จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 434 แผ่นยันต์เทวะ
บทที่ 434 แผ่นยันต์เทวะ
ครืน!
พื้นดินสั่นสะเทือน มวลอากาศปั่นป่วน ก้อนหินใหญ่ที่อยู่รอบบริเวณแตกกระจายเป็นผุยผง
ฉู่ชวิ๋นกับหวูเค่อจิน ปะทะกันไม่ต่ำกว่าร้อยกระบวนท่าภายในชั่วพริบตา
หวูเค่อจินแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ก่อนหน้านี้มันได้ประกาศเอาไว้ว่า เพียงแค่กระดิกนิ้วก็สามารถสังหารฉู่ชวิ๋นได้แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้…กลับทำให้มันรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง
หวูเค่อจินถลึงตาจ้องมองฉู่ชวิ๋น กำมือเป็นหมัด
ผลั่ก!
มวลอากาศปั่นป่วน พลังลมปราณพุ่งทะยานออกไป
“32 กระบวนท่าสลายวิญญาณ”
ขวานยักษ์ด้ามหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ พร้อมด้วยลำแสงสีขาวสว่างจ้า ที่มาพร้อมกับแรงกดดันจำนวนมหาศาล
“ฉู่ชวิ๋น แกจะต้องตายด้วยวิชาเซียน เหมือนที่แกเคยฆ่าคนอื่นเอาไว้” หวูเค่อจินพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
วิชาของพวกเทพเซียน?
ฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปาก เงยหน้ามองขวานยักษ์ที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
ชายหนุ่มร่ายวิชาด้วยพลังจิต
ครืน!
พื้นดินสั่นสะเทือน สายลมพัดกรรโชก พลังลมปราณจำแลงพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของฉู่ชวิ๋น
พลังลมปราณจำแลง – 36 กระบวนท่า
การใช้พลังลมปราณจำแลงมีอยู่ด้วยกันหลายกระบวนท่า ปกติฉู่ชวิ๋นใช้อยู่เพียงไม่กี่ท่าเพราะมันยุ่งยากเกินไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใช้ท่าอื่นไม่ได้
พลังลมปราณสีม่วงในรูปลักษณ์ของกรงจักรหมุนควงสว่านพุ่งออกไปจากกำปั้นของเขา
ฉู่ชวิ๋นสั่งงานด้วยพลังจิตอีกครั้ง
กรงจักรของเขาพุ่งเข้าไปปะทะกับขวานยักษ์ที่กำลังร่วงลงมา
เมื่อพลังลมปราณของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน จึงเกิดเป็นแรงระเบิดขนาดใหญ่ ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ก้อนเมฆบนท้องฟ้ากระจัดกระจาย
คลื่นความร้อนแผ่กระจายเหมือนมีดวงอาทิตย์ขนาดเล็กกำลังร่วงหล่น จุดศูนย์กลางของคลื่นความร้อนนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณจำนวนมหาศาล
นี่เป็นเพียงแค่กระบวนท่าแรกจาก 32 กระบวนท่าสลายวิญญาณเท่านั้น
ครืน!
ขวานยักษ์ด้ามเมื่อสักครู่นี้ระเบิดไปแล้ว แต่ก็มีขวานยักษ์ด้ามใหม่ปรากฏขึ้นมาอีก
เปรี้ยง!
พลังลมปราณสีแดงพุ่งโค้งเป็นสายบนท้องฟ้าเหมือนดาวตก เป็นประกายสว่างไสวสวยงามตระการตา
พื้นดินสั่นสะเทือนอีกครั้ง กรงจักรของฉู่ชวิ๋นปะทะเข้ากับขวานยักษ์ของหวูเค่อจินอีกรอบ แรงระเบิดทำให้เกิดเป็นก้อนเมฆรูปเห็ดปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ตู้ม…!
