จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 422 นัดชุมนุมล่าปีศาจ
บทที่ 422 นัดชุมนุมล่าปีศาจ
พวกของหยานหวูซวงรีบวิ่งลงบันไดไปอย่างแตกตื่น
แต่เมื่อลงไปถึงพวกเขาก็ต้องตกตะลึง
เมื่อสักครู่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลงเอ้อร์โยนขวดหยกออกมาจากหน้าต่าง
แล้วขวดหยกหายไปไหน?
หยานหวูซวงสั่งให้ผู้อาวุโสแยกย้ายกันค้นหา
สิ่งที่บรรจุอยู่ในขวดหยกเป็นสมบัติล้ำค่า ยากที่จะหาสิ่งใดมาทดแทนได้
แต่หาอยู่นานสองนาน แม้แต่เงาขวดหยกก็หาไม่พบ
หรือว่ามีคนเอาไปแล้ว?
พวกเขาได้แต่คิดด้วยความร้อนใจ
สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปขอดูภาพจากกล้องวงจรปิด แต่ถึงจะเพ่งดูจนปวดตา หยานหวูซวงก็ยังหาไม่เจออยู่ดีว่าขวดหยกหายไปไหน
……
……
หลังจากที่พวกของหยานหวูซวงออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว หลงอี้ก็หันไปมองหลงเอ้อร์
หลงเอ้อร์เดินยื่นมือออกมาข้างหน้า นำขวดหยกทั้งหมดมาตั้งเรียงบนโต๊ะกาแฟอีกครั้ง
ฉู่ชวิ๋นเปิดหนึ่งในขวดหยกดู แล้วดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
จั๊กจั่นทองคำ!
สมบัติของตระกูลหยานประเมินค่าต่ำไม่ได้เลยจริง ๆ แม้แต่ของเช่นนี้ก็มีอยู่ในครอบครอง
จั๊กจั่นทองคำเปรียบได้เป็นเสมือนยาแก้พิษทุกชนิด และยังมีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย
เมื่อเปิดขวดหยกขวดที่สอง ลำแสงสีเขียวก็เปล่งประกายออกมา กลิ่นของยาสมุนไพรฉุนกึก
นี่คือเถาวัลย์ฟีนิกซ์ มีข่าวลือว่ามันเป็นต้นไม้ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของฟีนิกซ์ มีประโยชน์สำหรับการฝึกวิชาอย่างยิ่ง
ฉู่ชวิ๋นไล่เปิดขวดหยกที่เหลืออยู่ทีละขวด
สิ่งที่อยู่ด้านในรวมแล้วจัดเป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเหมือนถูกลอตเตอรี่ ดวงตาของเขาเป็นประกาย ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
จิงหงเห็นสีหน้าของฉู่ชวิ๋นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ซ้ำยังรู้สึกสงสารตระกูลหยานขึ้นมาจับใจ เมื่อได้พานพบกับจอมมารฉู่ชวิ๋น ให้คิดไว้เลยว่านั่นเป็นโชคร้ายมากกว่าโชคดี
“พวกเรารีบไปกันดีกว่า” ฉู่ชวิ๋นว่า
ชายหนุ่มใช้จิตวิญญาณระบุตำแหน่งพวกของหยานหวูซวงอยู่ตลอดเวลา
ถ้าหยานหวูซวงเดินทางกลับไปถึงบ้านตระกูลหยานเมื่อไหร่ หยานกุยล๋ายคงรู้ตัวแน่ว่าพวกเขาเล่นตุกติก ถึงตอนนั้นคิดจะถอนตัวก็คงไม่ทันแล้ว
แน่นอนว่าพวกของฉู่ชวิ๋นใช้เวลาไม่นานก็เดินทางออกจากเมืองได้แล้ว ส่วนหยานหวูซวงรีบเดินกลับขึ้นมาที่ห้องพักด้วยความร้อนใจ
หลังจากพบว่าห้องพักของฉู่ชวิ๋นไม่มีคนอยู่ หยานหวูซวงก็คำรามออกมาสุดเสียงว่า
“จอมมารฉู่ชวิ๋น ฉันจะต้องจัดการนายให้ได้”
“นายน้อยครับ จอมมารคงหนีไปได้ไม่ไกล พวกเราไล่ตามไปดีไหม?”
