จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 7 ตั้งใจทำให้ลำบากใจ
บทที่ 7 ตั้งใจทำให้ลำบากใจ
“ดาบนี้ได้มาจากสุสานของกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่นถือเป็นตัวแทนของพระองค์ ราคาเริ่มที่ หนึ่งล้านหยวน เชิญเถ้าแก่ประมูลกันได้เลย” หงหลิงพูดมาสั้น ๆ แต่ได้ใจความ เธอไม่ได้แนะนำอะไรเกี่ยวกับมีดสั้นนั่นเลยดูเหมือนว่าเธอเองก็ไม่รู้เรื่องราวมันมากนัก
“ไม่ทราบว่าคุณหงหลิงให้ผู้เชี่ยวชาญมาดูรึยัง?” เถ้าแก่คนหนึ่งถามขึ้น
“เถ้าแก่โจววางใจได้เลยค่ะ ชื่อของร้านไม่ใช่ว่าตั้งขึ้นมามั่ว ๆ แต่เป็นตัวรับประกันของคุณภาพ มูลค่าการเก็บสะสมของมีดสั้นต้องสูงกว่าราคาในตอนนี้แน่นอน” พอหงหลิงพูดแบบนี้ นอกจากฉู่ชวิ๋นแล้วคนอื่นพยักหน้าเป็นอันรับรู้หมด เพราะร้านแห่งนี้ไม่เคยมีของปลอม
“ในเมื่ออย่างนี้ งั้นผมขอก่อนเลยละกัน หนึ่งล้านหยวน!” เถ้าแก่โจวเริ่มประมูลราคาก่อน
“สองล้าน!”
“สามล้าน!”
สุดท้ายมีดสั้นนั่นก็โดนเถ้าแก่โจวประมูลไปในราคาห้าล้านหยวน ฉู่ชวิ๋นคิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่ใช้การประมูลราคาในการขายสินค้า หลังจากนั้นหงหลิงก็เปิดตู้เซฟต่อไปแล้วเอากล่องไม้ออกมา พอเปิดออกข้างในนั้นเป็นปึกกระดาษสีเหลืองปึกหนึ่งก่อนเธอจะค่อย ๆ คลี่ออก
“นี่มันยันต์แก้ปวดท้องของจางชู]” มีคนรู้จักตะโกนออกมา
จางชูเป็นคนที่เกิดในยุคของราชวงศ์ซ่ง รักการดื่มเหล้า ยันต์แผ่นนี้ถือเป็นผลงานชิ้นเอกของเขา ความดุเดือดของจางชู บทกลอนของลี่ป๋าย เพลงดาบของเฝยหมิน รวมกันเป็น “สามสิ่งต้องห้าม” ในยุคนั้น และเหตุผลนี้ทำให้พอจะเดาราคาของสิ่งนี้ได้ว่าสูงขนาดไหน
“ผมให้ห้าล้าน”
ยังไม่ทันได้ฟังหงหลิงบอกราคาเริ่มต้น คนที่จำยันต์แก้ปวดท้องนี้ได้เป็นคนแรกให้ราคาก่อนเลยห้าล้าน
“หกล้าน”
“แปดล้าน”
พวกคนรวยประมูลราคากันไม่หยุด ราวกับว่าจะต้องเอาแผ่นยานี้ไปให้ได้ ฉู่ชวิ๋นไม่ได้สนใจของพวกนี้เลยสักนิด เอาแต่นั่งเงียบ ๆ อยู่บนโซฟา
“พ่อหนุ่มฉู่ชวิ๋น คุณไม่ประมูลราคาหน่อยเหรอ หรือว่าของพวกนี้ของฉันยังไม่ถูกใจพอ?” พอหงหลิงพูดจบเถ้าแก่แต่ละคนก็มองไปที่ฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาที่เหยียด ๆ
“ดูเหมือนไม่ใช่เพราะไม่ถูกใจ แต่เงินในกระเป๋าไม่พอมากกว่าล่ะมั้ง?” มีคนพูดดูถูกฉู่ชวิ๋นออกมา
“ค่าผ่านประตูของคุณหงหลิงเหมือนจะต่ำลงเรื่อย ๆ แล้วนะ คนแบบไหนก็เข้ามาได้ซะหมด” มีคนที่พูดออกมาอย่างดูถูกและไม่ชอบใจ
“คนเราควรจะเจียมตัว อย่าคิดว่าในกระเป๋ามีเงินไม่กี่หมื่นไม่กี่แสนก็เป็นคนมีหน้ามีตาแล้ว ผมว่าเอาเงินหมื่นกว่า ๆ ไปซื้อของเล่นหลอกสาว ๆ ทั่วไปดีกว่านะ อย่าพยายามอวดเบ่งแล้วสุดท้ายก็หมดท่าเลย”