ฉู่ชวิ๋นยังคงสามารถสลายขวานยักษ์บนอากาศได้อย่างไม่มีปัญหา ถึงแม้ว่าภูเขาจะสั่นสะเทือนไปทั้งลูก และก้อนหินใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนจะแหลกสลายลงไปแล้วก็ตาม
หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ซัดพลังลมปราณสลายขวานยักษ์ติดต่อกันไปอีก 30 ด้าม ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้แต่ยืนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
หวูเค่อจินมีเหงื่อไหลเต็มใบหน้า ฉู่ชวิ๋นมีฝีมือแข็งแกร่งเกินกว่าที่มันคิดเอาไว้มาก
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เกิดการระเบิดสองครั้งติดๆ กันบนท้องฟ้า ก้อนเมฆรูปเห็ดปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศแล้วการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็ยุติลงเป็นการชั่วคราว
“คนของแดนสวรรค์ทำไมถึงได้มีฝีมือกระจอกอย่างนี้ล่ะ”
ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ไวเท่าความคิด ฉู่ชวิ๋นยกมือชี้หน้าหวูเค่อจิน ซึ่งอยู่ในสภาพที่เหงื่อไหลท่วมกาย ไม่สามารถหลบหนีได้อย่างกะทันหัน
พลังลมปราณสี่สายพุ่งออกมาจากมือของฉู่ชวิ๋น ตรงเข้าไปหาหวูเค่อจินด้วยความรุนแรง
หวูเค่อจินแผดเสียงคำรามลั่น
พลังลมปราณทั้งสี่สายถาโถมเข้าใส่หวูเค่อจินอย่างต่อเนื่อง แรงระเบิดของมันไม่ต่างไปจากระเบิดนิวเคลียร์ขนาดเล็ก ซึ่งทำให้หวูเค่อจินถูกหมอกควันกลืนหายไปหมดแล้ว
ภาพที่เห็นช่างน่ากลัวเหลือเกิน กลุ่มสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ถึงกับตัวสั่นเทาแล้ว
แต่ฝ่ายจอมยุทธ์อดส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความสะใจไม่ได้
“ไหนบอกว่าตัวเองเป็นทายาทของเทพเซียนไง? เจอจอมมารฉู่ชวิ๋นเข้าหน่อย ถึงกับไปไม่เป็นเลยเรอะ”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นยังคงเฉยชา แต่สีหน้าของเขาปรากฏความไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
ผ่านไป 5 ถึง 6 นาทีให้หลัง หมอกควันก็เริ่มจางลงแล้ว
เสียงโห่ร้องด้วยความสะใจของบรรดาจอมยุทธ์ชะงักขาดหายไปกลางคัน กลายเป็นฝ่ายของสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ที่ส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจบ้าง
หวูเค่อจินยังปลอดภัยดี ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในหลุมลึกที่มีเส้นรอบวงประมาณ 100 เมตร หวูเค่อจินมีม่านพลังสีขาวห้อมล้อมรอบกาย คอยป้องกันการโจมตีจากทุกสิ่งทุกอย่าง
ฉู่ชวิ๋นจ้องมองด้วยความเยือกเย็น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสิ่งที่ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเขาสักเท่าไหร่
หวูเค่อจินยืนอยู่ในหลุมลึก เงยหน้ามองฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาเย็นชา แต่ทั่วกายแผ่รังสีอำมหิตออกมาแล้ว
“แข็งแกร่งไม่เบานี่” หวูเค่อจินว่า
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ “ฉันก็เลยจะเป็นคนฆ่าแกไงล่ะ”
หวูเค่อจินแค่นยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “จอมมารฉู่ชวิ๋น ฉันแค่บอกว่าแกแข็งแกร่งไม่เบา แต่ไม่ได้หมายความว่าแกจะรอดชีวิตไปได้สักหน่อย”
“แกไม่ใช่คนแรกที่พูดแบบนี้กับฉัน แต่รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนั้น?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะด้วยความเหยียดหยามเล็กน้อย
ทุกครั้งที่ชายหนุ่มต่อสู้กับใครสักคน จะต้องมีคนพูดประโยคนี้ออกมาเสมอและคนพวกนั้นก็ตายหมดแล้ว!
