกตะลึง
“ในขณะที่บริวารของมันตกตายไปหมดแล้ว แต่คนผู้นี้กลับไม่มีแววตาเสียใจต่อการจากไปของบริวารเลยสักนิดเดียว แถมเมื่อได้ยินว่าตนเองมีหนทางรอดชีวิต ดวงตาของมันก็เป็นประกายแวววาว คนที่สามารถละทิ้งจักรพรรดิอ๋าวฮวงได้ ย่อมต้องละทิ้งพวกพ้องของตนเองได้เช่นกัน แล้วจะให้ปล่อยมันเอาไว้ได้ยังไง?” ฉู่ชวิ๋นพูดในขณะที่ทอดสายตาจ้องมองร่างไร้ศีรษะของหลงไค
“ให้คนมาเก็บกวาดที่นี่ซะ หลังจากนั้นแจ้งเตือนให้พวกเขามารวมตัวกันในอีก 1 ชั่วโมง” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่งกับหลงอี้
“รับทราบครับ!” หลงอี้รับคำอย่างไม่ลังเล
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย พอใจในปฏิกิริยาตอบรับของหลงอี้ ถ้าหากหลงอี้มีความลังเลแม้แต่นิดเดียว ฉู่ชวิ๋นก็คงต้องฆ่าเขาเป็นรายต่อไป
เนื่องจากมีสถานะเป็นนักรบมังกรเงิน ถ้าลังเลต่อการปฏิบัติตามคำสั่ง แล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า?
ว่ากันตามความจริง ฉู่ชวิ๋นรู้สึกผิดหวังกับหน่วยรบมังกรเงินอยู่ไม่น้อย
หลงอี้นำกลุ่มคนทำความสะอาดพื้นที่และเก็บศพอย่างรวดเร็ว
ฉู่ชวิ๋นเดินไปหยุดยืนที่ริมน้ำ พิจารณาผิวน้ำของทะเลสาบหลงกวน ทะเลสาบแห่งนี้แปลกมาก ในเมื่อตั้งอยู่ในดินแดนม่านพลัง จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็สามารถทำให้มันเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ขนาดไหนก็ได้ แต่เท่าที่เห็นมันมีขนาดแค่ไม่กี่คิวบิกเมตรเท่านั้น ทว่ากลับสามารถเป็นแหล่งน้ำให้ทุกคนใช้ประโยชน์ได้อย่างยาวนานหลายพันปี
ฉู่ชวิ๋นปล่อยกระแสพลังจิตลงไปสำรวจใต้น้ำ ไม่นานนักเขาก็พบเห็นอะไรบางอย่าง บริเวณก้นทะเลสาบเป็นพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณ ดูเหมือนว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงจะจงใจเลือกตำแหน่งนี้มาโดยเฉพาะ พื้นที่ใต้น้ำแห่งนี้มีความสำคัญในระดับที่สามารถกำหนดความเป็นความตายของชาวหมู่บ้านมังกรเงิน ฉู่ชวิ๋นไม่มีเจตนาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เขาถอยออกมาอย่างเงียบ ๆ
ฉู่ชวิ๋นหันหน้ากลับมากวาดตามองรอบตัว เห็นว่าพวกของเสี่ยวฉีหนีไปอยู่หลังพวกหลงชิงฉวนและกำลังแอบมองเขาด้วยความหวาดกลัว เมื่อพบว่าฉู่ชวิ๋นกำลังจ้องมองไปที่ตัวเอง เด็กชายก็รีบหลบสายตาทันที
“มานี่สิ” ฉู่ชวิ๋นกวักมือเรียก
เสี่ยวฉีมีสีหน้าตื่นกลัวขึ้นมาทันที ในสายตาของเขา ฉู่ชวิ๋นไม่ได้เป็นพี่ชายใจดีผู้ช่วยชีวิตเขาอีกต่อไปแล้ว
“เสี่ยวฉี ไปเถอะ นายท่านฉู่ชวิ๋นไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” หลงชิงฉวนปลอบใจ
