จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 426 ราตรีมรณะ
บทที่ 426 ราตรีมรณะ
ในที่สุด ฉู่ชวิ๋น ก็มาถึงยอดเขา เขาปล่อยคลื่นพลังจิตออกไปไม่นานก็รู้สึกได้ถึงขุมกำลังอันแข็งแกร่งที่อยู่รอบบริเวณ
ฉู่ชวิ๋นเคลื่อนไหวเหมือนภูตผีในเงามืด
เขาพบว่าบรรดามนุษย์กลายพันธุ์ในที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่ยังคงหน้าตาตามแบบฉบับสัตว์ประหลาดตามสายพันธุ์ แต่รูปร่างนั้นเป็นเค้าโครงของมนุษย์
ที่นี่ชุมนุมด้วยยอดมีฝีมือจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ
ฉู่ชวิ๋นเกือบเจอหน่วยลาดตระเวน ซึ่งเป็นคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์คิงคอง แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะหลีกเลี่ยงอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น เขาก็พบหน่วยลาดตระเวนอีกหลายหน่วย บางหน่วยก็ไม่ได้เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ จึงยากที่จะแฝงตัวเข้าไปได้
ฉู่ชวิ๋นอยากลงมือฆ่าพวกมันโดยทันที แต่ความรู้สึกไม่สบายใจยังคงรบกวนเขาอยู่ไม่หาย เขาจึงไม่กล้าลงมือ
ในระหว่างที่ฉู่ชวิ๋นกำลังขบคิดอยู่นั้นเอง หน่วยลาดตระเวนอีกหน่วยหนึ่งก็เดินผ่านมา ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ส่วนลูกน้องของมัน ยังคงอยู่ในร่างพังพอนตัวใหญ่น่าเกลียดน่ากลัว
“ไอ้พวกมนุษย์นกยูง น่าอร่อยจังเลยนะ” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนของกลุ่มพังพอนปีศาจพูดน้ำลายไหลย้อย
“*เหล่าสือ อย่าพูดสิครับ ข้าน้อยยิ่งหิวอยู่” ดวงตาขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวของพังพอนเหล่านั้นเป็นประกายวิบวับ
*เหล่าสือ คือ ผู้อาวุโสลำดับที่ 10
“ให้ตายเถอะ ดูสายตาของแกซะก่อนสิ” เหล่าสือผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มยิ้ม
“เหล่าสือ ท่านก็คิดเหมือนกันใช่ไหม?” พังพอนตัวหนึ่งหยอกเย้าขึ้นมา
“ข้าน้อยเห็นท่านกลืนน้ำลายตลอดเวลาตอนที่เราเจอพวกมัน”
“พวกแกตาฝาดมากกว่า” เหล่าสือยกมือลูบหนวดเคราแล้วกลืนน้ำลายไม่รู้ตัว “แต่ว่าแค่ได้กลิ่นเลือดของพวกมันแค่นี้ ฉันก็รู้แล้วว่าเนื้อของมันต้องอร่อยมากแน่ๆ”
“เหล่าสือ พวกเราสงสัยเหลือเกิน ไม่ทราบว่าชีวิตนี้พวกข้าน้อยจะได้มีโอกาสลิ้มรสเนื้อนกยูงบ้างหรือไม่?”