ในสายตาของพวกเขา ฉู่ชวิ๋นอาจจะเป็นลูกคนมีเงิน ในกระเป๋ามีเงินอยู่หลายแสน ที่มาที่นี่ก็เพราะอยากจะเจอหงหลิงเท่านั้น
“เข้ามาที่นี่จะต้องประมูลเท่านั้นงั้นเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นถามขึ้นอย่างเรียบ ๆ
“พ่อหนุ่มก็ว่าไป ที่ไหนก็ไม่มีกฎแบบนั้นหรอก จะประมูลหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง” หงหลิงพูดพลางยิ้ม ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าแล้วเงียบลงอีกครั้ง คนอื่นเมื่อเห็นแบบนี้ก็ยิ่งมองแบบเหยียดหยามเข้าไปใหญ่
สุดท้ายยันต์ของจางหวงก็ถูกขายในราคาสิบล้าน หงหลิงเปิดตู้เซฟอันที่สามออก มันยังคงเป็นกล่องไม้เช่นเดิม แต่เล็กกว่าสองอันก่อนหน้านิดหน่อย พอเปิดออก หินหยกที่ใสแวววับก็ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนทันที
หินหยกรูปสี่เหลี่ยม ขนาดความกว้างสูงยาวอยู่ที่ สิบเซนติเมตรเท่ากัน ดูเหมือนกับก้อนเต้าหู้สีขาว ในตอนที่หงหลิงหยิบก้อนหยกนั่นออกมา ดวงตาของฉู่ชวิ๋นก็หรี่ลงนิดหน่อย พลังที่เขาสัมผัสได้ก่อนหน้าก็มาจากกล่องนี้
เมื่อเขาเห็นก้อนหยกนั่นก็นั่งตัวตรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
“นี่คือหยก?” มีคนถามขึ้น เพราะหินหยกที่ขาวใสผุดผ่องไร้ที่ติแบบนี้ พวกเขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่เหมือนหยก มันเหมือนก้อนเต้าหู้มากกว่า
“นี่เป็นหยกจริง ๆ ค่ะ เชิญเถ้าแก่แต่ละท่านดูที่ลักษณะของมันได้เลยค่ะ มันเหมือนกับหยกตราประทับของจักรพรรดิไหมคะ?” หงหลิงถามขึ้น
คนอื่นก็พยักหน้าไปตาม ๆ กัน “หรือนี่จะเป็นหยกตราประทับของจักรพรรดิองค์ใดองค์หนึ่ง” คนอื่น ๆ ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ถ้าเป็นหยกตราประทับของจักรพรรดิจริง ๆ มูลค่าการสะสมต้องสูงมากเกินกว่าที่จะจินตนาการแน่ ๆ
หงหลิงส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะยิ้มและพูดขึ้นแกมหัวเราะ “พวกคุณก็รู้ใช่ไหมว่าหงหลิงเป็นแค่คนกลางเท่านั้น ของทุกอย่างในนี้ล้วนแล้วแต่ได้รับมอบหมายให้ฝากมาประมูล”
เรื่องนี้นอกจากฉู่ชวิ๋นแล้วทุกคนต่างรู้ดี ร้านเจินเป่าของเมืองกู่เจียงเมื่อมีคนเจอของดี ๆ มักจะส่งมาที่นี่เสมอ เป็นเพราะหงหลิงมีชื่อเสียงทางด้านการค้า รู้จักคนใหญ่คนโตมากมาย ทำให้เธอขายของได้ราคาสูงกว่าการขายธรรมดาหลายเท่าตัว และของพวกนี้ล้วนแล้วเป็นของผิดกฎหมาย ร้านขายสมบัติจึงเป็นที่ในการลักลอบซื้อขายสมบัติแห่งชาติอย่างแท้จริง ส่วนหงหลิงก็กินส่วนต่างจากการขาย