“หลายล้านปีก่อน แดนสวรรค์ปกครองโลกมนุษย์ มนุษย์อย่างแกเป็นเพียงทาสรับใช้ของเราเท่านั้น ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่หมื่นปี พวกแกกลับลืมเลือนความน่ากลัวของพวกเราเทพเซียนไปเสียแล้ว ถึงกับกล้ายึดครองโลกใบนี้และสถาปนาตัวเองเป็นราชาตามใจชอบ นี่คือความผิดที่พวกเราคนจากแดนสวรรค์อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด” หวูเค่อจินพูดยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ความผิด?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ เถียงกลับว่า “มนุษย์ปกครองโลกใบนี้มาตั้งแต่เมื่อหลายหมื่นปีก่อนแล้ว อันนี้สมมุติว่าถ้าไม่ใช่หลายล้านปีก่อนน่ะนะ เทพเซียนอย่างพวกแกพอโลกใบนี้ย่ำแย่หน่อย ก็หนีหายกันไปหมด ในเมื่อพวกแกหนีไปจากที่นี่ แล้วจะกลับมาทำไมอีก”
“ทำไมจะกลับมาไม่ได้? หรือว่าแกเกรงกลัวความยิ่งใหญ่ของพวกเรา?” หวูเค่อจินหัวเราะในลำคอ เจตนาดูหมิ่นซึ่งหน้า
“ไม่ใช่!” ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้า แววตาเย็นชา พูดว่า “ฉันขอเตือนพวกแกไว้ตรงนี้เลยว่า ห้ามเหยียบเท้ากลับมาที่โลกใบนี้อีกเด็ดขาด ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันทำกับคนของแดนสวรรค์รุนแรงเกินไปก็แล้วกัน”
“สามหาวนัก!” สีหน้าของหวูเค่อจินแปรเปลี่ยนไปในพริบตา
ฉู่ชวิ๋นยังคงยิ้มอย่างเย็นชา กล่าวว่า “สรุปแบบให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ถ้าพวกเทพเซียนกลับมาที่โลกมนุษย์อีกเมื่อไหร่ ฉันจะฆ่าพวกมันทิ้งให้หมด”
“ดูเหมือนว่าพวกแกลืมไปหมดแล้วสินะ ว่าควรแสดงความเคารพต่อเทพเซียนอย่างไรบ้าง” หวูเค่อจินพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจ “เมื่อเป็นแบบนี้ หากพวกเราเทพเซียนกลับมาที่นี่เต็มรูปแบบเมื่อไหร่ สงสัยฉันคงต้องเปลี่ยนกลุ่มทาสรับใช้ใหม่เสียแล้ว”
“หวูเค่อจิน จำคำพูดของฉันเอาไว้ให้ดี” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความดุดันหนักแน่น “ถ้าพวกเทพเซียนกลับมาที่โลกมนุษย์อีกล่ะก็ ฉันจะฆ่าพวกมันอย่างไม่ปรานีและจะไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นเทพเจ้าอีกต่อไป”
“แก…” ดวงตาของหวูเค่อจินเป็นประกายเย็นเยียบ “ฉู่ชวิ๋น แกโอหังเกินไปแล้ว คิดหรือว่าจะดูหมิ่นแดนสวรรค์ได้ตามอำเภอใจ”
“ฉันดูหมิ่นตรงไหนไม่ทราบ?” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ “ในเมื่อพวกเทพตัดสินใจที่จะทิ้งโลกมนุษย์ไปแล้ว ก็ห้ามกลับมาที่โลกมนุษย์อีกเด็ดขาด ถึงแม้จะเป็นทายาทของพวกมันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฉันจะเริ่มคิดบัญชีกับแกก่อนเป็นคนแรก…”
หวูเค่อจินใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ตัวมันเองเป็นทายาทของเทพเซียน มีฝีมือสูงส่งตั้งแต่เกิด เมื่อตื่นมาจากการจำศีลก็สามารถเอาชนะสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ทุกสำนักได้อย่างง่ายดาย หวูเค่อจินมั่นออกมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าไม่มีใครสามารถต่อกรกับมันได้เด็ดขาด