ดวงตาเท่าเม็ดถั่วเขียวของเหล่าสือเป็นประกายวาววับขณะพูดว่า “วางใจได้ พวกแกย่อมมีโอกาสนั้นแน่นอน”
“ถ้าหากเหล่าสือมีโอกาสได้กินเนื้อพวกมันเมื่อไหร่ อย่าลืมมอบน้ำแกงให้พวกเราได้ลองชิมด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่มีทางลืมพวกแกเด็ดขาด” เหล่าสือยิ่งพูดก็ต้องยิ่งกลืนน้ำลาย “พวกแกไปก่อนเถอะ ฉันขอแวะยิงกระต่ายก่อนสักหน่อย”
บรรดาพังพอนปีศาจที่เป็นลูกน้องออกเดินลาดตระเวนต่อไป เหล่าสือหัวเราะเยาะ แล้วก็เดินแยกออกมาที่ต้นไม้ข้างทางต้นหนึ่ง
เหล่าสือประมาทมากเกินไป ไม่รู้เลยว่ามัจจุราชกำลังเข้าถึงตัวแล้ว
คนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นด้านหลังมัน เหล่าสือมีพลังระดับจักรพรรดิขั้นที่ 8 เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง มันรู้สึกตัวทันทีและรีบหันขวับกลับไปมอง
ผลคือ ท่อนแขนของชายหนุ่มคนหนึ่งรัดรอบลำคอของมัน เหล่าสืออยากจะร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงดังกร๊อบ คอของมันหักเสียแล้ว
เหล่าสือคอหัก ดวงตาถลน เสียชีวิตง่ายดายราวกับเป็นแค่เพียงเป็ดไก่ตัวหนึ่ง
ฉู่ชวิ๋นมองร่างไร้วิญญาณของเหล่าสือ จากนั้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาก็เริ่มกระตุกอย่างเชื่องช้า สวนทางกับโครงหน้าของเขาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับโครงกระดูกที่มีลักษณะบางกรอบมากขึ้น รวมถึงความสูงที่ลดลงมาด้วย
ไม่นานหลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็แปลงร่างมาเป็นเหล่าสือได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ยังเหลืออะไรอีกนะ?
หนวดยังไงล่ะ
ฉู่ชวิ๋นเพิ่มความแนบเนียนให้มากขึ้น ด้วยการติดหนวดเคราปลอมเข้ากับใต้คางของตนเอง
เรียบร้อยแล้ว เขาก็ถีบศพของเหล่าสือตกยอดเขาไปด้วยเท้าเพียงข้างเดียว
ประเมินได้ว่าก่อนรุ่งสาง ศพของเหล่าสือคงถูกสัตว์ร้ายในหุบเขานี้กินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ฉู่ชวิ๋นเดินออกมาจากหลังต้นไม้ ทอดสายตามองหน่วยลาดตระเวนที่เดินไกลออกไป เขาพอจะจับวิธีการพูดของเหล่าสือได้ไม่ยาก
“ไอ้เจ้าพวกนี้ รอฉันด้วยสิ”
หน่วยลาดตระเวนที่เดินนำหน้าไปหยุดชะงักทันที ฉู่ชวิ๋นค่อยๆ เดินตามไปจนทัน
“เหล่าสือ ทำไมถึงไปนานจังเลยครับ? ไปแอบมองพวกมนุษย์นกยูงมาหรือเปล่า?” พังพอนปีศาจตัวหนึ่งพูดล้อเลียน
พวกมันไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเหล่าสือที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้เป็นตัวปลอม
“จะว่าไปเนื้อนกยูงมันอร่อยจริงๆ นะ ข้าชักอดใจไม่ไหวแล้วสิ” ฉู่ชวิ๋นเลียนแบบลักษณะการพูดของเหล่าสือ ดวงตาเท่าเม็ดถั่วเขียวของเขาเป็นประกายระยิบระยับ ในขณะที่กลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาระหว่างแอบมองอยู่ข้างต้นไม้
“เหล่าสือ อย่าไปคิดถึงเรื่องนั้นเลยครับ จะทำให้พวกเราพลอยหิวไปด้วย แค่นี้พวกข้าน้อยก็กลืนน้ำลายไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ตอนนี้พวกเราเป็นพันธมิตรกัน คุณหวูสั่งไว้ไม่ให้เราทำร้ายพวกเดียวกันเองเด็ดขาด”
คุณหวู?