“จากที่พวกเรารู้ หยกก้อนนี้เป็นหยกที่จักรพรรดิสมัยก่อนเลือกใช้เป็นตราประทับแต่เพราะต่อมามีวัตถุดิบอย่างอื่นใช้แทน หยกชิ้นนี้จึงถูกปล่อยไว้” หงหลิงหยุดสักพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ในเมื่อหยกก้อนนี้ไปถูกใจจักรพรรดิสมัยก่อนได้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่หยกธรรมดา ทุกท่านสามารถสัมผัสเนื้อผิวของหยกก็จะรู้สึกถึงความพิเศษของหยกก้อนนี้ได้ค่ะ”
“มันไม่เหมือนตรงไหน ก็แค่ดูสวยงามกว่าเท่านั้น ไม่ใช่เหรอ?” มีคนไม่เชื่อ และก้าวไปลูบก้อนหยกนั่น ก่อนที่สีหน้าจะแสดงความตกตะลึงออกมา
“หยกก้อนนี้มันร้อน?” ทุกคนก็คงจะทราบดีว่าหยกเป็นตัวนำความร้อนได้ดี เมื่อผิวหนังไปสัมผัสโดน หยกก็จะดูดเอาความร้อนจากตัวไปอย่างรวดเร็วและส่งออกไปยังด้านนอก และนี่คือสิ่งที่ทำให้เมื่อคนจับหยกจะรู้สึกถึงความเย็น
หยกก้อนใหญ่ขนาดนี้ ต้องระบายความร้อนได้ดียิ่งกว่า แต่พอคนสัมผัสกลับรู้สึกว่าหยกแผ่ความร้อนเข้าหาตนเอง ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจ คนในที่นี่ล้วนแล้วแต่ชำนาญในเรื่องของวัตถุโบราณกันทั้งนั้น พอได้ยินว่าหยกร้อน ต่างก็พากันเดินเข้าไปลองลูบดู สุดท้ายก็พากันร้องเสียงดังอย่างคาดไม่ถึง
“นี่ไม่ใช่หยกแน่นอน น่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า” มีคนพูดขึ้นมา คนอื่น ๆ ก็ต่างพากันเห็นพ้องต้องกันเพราะมันไม่เหมือนกับหยกที่เคยเห็นมา
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่แววตาร้อนเหมือนพร้อมกะแผดเผาทุกสิ่ง นั่นมันเป็นหยกจริง ๆ แถมยังเป็นหยกอันล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง ถึงแม้จะเป็นต่างโลกก็ถือว่าเป็นของหายากที่ชื่อว่า หยกอุ่น
ถ้าหากเอาหยกนี่ไปทำเป็นเครื่องประดับตกแต่ง โดยคิดถึงเรื่องประโยชน์ของมันแล้วพอพกติดตัวก็ไม่ต้องกลัวร้อนกลัวหนาว เหมือนกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลา และอีกอย่าง หยกก้อนนี้ยังกำลังฟักหยกไขสันหลังอยู่ ซึ่งถึงแม้จะอยู่ในต่างโลกก็เป็นของที่ยากจะประเมินมูลค่าได้
“คุณหงหลิง หยกก้อนนี้ราคาขั้นต่ำเท่าไหร่?” มีคนถามขึ้น หงหลิงหน้าถอดสีไปเล็กน้อย เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าก้อนขาว ๆ เหมือนเต้าหู้นี่เป็นหยกจริง ๆ รึเปล่าและอีกอย่างผู้ฝากขายก็ตั้งราคาไว้สูงมากทีเดียว
“ราคาเริ่มต้นที่สิบล้านค่ะ!” หงหลิงพูดออกมา
“สิบล้าน? บ้ารึเปล่า?” มีคนถามออกมาด้วยความไม่พอใจ
“คนฝากขายคนนี้จะต้องอยากได้เงินจนบ้าไปแล้วแน่ ๆ ใครจะรู้ว่านี่มันคืออะไร มันอาจจะเป็นเพียงก้อนหินโง่ ๆ ที่มีการเจียระไนมาก็ได้”