แต่ฉู่ชวิ๋นมีฝีมือแข็งแกร่งเหลือเกิน ซ้ำยังบอกว่าโลกนี้เป็นของมนุษย์ เข่นฆ่าบรรดาสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ด้วยความโหดร้ายอำมหิต มีพลังสะเทือนฟ้าสะท้านดิน
ในฐานะที่หวูเค่อจินเป็นทายาทของเทพเซียน จึงเชื่อมั่นว่าตนเองมีหน้าที่ในการครองโลกใบนี้แทนบรรพบุรุษ เพื่อรอคอยให้คนของแดนสวรรค์กลับมาที่โลกมนุษย์อีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ หวูเค่อจินจึงรวบรวมกำลังพลเป็นสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ที่มีความบาดหมางต่อฉู่ชวิ๋นเป็นทุนเดิม มันตั้งใจจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ ว่าโลกใบนี้เป็นของเทพเซียน หวูเค่อจินตั้งใจที่จะสังหารฉู่ชวิ๋นในรูปแบบที่โหดร้ายที่สุด รุนแรงที่สุด และทำให้คนทั้งโลกต้องหวาดกลัวมากที่สุด
ทว่า เหตุการณ์ดำเนินมาถึงตอนนี้ หวูเค่อจินรู้สึกไม่อยากจะมองหน้าใครอีกแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก หลายคนคงได้เห็นแล้วว่ามันระดมสู้กับฉู่ชวิ๋น แต่ก็ยังไม่อาจทำอะไรฝ่ายตรงข้ามได้เลยสักนิด ขณะนี้ หวูเค่อจินจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะโกรธแค้นหรืออับอายมากกว่ากัน
แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ฉู่ชวิ๋นอาศัยจังหวะนี้ประกาศให้คนทั้งโลกรู้ ว่าถ้าเทพเซียนกลับมาที่โลกมนุษย์อีกเมื่อไหร่ก็จะถูกฆ่าทิ้งทันทีและจะไม่มีผู้ใดกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นเทพเซียนอีกเด็ดขาด
นี่คือการหักหน้าหวูเค่อจินอย่างร้ายกาจ
หวูเค่อจินมีสภาพเป็นเหมือนตัวตลกตัวหนึ่งไปแล้ว เพราะฉะนั้น มันจึงหวาดกลัวว่าภาพลักษณ์ของเทพเซียนจะพลอยเสียหายไปด้วย
หลังจากนี้ มีแต่การฆ่าจอมมารฉู่ชวิ๋นให้สำเร็จเท่านั้น ถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองของทุกคนและรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงของแดนสวรรค์ได้ดังเดิม
“ฉู่ชวิ๋น ถ้าตอนนี้แกอยู่ที่แดนสวรรค์ แกคงถูกลงโทษขั้นรุนแรงไปแล้ว” หวูเค่อจินกระซิบออกมาเสียงแผ่วเบา
พูดจบ ก็ล้วงแผ่นยันต์สีทองออกมาจากอกเสื้อ แล้วแผ่นยันต์สีทองแผ่นนั้นก็ลอยตัวขึ้น เปล่งประกายสว่างไสวที่เบื้องหน้า
แรงกดดันมหาศาลแผ่กระจายไปรอบบริเวณทันที เหมือนกับว่ามีน้ำหนักที่มองไม่เห็นกำลังกดทับลงมาเหนือศีรษะของทุกคน
บรรดาสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันนี้ได้ พวกมันทุกตัวพร้อมใจกันคุกเข่าลงบนพื้นดินทันที
ฝ่ายจอมยุทธ์ที่ยืนดูเหตุการณ์ก็หายใจติดขัด รู้สึกเหมือนมีก้อนหินน้ำหนักหลายล้านตันกำลังกดทับอยู่บนหัว เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก จำเป็นต้องงอเข่าลงเช่นกัน
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ…!