“ไล่ตาม พวกเราต้องไล่ตามให้ได้”
ขาดคำ หยานหวูซวงก็ดีดตัวออกไปด้วยความเร็วสายฟ้าฟาด
แต่เมื่อเดินทางออกมาถึงนอกเมืองหยานเซวี่ย พวกเขากลับพบฉู่ชวิ๋นขี่นกอินทรีเงินตัวหนึ่งบินวนอยู่บนท้องฟ้า
“ไอ้จอมมาร ลงมาเคลียร์กันเดี๋ยวนี้” หยานหวูซวงตะโกนด้วยความโกรธแค้น
“หยานเอ๋อร์ ฉันรอนายอยู่พอดีเลย” ฉู่ชวิ๋นตะโกนกลับมา “ถึงตระกูลหยานของนายมันจะไร้ยางอาย แต่ฉันก็ยังเป็นเพื่อนนายอยู่เหมือนเดิมนะ แล้วเจอกันที่ปักกิ่ง”
หยานหวูซวงเชิดหน้าขึ้นด้วยความโกรธแค้น “จอมมารฉู่ชวิ๋น ลงมาพูดคุยกันให้รู้เรื่อง จะทำตัวไร้ยางอายไปถึงไหน? คืนของของพวกเรากลับมาเดี๋ยวนี้”
“หยานเอ๋อร์ นายนิสัยเดียวกับพ่อนายไม่มีผิดเลยแฮะ ทำไมชอบกล่าวหาผู้อื่นแบบนี้? นิสัยไม่ดีเสียแล้ว นายต้องปรับปรุงตัวใหม่ ไม่งั้นอีกหน่อยคนจะหาว่านายน้อยตระกูลหยานชอบทำตัวเป็นขอทานแล้ว”
“ไอ้จอมมาร ไอ้คนเลว อย่าให้ฉันได้เจอนายอีกก็แล้วกัน”
พวกของหยานหวูซวงได้แต่คำรามในขณะที่ฉู่ชวิ๋นโบกมืออำลา ก่อนจะบังคับนกอินทรีเงินบินจากไป
“จอมมารฉู่ชวิ๋น คอยดูเถอะ ฉันจะตามไปแก้แค้นให้ได้”
หยานหวูซวงเดือดดาลจนควันออกหู แต่ก็ทำได้เพียงตะโกนเย้วๆ กระโดดเหยงๆ อยู่ตรงนั้น
โชคร้ายที่นกอินทรีเงินมีความเร็วมากเกินไป พริบตาเดียวก็มองเห็นเป็นแค่เพียงจุดสีดำเล็กๆ บนท้องฟ้าแล้ว
พวกของฉู่ชวิ๋นเดินทางกลับมาถึงเมืองชิงเฉิงและเข้าพักในโรงแรมที่หวู่ปู้ซือพักรักษาตัวอยู่ เรียบร้อยดีแล้วจึงได้ปล่อยตัวนกอินทรีเงินไป
“นายท่าน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผู้น้อย”
หวู่ปู้ซือเกือบจะหายดีแล้ว เมื่อเห็นหน้าฉู่ชวิ๋นก็รีบประสานมือคาราวะทันที
“คุณก็เป็นคนของตระกูลฉู่ หน้าที่ของผมคือต้องปกป้องคุณอยู่แล้ว”
ฉู่ชวิ๋นแนะนำจิงหงให้ทุกคนได้รู้จัก
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ?”
ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่มีแค่เพียงหวู่ปู้ซือเท่านั้นที่ถูกช่วยเหลือ ยังมีอีกหลายคนที่ได้รับความช่วยเหลือเช่นกัน
“ฉันจะไปพาตัวพวกเขามาให้นายท่านเอง”
ไม่นานนัก นักรบมังกรเงินที่ชื่อหลงซานก็เดินนำกลุ่มคนเข้ามาในห้อง ฉู่ชวิ๋นถึงได้รู้ว่าพวกมันเป็นคนของประตูวิญญาณสลาย
“ผู้น้อยทำความเคารพนายท่านฉู่ชวิ๋น”
คนกลุ่มนั้นประสานมือทำความเคารพ พวกมันรู้ดีว่าตนเองถูกฉู่ชวิ๋นช่วยเหลือเอาไว้
ฉู่ชวิ๋นใช้โอกาสนี้สำรวจระดับพลังของชายทั้งกลุ่ม
ระดับพลังของคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ต่ำต้อย ชายชราคนหนึ่งมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ส่วนคนที่เหลือก็สูงกว่าระดับ 5 ทั้งสิ้น
“แค่นี้เรื่องเล็กน้อย ประตูวิญญาณสลายก็ล่มสลายไปแล้ว ฉันคงไม่ต้องถามใช่ไหมว่าพวกนายจะยังภักดีต่อพวกมันอยู่อีกหรือเปล่า? ตอนนี้พวกนายเป็นอิสระแล้ว”
“นายท่านฉู่ชวิ๋นครับ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเรา ถ้าไม่ใช่นายท่าน พวกเราก็คงได้ตกตายไปหมดแล้ว ผู้น้อยขอสาบานจะติดตามนายท่าน ไม่ว่านายท่านสั่งให้ทำอะไร ผู้น้อยก็จะทำตามโดยไม่มีข้อแม้” คนที่พูดประโยคเหล่านี้ออกมาด้วยสีหน้าจริงใจ ก็คือชายชราที่มีระดับพลังสูงสุดในกลุ่มนั่นเอง
ชายชราไม่มีสิ่งใดให้ภูมิใจ เนื่องจากในยุคสมัยนี้ จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 คือสิ่งที่หาได้ทั่วไป
ระดับพลังของมันนับว่าต่ำต้อย เทียบไม่ได้เลยกับผู้ช่วยที่ติดตามอยู่ข้างกายของฉู่ชวิ๋น ซึ่งมีพลังสูงถึงขั้นจักรพรรดิระดับ 9
ฉู่ชวิ๋นนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็คิดออกว่าตนเองยังขาดผู้อาวุโสอยู่อีกเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าพวกของเหยียนชงจะไว้ใจได้ แต่ระดับฝีมือของเจ้าพวกนั้นก็ไม่ได้สูงส่งอะไร
“แล้วพวกนายล่ะ?” ฉู่ชวิ๋นมองหน้าชายฉกรรจ์คนอื่นในกลุ่ม
ผลตอบรับก็คือ มีสามคนอยากทำงานกับเขา มีเพียงคนเดียวที่อยากเป็นอิสระ
“ใครอยากทำงานกับฉัน ให้ไปรายงานตัวที่วังมังกรเพลิง”
ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
สิ่งแรกที่คนกลุ่มนี้ต้องทำ ก็คือการแสดงความซื่อสัตย์ออกมาให้ชัดเจน
เมื่อเห็นสีหน้าของฉู่ชวิ๋นจริงจังไม่มีรอยยิ้ม สีหน้าของชายทั้งสี่คนก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“รับทราบครับ!” ชายชราหัวหน้ากลุ่มรับคำ
เมื่อคนทั้งสี่เดินออกไปจากห้อง หลงอี้ก็อดถามออกมาไม่ได้
“นายท่านครับ เราจะไว้ใจพวกมันได้หรือ?”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ “ไม่สำคัญหรอก มีสุภาษิตโบราณที่ว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ทุกอย่างเวลาจะเป็นตัวตัดสินให้เอง”
“นายท่านจะจัดการยังไงกับพวกนกยูงปีศาจดีครับ?” หวู่ปู้ซือพลันโพล่งขึ้นมา
“ไอ้พวกมนุษย์นกยูงน่ะเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว
“นายท่านไม่ได้เข้าเว็บบอร์ดชุมนุมชาวยุทธ์บ้างเลยเหรอครับ?”
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้า ช่วงหลังเขามัววุ่นวายอยู่กับการต่อสู้ ไม่มีอารมณ์หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเน็ตเลยสักนิด
หวู่ปู้ซือเปิดเว็บบอร์ดชุมนุมชาวยุทธ์และส่งมือถือให้ฉู่ชวิ๋นดู
“นัดชุมนุมล่าปีศาจ”
เมื่อเห็นชื่อกระทู้ ฉู่ชวิ๋นก็อดตกใจไม่ได้
“มีปีศาจเผ่าพันธุ์ใหม่ปรากฏตัวออกมาอีกแล้วเหรอ?”