“แถมยังมาบอกว่าเป็นของจักรพรรดิองค์ก่อน ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ใครมันจะกล้าเอามาขายกัน?” หงหลิงรู้สึกลำบากใจ ก็คงไม่มีใครบ้าพอที่จะใช้เงินสิบล้านซื้อก้อนเต้าหู้ที่สามารถปล่อยความร้อนนี่ได้หรอก ถ้าเกิดว่าผู้ฝากไม่ใช่ลูกค้าขาประจำ เธอก็คงไม่รับอะไรแบบนี้
“สิบล้าน!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังสบถกันอยู่นั้น น้ำเสียงเนือย ๆ ก็ดังขึ้น ทุกคนหันกลับไปมองไปทางเดียวกัน คนที่พูดก็คือคนที่เงียบมาตลอดอย่างฉู่ชวิ๋น ขนาดหงหลิงยังรู้สึกตกใจไม่อยากจะเชื่อ
“พ่อหนุ่ม…คุณบอกว่าจะประมูลในราคาสิบล้านเหรอ?” หงหลิงถามขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ถ้าไม่มีคนสู้ราคา หยกก้อนนี้ก็เป็นของผมแล้วนะ”
“ไอ้หนุ่มนี้มันบ้าไปแล้วรึไง?” มีคนกระซิบขึ้นมา
“หรือว่าจะเป็นหน้าม้าที่ผู้ฝากขาย จ้างมา”
“มีความเป็นไปได้ ดูสภาพจน ๆ นั้นสิจะมีเงินสิบล้านหยวนได้ยังไง”
“ใช่หรือไม่ใช่ ลองดูก็รู้เอง” เถ้าแก่โจวคนก่อนหน้านั้นแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปบอกกับหงหลิง
“ฉันให้สิบห้าล้าน” ทุกคนชะงักไปก่อนจะยกนิ้วให้เป็นระนาว
“เถ้าแก่โจวฉลาดจริง ๆ ถ้าหากว่าไอ้หนุ่มนี่เป็นคนที่ถูกจ้างมาจริง ๆ ก็จะต้องสู้ราคาขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าหากไม่ใช่ก็ปล่อยไปให้มันซื้อหินเก่า ๆ แพง ๆ นี่ไป ฮ่า ๆ” คนอื่น ๆ รู้แก่ใจดี เลยอดที่จะขำไม่ได้
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ก่อนจะมองไปที่เถ้าแก่โจวด้วยสายตาที่เยือกเย็น “นี่คุณตั้งใจใช่ไหม?”
“เฮ้ย ทำไมพูดอย่างนั้นเล่า นายมีสิทธิ์ประมูลคนเดียวรึไง? เถ้าแก่โจวเป็นถึงประธานกรรมการอุตสาหกรรมหัวถิง มีเงินหลายพันล้าน เขาจะใช้เงินนิด ๆ หน่อย ๆ ซื้อของเล่นไม่ได้รึไง?”
เถ้าแก่โจวไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีคนพูดขึ้นมายกยอประจบซะก่อนแถมยังตำหนิฉู่ชวิ๋นอีกต่างหาก
“อุตสาหกรรมหัวถิง ฉันจะเอาจำไว้!” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นมาเรียบๆ และละสายตาจากคนกลุ่มนั้นมองไปที่หงหลิงแทน ก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ “สิบแปดล้าน!”
พอเสียงของฉู่ชวิ๋นจบลง เถ้าแก่โจวก็พูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง “ยี่สิบล้าน”
สายตาของฉู่ชวิ๋นท้อขึ้นมานิดหน่อย เพราะทั้งตัวเขามีแค่เงินที่เฉินฮั่นหลงให้เขามา ยี่สิบล้าน
พอเห็นฉู่ชวิ๋นเงียบไป เถ้าแก่ก็พูดขึ้นอีก “ไอ้หนู ทำไมไม่ประมูลต่อล่ะ กลัวว่าถ้ากลับไปผู้ฝากขายจะเล่นงานเข้าให้รึไง?” ภายนอกเถ้าแก่โจวเหมือนจะไม่รู้สึกอะไร แต่ในใจกลับตื่นเต้นอย่างมาก เพราะถ้าหากว่าฉู่ชวิ๋นไม่ประมูลต่อ เขาก็ต้องใช้เงินยี่สิบล้านเพื่อซื้อหินไร้ประโยชน์นี้