เหล่าคนที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับแรกเริ่ม ไม่อาจทนทานแรงกดดันนี้ได้ เลย พวกเขาคุกเข่าลงอย่างแรงจนพื้นดินบริเวณใต้หัวเข่าแตกร้าว
ส่วนใครที่มีระดับพลังสูงกว่านั้น ก็พยายามฝืนตัวเต็มที่ สองขาสั่นระริก ใบหน้าแดงก่ำ
ตุบ ตุบ… แต่สุดท้าย จอมยุทธ์ที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับสูงเหล่านั้น ก็ต้องคุกเข่าลงมา
คนดูที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ทางบ้านไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเห็นแต่เพียงว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพร้อมใจกันคุกเข่าลงทีละคน ทีละคน
“มนุษย์ผู้ต่ำต้อย ต้องคุกเข่าให้แก่เทพเซียนผู้สูงส่งเสมอ”
หวูเค่อจินพูดเสียงดังกังวาน ก่อนที่จะร่ายคาถาบางอย่าง แล้วท้องฟ้าก็ส่งเสียงร้องครืนครัน
ฉู่ชวิ๋นย่อมพบเจอกับแรงกดดันนั้นเช่นกัน พื้นดินใต้เท้าของเขาเป็นรอยแตกร้าว ขาของเขางอลง แต่ชายหนุ่มก็พยายามฝืนเอาไว้เต็มที่
“ไอ้พวกเทพเซียนบ้าอำนาจเอ๊ย!” ฉู่ชวิ๋นคำรามเสียงดังสนั่น
ฉู่ชวิ๋นก็เคยมีพลังระดับเทพเซียนเหมือนกัน เขาจะยอมคุกเข่าได้อย่างไร? แรงกดดันนี้สามารถใช้กับผู้ที่ฝึกวิชาสายเซียนได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?
“หวูเค่อจิน แกดูถูกฉันมากเกินไปแล้ว” ฉู่ชวิ๋นร้องคำราม พยายามเรียกคืนความรู้สึกในการเป็นผู้ใช้วิชาระดับเทพเซียนกลับคืนมา ทว่าเขาก็ล้มเหลว ถึงอย่างนั้น ความเป็นเทพเซียนก็ยังหลงเหลืออยู่ในตัวเขาพอสมควร
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างวิญญาณ ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎสวรรค์ได้เด็ดขาด
“คิดว่าฉันจะต้องคุกเข่าให้แกด้วยหรือไง?” ฉู่ชวิ๋นเงยหน้าขึ้น เสียงของเขากังวานไปทั่วแผ่นฟ้า ทำให้มวลอากาศปั่นป่วนไปทันที
กลิ่นอายของความเป็นเทพเซียนที่ฝังอยู่ในวิญญาณของฉู่ชวิ๋นระเบิดตัวไปทั่วบริเวณ ขจัดแรงกดดันมหาศาลที่บังคับให้ทุกคนต้องคุกเข่าสลายหายไป
บรรดาจอมยุทธ์รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาปิดกั้นแรงกดดันเหล่านั้น ทำให้พวกเขาสามารถกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง
ทุกสายตาหันไปจ้องมองฉู่ชวิ๋น นี่คือสิ่งที่มีแต่เพียงจอมมารฉู่ชวิ๋นเท่านั้นถึงจะทำได้ ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงอดตกตะลึงไม่ได้แล้ว
“จอมมารฉู่ชวิ๋น แกกล้าต่อต้านกฎเกณฑ์สวรรค์หรืออย่างไร? ทำไมถึงไม่คุกเข่า” หวูเค่อจินคำรามด้วยความไม่พอใจ
แล้วลำแสงที่เป็นประกายสวยงามราวกับทางช้างเผือก ก็พุ่งวาบผ่านอากาศตรงเข้าใส่ฉู่ชวิ๋น
ตู้ม!
พื้นดินใต้เท้าฉู่ชวิ๋นระเบิดตัว แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันที่เขาต้องต้านทานเอาไว้
ฉู่ชวิ๋นมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นหมุนวนในอากาศ พร้อมกับส่งเสียงคำรามออกมา
“จงสลายหายไปซะ!”
เสียงคำรามของฉู่ชวิ๋นดังกังวานทั่วแผ่นฟ้า มวลอากาศปั่นป่วนส่งเสียงดังครืนครัน
วูบ!
แล้วลำแสงสีทองที่เป็นประกายเจิดจ้าจากแผ่นยันต์เบื้องหน้าหวูเค่อจินก็ดับวูบลง
หวูเค่อจินมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที ความตื่นตระหนกปรากฏให้เห็นเด่นชัด วิชาที่มันใช้เป็นสิ่งที่มีแต่เทพเซียนเท่านั้นถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น นี่คือแผ่นยันต์เทวะ ไม่มีมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์ไหนสามารถต่อต้านได้
แต่จอมมารฉู่ชวิ๋นสามารถทำได้อย่างไร? นอกจากจะไม่คุกเข่าลงตามแรงกดดันแล้ว ซ้ำยังสามารถสลายลำแสงทองคำได้อีกด้วยนี่เป็นสิ่งที่หวูเค่อจินหาคำอธิบายไม่ได้เลยจริงๆ
“หวูเค่อจิน นั่นมันก็แค่กระดาษแผ่นเดียว คิดว่าจะทำอะไรฉันได้หรือไง”
ฟู่!