“นายท่านครับ ลองอ่านรายละเอียดดูก่อน” หวู่ปู้ซือมีสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น
เมื่อฉู่ชวิ๋นอ่านรายละเอียดจบ สีหน้าของเขาก็เย็นชามากขึ้น แววตาของเขาก็เย็นชามากขึ้น
ปรากฏว่าปีศาจที่คนในกระทู้นี้กำลังจะตามล่า ก็คือจอมมารฉู่ชวิ๋นนั่นเอง
“นายท่านครับ คราวนี้ไอ้พวกนกยูงปีศาจมันรวมกลุ่มกับพวกพันธมิตรมนุษย์กลายพันธุ์ ตั้งใจจะโค่นล้มนายท่านโดยเฉพาะ” หวู่ปู้ซือให้ข้อมูลเพิ่มเติม
“นายท่านดูนี่สิครับ” หวู่ปู้ซือชี้มือให้ฉู่ชวิ๋นดูบนหน้าจอ
มีตัวอักษรสีแดงเขียนไว้เด่นหราในกระทู้ว่า : จอมมารฉู่ชวิ๋น วันที่ 14 กรกฎาคม เราจะรอแกอยู่ที่หุบเขาอเวจี
หุบเขาอเวจี เป็นหุบเขาชื่อดัง ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า พื้นที่โดยรอบมีแต่บึงน้ำสกปรก ยากที่คนธรรมดาจะเดินทางเข้าไปได้
วันที่ 14 กรกฎาคมเป็นเทศกาลประจำปีของพวกมนุษย์กลายพันธุ์ เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นเทศกาลปล่อยผี
นี่หมายความว่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหลาย ตั้งใจรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วยุทธภพในเวลาอันรวดเร็ว ขณะนี้ ทุกคนรอคอยเพียงแค่การตอบรับจากฉู่ชวิ๋นเท่านั้น
“เหลือเวลาอีก 7 วัน” ฉู่ชวิ๋นกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“นายท่านครับ ผมว่าเราอย่าไปใส่ใจพวกมันเลย ให้พวกมันแหกปากเห่าไปฝ่ายเดียวนั่นแหละดีแล้ว”
“เจ้าสามารถเอาชนะเผ่าพันธุ์ผีดิบและเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษาได้ พวกมนุษย์กลายพันธุ์เผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็เลยให้ความสนใจเป็นพิเศษ ที่พวกมันกล้าออกมาท้าท้ายขนาดนี้ ย่อมหมายความว่ามีใครบางคนคอยหนุนหลัง ข้าเห็นด้วยกับทุกคนนะ เจ้าอย่าไปสนใจเรื่องนี้เลย” จิงหงว่า
หลงอี้และกลุ่มนักรบมังกรเงินไม่พูดอะไร ฉู่ชวิ๋นสั่งให้พวกมันไปไหน พวกมันก็จะไป สั่งให้พวกมันฆ่าใคร พวกมันก็จะฆ่า
“น่าเสียดายที่พวกมันเป็นสำนักเกิดใหม่ซะส่วนมาก ฉันก็เลยยังไม่เคยเห็นฝีมือของพวกมันสักเท่าไหร่” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงใช้ความคิด
“นายท่านครับ ตอนนี้มีสำนักเกิดใหม่หลายร้อยสำนัก โดยเฉพาะไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ สำนักขึ้นชื่อในตอนนี้นอกจากพวกนกยูงปีศาจและสำนักวัชระแล้ว สำนักใหม่ที่โด่งดังขึ้นมาก็คือสำนักพรพิฆาต แล้วก็สำนักมังกรดำด้วยครับ” หวู่ปู้ซือรายงาน
“พรพิฆาตนี่เป็นสำนักของเผ่าพันธุ์อะไร?” ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจ เนื่องจากไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“มันเป็นสำนักของพวกมนุษย์พังพอนครับ” หวู่ปู้ซือตอบด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“เข้าใจตั้งชื่อดีเหมือนกันนะ” ฉู่ชวิ๋นอดยิ้มออกมาไม่ได้ “แล้วพวกมังกรดำเป็นยังไงบ้าง?”
“ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสำนักมังกรดำมีลักษณะเป็นอย่างไร แต่ได้ยินมาว่าร่างมนุษย์ของพวกมันแข็งแกร่งมาก มีพลังการต่อสู้ที่เหนือล้ำเกินคำบรรยาย”
“พวกมันออกมาเหยียดหยามเราขนาดนี้ พวกจอมยุทธ์ในยุทธภพทำอะไรบ้างไหม?”
หวู่ปู้ซือส่ายหน้าและพูดด้วยความท้อแท้ใจ “จอมยุทธ์ส่วนใหญ่รักตัวกลัวตาย ให้ออกไปสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ เกรงว่าคงกลัวจนช็อคตายก่อนที่จะเริ่มต่อสู้เสียอีกครับ”
“มนุษย์ก็แบบนี้แหละนะ!” ฉู่ชวิ๋นส่ายศีรษะด้วยความระอาใจ
“คราวนี้พวกมนุษย์กลายพันธุ์มันคงเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ข้าเกรงว่านี่อาจเป็นกับดักที่ขุดล่อเจ้าให้กระโดดลงไป” ใบหน้าของจิงหงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ข้าคิดว่าเจ้าอย่าไปตามที่พวกมันขอจะดีกว่า”
“นายท่านครับ ในกระทู้ตีกันเละเทะเลยครับ” หวู่ปู้ซือพูด
ปรากฏว่ามีคนของสำนักนกยูงปีศาจออกมาพิมพ์ข้อความว่า
“จอมมารฉู่ชวิ๋น แกมันก็เป็นได้แค่อันธพาลข้างถนน ใครเป็นคนตั้งฉายาจอมมารให้แกกันวะ? แค่นี้ก็หวาดกลัวพวกเราจนไม่กล้าพูดอะไรเลยหรือไง”
ถ้าเป็นในสนามรบจริง ๆ บรรดาจอมยุทธ์ที่เป็นมนุษย์คงไม่กล้าออกหน้าอะไร แต่ในเมื่อนี่คือโลกอินเทอร์เน็ตที่สามารถพิมพ์ข้อความได้แบบไม่แสดงตัวตน ทุกคนจึงกล้าพิมพ์สิ่งที่คิดออกมา
“ไอ้พวกมนุษย์นกยูงขี้เรื้อน ผายลมมารดาแกสิ กล้าดียังไงมาเรียกหาจอมมารฉู่ชวิ๋นแบบนี้?”
“ครั้งที่แล้วจอมมารเอาชนะพวกมนุษย์ปักษา พวกเผ่าพันธุ์ผีดิบ แล้วนี่ก็เพิ่งทำลายล้างประตูวิญญาณสลายไป ฉันขอแนะนำให้พวกแกระวังคำพูด และเก็บหัวของตัวเองเอาไว้ให้ดี ๆ เถอะ”
“จอมมารฉู่ชวิ๋นต้องติดธุระอะไรอยู่แน่นอน ไม่อย่างนั้น เขาได้ตัดหัวนกยูงของพวกแกทิ้งไปหมดแล้ว”
…
ตัวแทนของสำนักนกยูงปีศาจเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่ง
“ฉันกงหยานเฟยจากสำนักนกยูงปีศาจ แกอยู่สำนักอะไร? กล้าบอกชื่อจริงไหมล่ะ?”
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนไม่กล้าพิมพ์โต้ตอบอะไรอีกแล้ว
เมื่อส่งข้อความแบบไม่เปิดเผยตัวตน พวกเขาจะพูดอะไรก็ได้ แต่ถ้าแสดงชื่อจริงออกไป ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับผลกรรมในสิ่งที่พิมพ์ ซึ่งไม่มีใครใจกล้ามากพอขนาดนั้น
“ไอ้พวกเต่าหดหัวเอ๊ย” หวู่ปู้ซือสบถออกมาด้วยความโกรธแค้น
คนของสำนักวัชระ เผ่าพันธุ์ผีดิบ และสำนักพรพิฆาต ต่างก็ออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นเชิงเหยียดหยามมนุษย์อย่างสนุกสนาน
หวู่ปู้ซือทนไม่ไหวต้องพิมพ์โต้ตอบกลับไปว่า “ไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ ลืมไปแล้วหรือไงว่าครั้งสุดท้ายที่สู้กับนายท่านฉู่ชวิ๋น ผลสุดท้ายพวกแกพ่ายแพ้ย่อยยับขนาดไหน?”
