จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ - ตอนที่ 19
Ch.10 – ตอนที่ 19 หมายความว่า ตอนนี้เธอ….ชอบฉันแล้ว
Translator : Akanirawan / Author
ตอนที่ 19หมายความว่า ตอนนี้เธอ….ชอบฉันแล้ว (1/1)
เช้าวันถัดมา หลังจากตื่นขึ้นบ้วนปากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ซูเจี๋ยนก็ออกมานั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นอย่างว่าง่าย
แน่นอนว่า หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ อันอี่เจ๋อที่วิ่งออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จแล้วก็กลับเข้ามาพร้อมอาหารเช้า
หลังทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว ซูเจี๋ยนที่เบื่อหน่ายแทบตายก็หันไปเปิดทีวีดู กดเปลี่ยนช่องอยู่นานก็ยังไม่พบรายการที่น่าสนใจแม้แต่อย่างเดียว จนเปลี่ยนมาถึงช่องแข่งขันกีฬา ไม่คิดว่าจะกำลังออกอากาศการแข่งขันฟุตบอลอยู่พอดี
แม้จะไม่ใช่การถ่ายทอดสด แต่ซูเจี๋ยนที่กำลังเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำก็ยังชมดูด้วยความสนอกสนใจอย่างมาก พอเห็นนักฟุตบอลที่ตัวเองชื่นชอบที่สุดเตะลูกหนังยิงประตูเข้าไปได้อย่างสวยงาม ซูเจี๋ยนก็ตบมือฉาด แสดงท่าทางตื่นเต้นดีใจอยู่บนโซฟาอย่างอดไม่ได้ : “สวยจริงๆ! ท่านเทพบาหวดได้แจ่มไปเลย!” [1]
อันอี่เจ๋อกำลังจะเดินเข้าไปในห้องหนังสือ พอได้ยินเสียงซูเจี๋ยนก็อดโน้มกายมาจ้องหน้าจอทีวีไม่ได้ : “นี่เธอชอบดูฟุตบอลด้วยเหรอ”
“แหงล่ะ! ก็ต้องชอบ——” วาจาเพิ่งกล่าวออกมา ซูเจี๋ยนก็พลันต้องชะงักค้างไปกลางคัน เวร! เกือบลืม ตอนนี้ตัวเขาอยู่ในร่างสาวน้อยคนหนึ่ง! ทั้งยังเป็นสาวน้อยอายุยี่สิบเอ็ดที่ก่อนหน้านี้ได้รับคำนิยามว่า ‘อบอุ่นอ่อนโยนและเรียบร้อย’ อีกต่างหาก! ก่อนหน้านี้ว่าที่แฟนสาวที่เดทกันได้แปปเดียวคนนั้นเคยพูดกับเขาไว้ว่ายังไงนะ? —— ‘ผู้หญิงที่ไหนจะไปชอบดูกีฬาฟุตบอลเถื่อนๆ แบบนั้นกัน!’ ถึงแม้ซูเจี๋ยนจะไม่ได้เห็นด้วยกับแนวคิดของเธอคนนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความน่าจะเป็นที่กุลสตรีแบบสาวน้อยซูคนนี้จะหันไปชอบฟุตบอลนั้นมีอยู่น้อยนิดจนน่าสมเพช! คราวนี้ก็ดีเลย จะหาทางกลับคำแบบไม่ให้อันอี่เจ๋อสงสัยได้ยังไงกันเนี่ย?
ในช่วงเวลาวิกฤตคับขัน ซูเจี๋ยนก็เกิดไหวพริบขึ้นมา : “ฉันหมายถึงว่า ฉันชอบนักฟุตบอลหล่อๆ พวกนี้มาก!”
“อ้อ?” อันอี่เจ๋อเลิกคิ้วถาม : “งั้น เธอชอบใครมากที่สุดล่ะ”
ซูเจี๋ยนตอบกลับทันทีแบบไม่มีลังเล : “ก็ต้องเป็นท่านเทพบาโลเตลลีอยู่แล้ว!”