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกาย คุณหวูอะไรนี่มันเป็นใครกันอีกละเนี่ย? แต่ลางสังหรณ์บอกเขาได้ทันทีว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดา
ดูได้จากสีหน้าของพังพอนปีศาจพวกนี้ พวกมันหวาดกลัวคุณหวูเป็นอย่างมาก
ฉู่ชวิ๋นไม่เก่งเรื่องการถามคำถาม จึงแกล้งไหลตามน้ำไปตามเรื่องราว
“ถ้าไม่เป็นเพราะคุณหวูนะ ป่านนี้ฉันจับนกยูงพวกนั้นมาต้มกินไปแล้ว”
ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความเหยียดหยาม แกล้งทำเป็นรู้เรื่อง
“เหล่าสือไม่ต้องคิดมาก หลังจากพวกเราฆ่าไอ้บัดซบฉู่ชวิ๋นแล้ว คุณหวูก็คงไม่สนใจอะไรพวกเราอีก ถึงตอนนั้น พวกเราจะฆ่าพวกมนุษย์นกยูงสักกี่ตัวก็ได้”
ระหว่างที่พูดอยู่นี้ บังเอิญมีกลุ่มมนุษย์นกยูงเดินผ่านมาพอดี
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกตลกเป็นอย่างยิ่งที่เห็นบรรดาพังพอนปีศาจกลืนน้ำลายด้วยความหิวโหย
พังพอนธรรมดากินไก่ พังพอนปีศาจย่อมต้องกินนกยูงปีศาจ
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายแวววาว ยิ้มมุมปากออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาขยับเท้าออกไปข้างหน้าและกระแอมไอไล่เสลด
“สวัสดี สหายนกยูง เข้าเวรกลางคืนแบบนี้ คงเหนื่อยแย่เลยสินะ”
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนของมนุษย์นกยูงเป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่ง มีพลังระดับจักรพรรดิขั้นที่ 7
มนุษย์นกยูงล้วนแต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีแต่คนหน้าตาดี พวกมันจึงจ้องมองบรรดาพังพอนปีศาจผู้มีหน้าตาอัปลักษณ์ด้วยความขยะแขยง
มนุษย์นกยูงคิดว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งเสมอมา แน่นอนว่าพวกมันย่อมเกลียดชังเผ่าพันธุ์พังพอนปีศาจและคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพวกสิ่งมีชีวิตสกปรกโสมม
หน่วยลาดตระเวนของมนุษย์นกยูงไม่มองกลุ่มพังพอนปีศาจแม้แต่หางตา พวกมันเดินเชิดหน้าจากไปราวกับว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีตัวตน
“เฮอะ อวดดีเหลือเกิน อีกไม่นานข้าจะกินเจ้าให้ได้” พังพอนตัวหนึ่งคำรามออกไปด้วยความโกรธแค้น
“มีค่าเป็นแค่อาหารของพวกเรา มันกล้าทำเมินเฉยกับข้าได้ยังไง แบบนี้ไม่สั่งสอนสักหน่อยคงไม่ได้แล้ว” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความเดือดดาลจนหนวดเคราสะบัด
“เหล่าสือ อย่าเพิ่งวู่วาม รอให้เรื่องของไอ้ฉู่ชวิ๋นมันจบลงไปเสียก่อน ข้าน้อยจะช่วยท่านฆ่าพวกมันไม่ให้เหลือเอง” พังพอนตัวหนึ่งพูดออกมาด้วยความภักดี
“ทำไมต้องรอให้จบเรื่องของจอมมารอะไรนั้นก่อนด้วยล่ะ?” ดวงตาสีเขียวของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายวาวโรจน์ “นี่แหละโอกาสดีที่สุดแล้ว”
“เหล่าสือ ไม่ได้นะครับ ถ้าคุณหวูรู้เข้า…”
“เราก็อย่าให้เขารู้สิวะ!” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ “ค่ำคืนนี้เหมาะแก่การฆ่าคนเป็นอย่างยิ่ง อีกอย่างถ้าพวกเราไม่พูด จะมีใครรู้ว่าเราฆ่าพวกมัน?”
“แต่ถ้าคุณหวูเกิดรู้ขึ้นมาล่ะครับ?”