ฉู่ชวิ๋นพูดจบ แผ่นยันต์สีทองแผ่นนั้นก็เกิดเปลวไฟลุกไหม้พรึบพรั่บ
หวูเค่อจินจ้องมองด้วยความตื่นตระหนก นี่คือแผ่นยันต์เทวะที่ตกทอดมาจากเทพเซียนรุ่นก่อนหน้า สมควรมีพลังมหาศาลที่แม้แต่จอมมารฉู่ชวิ๋นก็ต่อต้านไม่ได้สิ
“ฉู่ชวิ๋น แกมันกำแหงเกินไปแล้ว” หวูเค่อจินตะเบ็งเสียงด้วยความเดือดดาล
“กำแหงอะไร? นี่มันก็แค่แผ่นยันต์แผ่นหนึ่ง ต่อให้มีเทพเซียนอย่างพวกแกเต็มท้องฟ้า คิดหรือว่าฉันจะยอมคุกเข่าให้?” ฉู่ชวิ๋นเงยหน้าส่งเสียงคำรามกึกก้อง
ฟู่!
เปลวไฟที่เผาผลาญอยู่บนแผ่นยันต์เทวะทวีความรุนแรงมากขึ้น
กลุ่มจอมยุทธ์ส่งเสียงตะโกนเชียร์ด้วยความคึกคัก มีแต่ผู้อาวุโสมากฝีมือเท่านั้นถึงจะรู้ว่าแผ่นยันต์นี้น่ากลัวขนาดไหน
แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ ทุกครั้งที่ฉู่ชวิ๋นส่งเสียงคำราม เปลวไฟบนแผ่นยันต์ก็จะทวีความร้อนแรงมากขึ้น
หวูเค่อจินมีใบหน้าบิดเบี้ยวแทบดูไม่ได้ ดวงตาเป็นประกายดุร้ายน่าหวาดกลัว
“แกตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? ต่อให้เทพเซียนขั้นนิรันดร์ลงมาที่นี่ก็ต้องเป็นพวกมันที่คุกเข่าต่อหน้าฉันคนนี้!” ฉู่ชวิ๋นตะโกนออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
ฟู่!
เปลวไฟลามเลียไปทั่วแผ่นยันต์เทวะ
“หวูเค่อจิน แกมีค่าเป็นเพียงแค่ลูกหมาข้างถนน อย่าคิดเพ้อฝันว่ามีเศษกระดาษแค่แผ่นเดียวฉันก็ต้องคุกเข่าให้แกจะบอกให้นะ แผ่นยันต์ของแกมันไร้ค่า กระดาษเช็ดก้นของฉันยังทำลายทิ้งยากกว่านี้เลย น่าตลกสิ้นดี”
ฟู่!
เปลวไฟปะทุตัวขึ้นอีกครั้ง เพิ่มความร้อนแรงบนแผ่นยันต์
บัดนี้ แผ่นยันต์เทวะที่เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมีพลานุภาพน่ากลัวไม่เป็นรองใคร กลับถูกเปรียบเปรยไม่ต่างไปจากกระดาษเช็ดก้นแผ่นหนึ่ง
หวูเค่อจินมีแววตาโกรธแค้น ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
“ฉู่ชวิ๋น แกดูถูกแดนสวรรค์อย่างไม่อาจให้อภัย ความผิดของแกคือความตายสถานเดียว”
หวูเค่อจินยกมือขึ้นกัดปลายนิ้ว ก่อนจะใช้เลือดเขียนตัวอักษรบนแผ่นยันต์ที่กำลังลุกเป็นไฟ
นี่คือการรวบรวมพลังจากสวรรค์ มีเป้าหมายอยู่ที่การสังหารฉู่ชวิ๋น