อันอี่เจ๋อเงียบกริบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปาก : “ที่แท้….สเปคผู้ชายที่เธอชอบก็เป็นแบบนี้นี่เอง”
ตอนนี้ซูเจี๋ยนถึงนึกขึ้นมาได้ ว่าตัวเองเพิ่งบอกว่าชอบฟุตบอลก็เพราะชอบดูผู้ชายหล่อๆ ชั่วขณะนั้นก็พลันชำเลืองมองบนจอทีวี เห็นไอดอลของตัวเองผู้มีใบหน้าฮึกเหิมกร้าวแกร่งทั้งยังมีจมูกและริมฝีปากหนาได้รูปราวกับอุรังอุตังสุดเท่ ชั่วอึดใจนั้น ซูเจี๋ยนก็อับจนถ้อยคำไป
ไม่คิดว่าจะได้ยินอันอี่เจ๋อกล่าวต่อ : “ตอนเวิลด์คัพ บาโลเตลลีโชว์ฟอร์มได้ดี”
ซูเจี๋ยนตาเป็นประกายขึ้นมา : “นี่คุณก็ชอบเขาเหมือนกันเหรอ”
อันอี่เจ๋อยกยิ้มอ่อนจาง : “ฉันชอบก็แต่ความสามารถในการเตะฟุตบอลของเขา”
ซูเจี๋ยนครุ่นคิดในใจ ที่แท้เจ้าอันอี่เจ๋อนี่ไม่ใช่คนขี้เก๊กหน้าตาตายด้านอะไรนั่นหรอก นี่น่ะ เป็นจักรพรรดิแห่งความปากคอเราะร้ายชัดๆ!
อย่างไรก็ตาม พอนึกขึ้นมาได้ว่าอันอี่เจ๋อถึงกับเอ่ยปากชื่นชมไอดอลของตัวเอง ซูเจี๋ยนก็รู้สึกว่าอันอี่เจ๋อยามนี้ดูมองแล้วสบายตาขึ้นมาอีกหน่อย
ดังนั้นซูเจี๋ยนจึงตบอกรับปากอย่างใจกว้าง : “มื้อเที่ยงวันนี้ให้เป็นหน้าที่ฉันเอง!”
อันอี่เจ๋อมีท่าทีลังเล : “แต่ขาเธอ……”
ซูเจี๋ยน : “ไม่มีปัญหา ยังมีเก้าอี้ให้นั่งอยู่ไม่ใช่เหรอ”
อันอี่เจ๋อคล้ายอยากจะเอ่ยคำใดออกมา แต่แล้วก็เงียบไป
ซูเจี๋ยนกล่าวอย่างรวบรัด : “ตกลงตามนี้แหละ!”
……………………………….
ถึงเวลาอาหารกลางวัน ซูเจี๋ยนก็วิ่งไปห้องหนังสืออย่างมีชีวิตชีวา แล้วเรียกอันอี่เจ๋อออกมา
ครั้งนี้ ในมืออันอี่เจ๋อก็ยังถือหนังสือภาษาต่างประเทศอ่านอย่างใจจดใจจ่ออยู่เช่นเคย
ซูเจี๋ยนขยับเข้าไปใกล้ : “อ่านหนังสือฝรั่งเศสอีกแล้วเหรอ”
อันอี่เจ๋อปิดหนังสือ : “เป็นภาษาสเปน”
ซูเจี๋ยนอับอายจนกลายเป็นโกรธ : “……นี่คุณรู้กี่ภาษากันแน่”
อันอี่เจ๋อ : “ก็มีภาษาจีน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน แล้วก็พอพูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้างนิดหน่อย”
ซูเจี๋ยน : “……”
ทว่าต่อให้ตนเป็นฝ่ายแพ้ก็ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้อย่างหมดท่าเช่นนี้ ซูเจี๋ยนคิดแล้วคิดอีก จากนั้นก็ยกยิ้มกล่าว : “รู้ห้าภาษามันน่าประทับใจขนาดนั้นเชียว? ฉันเองก็รู้ห้าภาษาเหมือนกันนั่นแหละ!”
อันอี่เจ๋อเลิกคิ้วมองกลับมา ดูจะทึ่งอยู่ไม่น้อย
ซูเจี๋ยนป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจ : “ทั้งภาษาอังกฤษ, จีนแมนดาริน, ภาษาถิ่นเทียนจิง, ภาษาถิ่นตงเป่ย (ภาษาถิ่นทางเหนือ), แน่นอนว่าภาษาญี่ปุ่นฉันก็พอจะมีความเข้าใจอยู่บ้าง!” ถึงยังไง คำจำพวก ‘ยามาเตะ’ (อย่านะ), ‘ฮายาคุ’ (เร็วอีกค่ะ) แล้วก็ ‘คิโมจิ’ (รู้สึกดีจัง) นั้นย่อมฟังออกแบบไม่มีปัญหา!