“แกจะกลัวอะไรนักหนา เรื่องนี้ถ้าเราไม่พูด คนอื่นจะรู้ได้ยังไง?” ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปจ้องมองกลุ่มของมนุษย์นกยูงด้วยความโกรธแค้น “ไอ้นกยูงพวกนี้มันดูถูกเรามานานแล้ว ข้าจะไม่ทนอีกต่อไป”
“พวกแกไม่อยากกินเนื้อมนุษย์นกยูงหรือไง? เนื้อของพวกมันมีสารอาหารมากมาย เมื่อกินเข้าไปแล้วก็ช่วยในการฝึกวิชาได้ดีมาก” ฉู่ชวิ๋นยังคงพูดต่อไป
แน่นอนว่าพังพอนปีศาจผู้เป็นลูกน้องของเหล่าสือต่างพากันกลืนน้ำลายไม่รู้ตัว
“พวกแกวางใจได้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวฉันรับผิดชอบเอง” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าน้อยเชื่อฟังเหล่าสือแล้ว”
“ข้าน้อยก็ทนมองนกยูงพวกนั้นทำตัวอวดดีใส่เรามานานแล้ว”
“เหล่าสือ ได้โปรดออกคำสั่ง พวกเราจะทำตามแต่โดยดี”
ฉู่ชวิ๋นลอบยิ้มเงียบงัน ก่อนที่จะเรียกพังพอนปีศาจกลุ่มนี้มารวมตัวกัน แล้ววางแผนการในความมืด
เดิมทีพังพอนเป็นสัตว์ที่เจ้าเล่ห์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกมันเชี่ยวชาญเรื่องการซุ่มโจมตี ลักพาตัวและขโมยของ คราวนี้ พวกมันหมายตาเนื้อของมนุษย์นกยูง จึงมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
“เรียบร้อย ทำตามนี้ก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นตบมือเสียงดังและออกคำสั่ง “เราจะไปแอบอยู่หลังก้อนหินตรงนั้น รอให้พวกมันเดินมาถึง แกก็ต้องล่อให้พวกมันเข้าไปให้ได้”
ภูเขาลูกนี้มีขนาดใหญ่โต พื้นที่ด้านหนึ่งเป็นลานหิน ที่มีแต่ก้อนหินลักษณะแปลกประหลาดตั้งอยู่เต็มไปหมด
“จำเอาไว้นะว่า ต้องลงมือทีเดียวเอาให้พวกมันตายให้ได้” ฉู่ชวิ๋นว่า
กลุ่มพังพอนปีศาจค้นหาก้อนหินที่เหมาะสมสำหรับการซ่อนตัว หลังจากนั้นก็รอคอยให้มนุษย์นกยูงเดินลาดตระเวนมาถึง
แน่นอนว่าบรรดาพังพอนปีศาจชำนาญเรื่องการรอคอยเหยื่อ ใช้เวลาไม่นาน กลุ่มของมนุษย์นกยูงก็เดินลาดตระเวนมาถึงบริเวณนั้น
“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้?” หญิงสาวหัวหน้ากลุ่มลาดตระเวนเอ่ยถามเสียงดัง
พังพอนปีศาจดวงตาเป็นประกาย ตอบว่า “พบศพคนตายอยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสของเราอยากเชิญทุกท่านเข้าไปดูสักหน่อย เชิญตามข้าน้อยมาได้เลย”
พูดจบพังพอนปีศาจตัวนั้นก็วิ่งเข้าไปที่ลานหิน
หญิงสาวหัวหน้ากลุ่มมนุษย์นกยูงตกใจเล็กน้อย แต่ไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีกแล้ว เธอรีบนำลูกน้องตามติดเข้าไปทันที
เมื่อตามเข้าไปถึงในลานหิน กลุ่มมนุษย์นกยูงก็พบว่าพังพอนปีศาจตัวนั้นหายไปแล้ว
แต่ก่อนที่พวกมันจะทันได้เข้าใจอะไร ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “ลงมือ”
วูบ…!
แล้วเงาร่างสีดำก็กระโจนออกมาจากหลังก้อนหิน
พวกมันคือพังพอนปีศาจที่มีขนาดความยาวตัวละสามเมตร เขี้ยวทั้งสองข้างยาว 10 เซนติเมตร คมยิ่งกว่าใบมีดโกน ซ้ำพวกมันยังมีรวดเร็ว แถมยังเตรียมตัวล่วงหน้าเอาไว้แล้ว
ก่อนที่กลุ่มมนุษย์นกยูงจะทันได้ทำอะไร พวกมันก็ถูกพังพอนปีศาจกัดกล่องเสียง ทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้
เลือดสาดกระจาย มนุษย์นกยูงตกตายด้วยความทรมาน กลุ่มพังพอนปีศาจกัดลำคอของพวกมันไม่ยอมปล่อย
“แก…” หัวหน้ากลุ่มมนุษย์นกยูงที่เป็นหญิงสาวหน้าตาซีดขาว หลังจากนั้น เธอก็เค้นเสียงออกมาด้วยความโกรธแค้น
จังหวะนั้นเอง ฉู่ชวิ๋นกระโจนลงจากก้อนหินก้อนหนึ่งและสะบัดฝ่ามือใส่เธอ หญิงสาวมนุษย์นกยูงรีบเปลี่ยนร่างกลายเป็นนกยูงตัวใหญ่ ที่มีขนาดความยาวลำตัวหลายสิบเมตร แต่ก็ยังไม่อาจรอดพ้นชะตากรรม ถูกพลังลมปราณของฉู่ชวิ๋นซัดเข้าใส่จนขาดใจตายในที่สุด
ในขณะเดียวกันนี้ การดิ้นรนของกลุ่มมนุษย์นกยูงก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ลำคอของพวกมันโดนกัดเป็นบาดแผลฉกรรจ์ เลือดไหลนองเต็มพื้นหิน ไม่มีใครสามารถรอดชีวิตได้อีกแล้ว
พังพอนปีศาจกลุ่มนี้มีความชำนาญเรื่องการล่าเหยื่อ การลงมือของพวกมันแม่นยำเสมอมา
หลังจากพวกมนุษย์นกยูงตายแล้ว กลุ่มพังพอนปีศาจก็รู้สึกเบาใจ และรอไม่ไหวแล้วที่จะเลียเลือดของมนุษย์นกยูงที่ไหลนองอยู่บนพื้น
ฉู่ชวิ๋นมองดูแล้วก็รู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก
“ไอ้พวกนกยูงเหล่านี้หลงตัวเองนักหนา คิดว่าผู้อื่นต่ำต้อยเสียเต็มประดา แต่พวกมันไม่ใช่คู่มือของเราเลยแม้แต่น้อย” พังพอนปีศาจตัวหนึ่งพูดออกมา
“พวกมันก็แค่คุยโวโอ้อวดจนเคยตัวนั่นแหละ” ฉู่ชวิ๋นพูดเสริม
แต่ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าตอนที่เริ่มลงมือต่อสู้กันนั้น ฉู่ชวิ๋นได้แอบสกัดจุดลมปราณของมนุษย์นกยูงเอาไว้หมดแล้ว
นอกจากหญิงสาวหัวหน้ากลุ่มที่เหลือก็มีพลังจักรพรรดิขั้นแรกเริ่ม ฉู่ชวิ๋นจึงสามารถสกัดจุดลมปราณของพวกมันได้อย่างง่ายดาย
“เหล่าสือ ผมขอกินเนื้อพวกมันได้ไหม?” พังพอนปีศาจตัวหนึ่งที่มีเลือดเปื้อนเต็มเขี้ยว ถามในลักษณะน้ำลายไหลยืด
ฉู่ชวิ๋นรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกพังพอนปีศาจอยากกินเนื้อนกยูงมากขนาดไหน
“ตัวนี้ข้าขอก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นชี้มือไปยังตัวที่เขาฆ่าทิ้งบนพื้น และกล่าวต่อ “ส่วนตัวที่เหลือพวกแกเอาไปเลย”
ได้ยินดังนั้น กลุ่มพังพอนปีศาจก็รีบพุ่งเข้าหาซากศพของมนุษย์นกยูงที่พวกมันสังหารทันที
“ช้าก่อน” ฉู่ชวิ๋นโพล่งขึ้น
พังพอนปีศาจเหล่านั้นหยุดชะงัก แล้วหันมามองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ
“พวกแกกินแค่พออิ่มก็พอ ส่วนที่เหลือเก็บเอาไว้ในแหวนเก็บสมบัติ เก็บเอาไว้กินวันหลังบ้าง หรืออย่างน้อยก็แบ่งปันพี่น้องที่ยังไม่มีโอกาสได้เคยกินเนื้อพวกมัน พวกแกเล่นทำท่าจะกินอย่างตระกละตระกลามอย่างนี้ แล้วเนื้อจะเหลือถึงคนอื่นได้อย่างไร?”