เด็กชายเสี่ยวฉีตัวสั่นเทาเล็กน้อย ในขณะที่ก้าวเดินออกมาข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
“เธอคิดว่าฉันใจร้ายเกินไปใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นย่อกายนั่งลงริมทะเลสาบ จ้องมองใบหน้าของเด็กชายที่เดินมาหยุดยืนตรงหน้าเขา
เสี่ยวฉีไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยเขาก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ฉู่ชวิ๋นแสดงฝีมือสังหารผู้คนเมื่อสักครู่นี้ ไม่ต่างจากฆ่าเป็ดไก่สักตัวหนึ่ง เด็กชายไม่เคยเห็นใครลงมือด้วยความอำมหิตขนาดนี้มาก่อน
“เธอเพิ่งเคยเห็นคนตายเป็นครั้งแรกใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นถาม
เด็กชายพยักหน้า
“รู้หรือเปล่า? เธอโชคดีแค่ไหนที่ได้อยู่ที่นี่” ฉู่ชวิ๋นถอนหายใจออกมายาวแรง “ที่โลกข้างนอกนั่น มีคนตายอยู่ทุกวัน มีคนหลายพันหมายหมื่นตายทุกวัน มีเผ่าพันธุ์นกยูงปีศาจที่ไล่ฆ่ามนุษย์ด้วยความบ้าคลั่ง แล้วก็ยังมีพวกมนุษย์หมาป่าที่ฆ่าคนได้เป็นพันคนในคืนเดียว ที่นั่นเกิดการนองเลือดขึ้นไม่จบสิ้น เธอพอจะนึกออกไหมว่ามันเป็นภาพที่น่ากลัวมากแค่ไหน?”
กลุ่มเด็กชายที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้องมองมาที่ฉู่ชวิ๋น พวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้คนหลายพันคนคือจำนวนเท่าไหร่ แต่ที่รู้ ๆ คือคงเป็นจำนวนที่เยอะมาก
“คนของหมู่บ้านพวกเธอที่ฉันฆ่าไปเมื่อกี้นี้ ถ้าปล่อยให้พวกเขาได้ออกไปสู่โลกภายนอก สักวันหนึ่งพวกเขาจะพาคนจากโลกภายนอกมาที่นี่ แล้วหมู่บ้านของเธอก็จะเดือดร้อน พ่อแม่พี่น้อง เพื่อน ๆ ที่อยู่ที่นี่อาจจะต้องตายกันหมด ทีนี้พวกเธอเข้าใจหรือยัง?”
กลุ่มเด็กชายพยักหน้าตอบรับทันที
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ แล้วกล่าวต่อ “พวกเธอยังเด็กเกินไป ฉันไม่คิดว่าพวกเธอจะเข้าใจหรอกนะ รอให้พวกเธอโตขึ้นอีกหน่อยก็อาจจะเข้าใจได้เอง คนไม่ดีจะต้องถูกฆ่า ส่วนคนดีจะต้องได้รับการปกป้อง”
“ผมเข้าใจแล้ว” เสี่ยวฉีพูดออกมาในที่สุด “ผมกับเสี่ยวผีเป็นคนดี พี่ชายก็เลยช่วยพวกเราเอาไว้ พี่หลงไคเป็นคนเลว พี่ชายก็เลยต้องฆ่าเขา ใช่ไหมครับ?”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า
“ถ้าผมโตขึ้นเมื่อไหร่ ผมจะปกป้องคนดีและกำจัดคนเลวเหมือนพี่ชาย” เสี่ยวฉีพูดพร้อมกับมีแววตามุ่งมั่น
ฉู่ชวิ๋นเอื้อมมือออกไปขยี้หัวเขาเล่น “งั้นเธอก็ต้องตั้งใจฝึกวิชา เมื่อเธอแข็งแกร่งมากกว่านี้ ฉันจะมารับพวกเธอออกไปกำจัดพวกคนเลวเอง”
กลุ่มเด็กชายรับฟังและพยักหน้าอย่างแข็งขัน