อันอี่เจ๋อ : “……”
ระหว่างที่ออกจากห้องหนังสือมุ่งหน้าไปห้องรับประทานอาหาร จู่ๆ อันอี่เจ๋อก็ถามขึ้น : “นี่เธอพูดได้ทั้งภาษาถิ่นเทียนจิงแล้วก็ตงเป่ยเลยเหรอ”
ซูเจี๋ยนเหงื่อตก เวรล่ะ! คราวนี้พูดมากไปแล้วจริงๆ เขานึกขึ้นมาได้รางๆ ว่าสาวน้อยซูคนนี้ดูเหมือนจะเป็นสตรีจากแถบเจียงหนาน (ทางใต้)
หัวสมองขบคิดอย่างรวดเร็ว ซูเจี๋ยนตัดสินใจทำตัวหน้าหนาเข้าไว้ เปิดปากโต้กลับ : “ทำไมล่ะ แปลกตรงไหน คนในประเทศนี้ ใครๆ ก็รู้จักภาษาเทียนจิงกับตงเป่ยกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง”
“อ้อ?”
ซูเจี๋ยนเริ่มร้องเพลงโฆษณายอดนิยมของเทียนจิงขึ้นทันที : “เสียงปรบไม้ปรบมือนี้หนา เราหาได้ยกย่องเชิดชูสิ่งอื่นใด เพียงยกย่องรสนิยมในซาลาเปาโก่วปู้หลี! โก่วปู้หลีซาลาเปานี้ กล่าวไปแล้วมีดีอย่างไรหนอ? ก็มันมีเปลือกบางใส้แน่นสิบแปดจีบ เหมือนกลีบดอกไม้ยังไงกันเล่า!”
จากนั้นก็ต่อด้วยบทร้องเล่นอันเป็นสำเนียงของแถบเสี่ยวเฉิงหยาง (ทางเหนือ) : “เจ้าอย่าได้มองว่าข้าอายุเยาว์ ข้าล้วนรู้ความหมดสิ้น คนเราหนึ่งชีวิตหนึ่งเฉิงช่างแสนสั้น บางคราเพียงหลับใหลหนึ่งตื่นหนึ่งหยาง เปลือกตาเจ้าผันผ่านหนึ่งปิดหนึ่งเปิด หนึ่งวันก็ผ่านพ้นไปเช่นนี้เอง เฮย~ หนึ่งปิดนี้ ถึงทีไม่เปิด เมื่อนั้นชั่วชีวิตก็ได้พ้นผ่านไปแล้ว เฮย~”
อันอี่เจ๋อ : “……”
ซูเจี๋ยนเงยหน้ามองอีกฝ่าย : “เป็นไงล่ะ”
อันอี่เจ๋อ : “….ช่างมากความสามารถจริงๆ”
ซูเจี๋ยนผ่อนคลายลงทันที : “มาเถอะ! กินข้าวกันดีกว่า!”
……………………………….
ได้มองเห็นมื้อกลางวันที่จัดเรียงไว้บนโต๊ะแล้ว อันอี่เจ๋อก็อึ้งงันไปอีกครั้ง
ที่บนโต๊ะมีไก่หั่นเต๋าคลุกซอสเผ็ด เนื้อวัวผัดพริกเขียว เต้าหู้ตุ๋นเนื้อปู ต้มฟักใส่เนื้อหมูปั้นเป็นก้อน ทั้งสามจานหนึ่งถ้วยนี้ แม้จะเป็นเพียงอาหารพื้นๆ ที่หาทานได้ในครัวเรือนทั่วไป ทว่าทั้งสีและกลิ่นล้วนแต่หอมหวนชวนให้รับประทานอย่างที่สุด
อันอี่เจ๋อดูประหลาดใจไม่น้อย : “นี่เธอทำเองหมดเลย?”
“แน่นอนสิ!” ซูเจี๋ยนยืดอกรับด้วยความภาคภูมิใจ : “เป็นไงบ้างล่ะ”
อันอี่เจ๋อตอบกลับไปตามตรง : “ดูดีมาก”
ซูเจี๋ยนรีบส่งตะเกียบคู่หนึ่งให้เขา ซ้ำยังกระวีกระวาดตักต้มฟักให้อย่างกระตือรือร้น : “รีบลองชิมดูสิ!”
อันอี่เจ๋อลองชิมอย่างละนิดอย่างละหน่อย พอเงยหน้าขึ้นมาก็ถูกสะกดด้วยดวงตาคู่งามที่ตื่นเต้นคาดหวังจนเปล่งประกายวิบวับคู่หนึ่ง ชายหนุ่มยกมุมปากยิ้มน้อยๆ กล่าวตอบ : “รสชาติก็ดีมาก”
ซูเจี๋ยนพออกพอใจมาก ยิ้มหน้าบานขณะที่ทรุดกายนั่งลง ในใจก็ครุ่นคิด : อันอี่เจ๋อเอ๊ยอันอี่เจ๋อ ฉันก็มีเรื่องที่เหนือกว่านายอยู่เหมือนกันล่ะน่า!
อันที่จริงแล้วคุณพ่อของซูเจี๋ยนนั้นมีความสามารถในการทำอาหารสูง ซูเจี๋ยนเองก็ค่อยๆ ซึมซับเทคนิคจากทางบ้านมาทีละน้อย เรียนรู้ไปเรื่อยๆ จนทำอาหารเป็นได้เอง ยิ่งหลังจากเรียนจบและเริ่มทำงาน เขาต้องออกมาใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวไกลบ้าน ทั้งยังไม่มีแฟน ดังนั้นสกิลการทำอาหารก็เลยยิ่งพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างก้าวกระโดด ภายใต้แรงกดดันจากชีวิตอันทรหดเช่นนี้เอง จากเด็กเนิร์ดขี้แพ้ก็ได้พัฒนาเป็นเด็กเนิร์ดขี้แพ้ที่ทำอาหารเก่งมาก
ซูเจี๋ยนแสร้งเอ่ยถามขึ้นคล้ายไม่ใส่ใจ : “ก่อนหน้านี้ฝีมือทำอาหารของฉันเป็นยังไงบ้าง”
อันอี่เจ๋อ : “ก่อนหน้านี้ฝีมือทำอาหารของเธอก็ไม่เลวเลย” ชายหนุ่มหยุดไปครู่หนึ่ง : “แต่ตอนนี้ยิ่งดีขึ้นกว่าเดิม”
ซูเจี๋ยนเพียงแย้มยิ้มเต็มใบหน้า ทั้งที่ตามจริง ในใจนั้นเริงร่าจนลอยขึ้นฟ้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม พอนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ก็ต้องเย็นเยียบไปทั้งร่าง ตัวเองบอกว่าสูญเสียความทรงจำ แต่ฝีมือการทำอาหารกลับโดดเด่นขึ้นกว่าเดิม นี่มันจะดูย้อนแย้งเกินไปแล้ว! ต้องรีบหาข้ออ้างมากลบเกลื่อน!
ซูเจี๋ยนหาข้อแก้ตัวได้อย่างรวดเร็ว : “แหะๆ คงเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่ค่อยชอบคุณน่ะสิ อาหารที่ฉันทำออกมาก็เลยดีไม่เท่าตอนนี้!” เมื่อก่อนนายมันก็แค่ไอ้เจ้าศัตรูหัวใจน่ารังเกียจคนหนึ่ง ฉันจะทำอาหารให้นายไปทำไม นี่แหละคือเหตุผลที่เมื่อวานนายได้กินแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น วันนี้ยังเห็นว่านายมีรสนิยมดีถึงได้เลือกชอบไอดอลคนเดียวกันกับฉัน เพราะงี้หรอกนะฉันถึงเห็นนายสบายตาขึ้นมาบ้าง! เฮอะ!
อันอี่เจ๋อตะลึงงัน จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดปากกล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้า : “หมายความว่า ตอนนี้เธอ….ชอบฉันแล้ว?”
ซูเจี๋ยนเพิ่งตักน้ำแกงเข้าปากไปคำหนึ่ง พอได้ยินคำนี้ ก็พ่นทุกอย่างที่อยู่ปากออกมาดัง ‘พรู่ดดด’
ตรงหน้าย่อมเป็นถ้วยข้าวและใบหน้าหล่อเหลาของอันอี่เจ๋อที่ถูกน้ำแกงพ่นใส่เสียจนเปียกชุ่ม : “……”
เชิงอรรถ
[1] ท่านเทพบา (巴神) คือคำที่ชาวเน็ตในจีนใช้เรียก มาริโอ้ บาโลเตลลี (Mario Balotelli)