“เหล่าสือพูดถูกต้อง เราต้องไม่ลืมพี่น้องของเรา กินกันแต่พออิ่มดีกว่า”
เมื่อพูดจบแล้ว บรรดาพังพอนปีศาจก็หันกลับไปให้ความสนใจที่ศพของมนุษย์นกยูงอีกครั้ง
หลังจากนั้น ขนนกก็ปลิวกระจาย เลือดไหลทะลัก ลำไส้ถูกควักออกมากองอยู่เต็มไปหมด พร้อมกันนั้นก็จะได้ยินเสียงบดเคี้ยวกระดูกดัง “กร๊อบๆ” ตลอดเวลา
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกอยากอาเจียนออกมาแล้ว
“เหล่าสือ ไม่มากินด้วยกันหรือครับ?” พังพอนปีศาจตัวหนึ่งเหลียวหน้ามาถาม ในปากของมันกำลังเคี้ยวลำไส้อย่างเอร็ดอร่อย
ฉู่ชวิ๋นสะกดความคลื่นเหียนเอาไว้และพูดออกมาว่า “ข้าเป็นเหล่าสือผู้สุภาพและสูงส่งของสำนักพรพิฆาต จะมากินมูมมามให้พวกแกเห็นได้ยังไง? แบบนั้นเสียภาพลักษณ์ของข้าหมดกันพอดี ต้องกินสุก ๆ สิ”
“เหล่าสือช่างล้ำลึกยิ่งนัก พวกเราต้องคารวะแล้ว!”
“แต่เหล่าสือครับ ถ้าเราก่อไฟทำอาหาร จะมีใครมาเจอหรือเปล่า”
ฉู่ชวิ๋นตอบว่า “ที่นี่เป็นลานหิน เปลวไฟคงไม่ลามไปไหนได้หรอก ตอนนี้ท้องฟ้ามืดหมดแล้ว ต่อให้มีควันลอยขึ้นไป ใครมันจะมองเห็น? รีบกินเข้าเถอะ กินเสร็จแล้วอย่าลืมทำความสะอาดด้วย”
พังพอนปีศาจพร้อมใจกันพยักหน้า รู้สึกว่าผู้อาวุโสลำดับที่ 10 ของพวกมันฉลาดล้ำลึกเหลือเกิน ซ้ำยังมีวิสัยทัศน์กว้างไกล นับได้ว่าพวกมันเลือกติดตามคนไม่ผิดแล้ว หลังจากนั้น กลุ่มพังพอนปีศาจก็รับประทานเนื้อมนุษย์นกยูงอย่างเอร็ดอร่อย
แต่ไม่มีใครสังเกตเลยว่าหญิงสาวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มของมนุษย์นกยูง ที่ถูกฉู่ชวิ๋นฆ่าตายไปเมื่อสักครู่นี้ กำลังแอบลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า