“แกเป็นใคร? เก่งจริงก็บอกชื่อเสียงเรียงนามมาสิ” ตัวแทนของสำนักนกยูงปีศาจพิมพ์ข้อความออกมาอย่างคุกคามเต็มที่
“บอกมันไปเลย” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หวู่ปู้ซือพิมพ์ตอบกลับไปทันทีว่า “ฉันคือหวู่ปู้ซือ จากตระกูลฉู่”
เท่านั้นเอง โลกออนไลน์ก็ร้อนระอุขึ้นทันที บริวารของฉู่ชวิ๋นแสดงตัวออกมาแล้ว
“เจ้านายของแกหายไปไหนเสียล่ะ? กลัวพวกเราหรือไง? ให้มันมาคุยกับพวกเราเองหน่อยไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ต้องมาทำปากดี ในฐานะคนของตระกูลฉู่ ฉันรอที่จะได้หักคอนกยูง เตรียมเอาเนื้อพวกแกมาต้มกินแทบไม่ไหวแล้ว”
“จ๊ะเอ๋ ฉันคือเหยียนชงจากตระกูลฉู่เช่นกัน พวกมนุษย์คิงคองกับมนุษย์นกยูง มันก็แค่กลุ่มสัตว์เดรัจฉานเท่านั้นเอง”
“เผ่าพันธุ์มังกรดำ รู้จักไหมสมาคมนักล่ามังกรน่ะ รีบไสหัวกลับรังของพวกแกไปซะ ไม่งั้นได้ถูกพวกฉันจับมาใส่หม้อทำต้มยำกินแน่ๆ”
เหยียนชงและบรรดาบริวารของตระกูลฉู่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับคำสั่งจากฉู่ชวิ๋น จึงไม่กล้าพิมพ์ข้อความอะไรไปโดยพละการ แต่ในเมื่อเห็นข้อความของหวู่ปู้ซือปรากฏขึ้นมาแบบนี้ ก็เข้าใจได้ทันทีว่าฉู่ชวิ๋นต้องการให้พวกเขาตอบโต้บ้างแล้ว
“ไอ้พวกผีดิบ เดี๋ยวนี้อดอยากปากแห้งแล้วล่ะสิ ลืมหรือยังว่าครั้งที่แล้วพวกแกวิ่งหนีไปน่าอับอายขนาดไหน กล้าอวดดีแบบนี้ หรือว่าพวกแกไม่คิดจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว?” ตัวแทนของปราสาทจตุรเทพก็ออกมาพิมพ์ข้อความเช่นกัน
ถึงแม้ว่าตระกูลหยานกับฉู่ชวิ๋นเพิ่งจะมีเรื่องผิดใจกันมาสดๆ ร้อนๆ แต่อย่างไรความดีของชายหนุ่มก็มีมากกว่าความชั่วร้าย ทำให้คนของตระกูลหยานก็ออกมาพิมพ์ข้อความช่วยปกป้องเขาเช่นกัน
“เจ้าพวกมนุษย์กลายพันธุ์ คิดหรือว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นจะหวาดกลัวพวกแก หรือไงที่ผ่านมาที่เขานิ่งเงียบไม่ตอบรับคำใด เป็นเพราะว่าเขามัวแต่ไปกวาดล้างตระกูลจัง จนไม่มีเวลามาสนใจพวกแกต่างหาก”
ไม่นานหลังจากที่ประโยคนี้ถูกพิมพ์ออกไป มันก็ทำให้โลกอินเทอร์เน็ตเกิดความแตกตื่นได้ยิ่งกว่าถ้อยคำหยาบคายนับพันประโยคเสียอีก
ทุกคนล้วนแล้วแต่สยดสยอง ที่แท้ที่จอมมารฉู่ชวิ๋นเงียบหายไป ก็เป็นเพราะว่ามัวแต่ไปกวาดล้างตระกูลจังอยู่นี่เอง
แม้แต่พวกมนุษย์กลายพันธุ์เมื่อได้รับทราบข่าวนี้ พวกมันก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปทันที