จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ - ตอนที่ 26
Ch.15 – ตอนที่ 26 ประธานอันที่ปกติกินข้าวได้สามถ้วยใหญ่ วันนี้กลับกินเข้าไปแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น (1/1)
Translator : Akanirawan / Author
ตอนที่ 26ประธานอันที่ปกติกินข้าวได้สามถ้วยใหญ่ วันนี้กลับกินเข้าไปแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น (1/1)
มองเห็นอันอี่เจ๋อที่อยู่ตรงหน้าประตู ซูเจี๋ยนก็รู้สึกคับแค้นใจมาก : อันอี่เจ๋อ นายนี่มันมารร้ายศัตรูหัวใจของฉันจริงๆ! พอฉันได้มีโอกาสอยู่กับผู้หญิงสวยๆ ให้ชุ่มฉ่ำหัวใจทีไร นายมันเป็นต้องมาทำลายซะทุกครั้ง!
อันอี่เจ๋อเห็นซูเจี๋ยนถลึงตามองมาที่เขาอย่างเป็นเดือดเป็นแค้นโดยไร้ต้นสายปลายเหตุแล้วก็ได้แต่สับสนงุนงง : “เป็นอะไรไป” พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้ว น้ำเสียงของชายหนุ่มก็กลายเป็นอ่อนโยนลงมาก : “ยังปวดท้องอยู่อีกเหรอ”
ซูเจี๋ยนคิดในหัวอย่างดุดัน : ป๊ะป๋าคนนี้กำลังปวดตับต่างหากล่ะว้อย!
เหยียนจื่อเวยเดินออกจากห้องน้ำมาพอดี อันอี่เจ๋ออึ้งงันไปแวบหนึ่งก่อนคิ้วเข้มจะค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน : “วันนี้มีแขกมาบ้านด้วย?”
ซูเจี๋ยนพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ กล่าวแนะนำตัวให้อย่างไม่เต็มใจ : “อืม นี่เพื่อนสนิทฉันเอง เหยียนจื่อเวย เพราะได้ยินเรื่องที่ฉันประสบอุบัติเหตุ ก็เลยมาเยี่ยมน่ะ”
เหยียนจื่อเวยยื่นมือออกไปอย่างสง่างามเป็นธรรมชาติ แย้มยิ้มกล่าวคำ : “คุณชายอัน ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้วค่ะ ฉันเป็นเพื่อนสนิทของเสี่ยวเจี๋ยน เรื่องของเสี่ยวเจี๋ยนก็คงต้องรบกวนให้คุณช่วยดูแลให้แล้ว”
อันอี่เจ๋อกล่าวตอบเรียบๆ ตามมารยาท : “เจี๋ยนเจี่ยนเป็นภรรยาของฉัน การดูแลเธอย่อมเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว”
ซูเจี๋ยนถลึงตาจ้องมองตำแหน่งที่มือทั้งสองคนสัมผัสกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แกล้งขยับเข้าไปจับมืออันอี่เจ๋อดึงออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ หันไปส่งยิ้มกว้างสว่างไสวให้เหยียนจื่อเวย : “จื่อเวย เราไปกินข้าวกันเถอะ!”
อันอี่เจ๋อพลิกมือกลับเป็นฝ่ายจับมือเรียวบางของซูเจี๋ยนเอาไว้ พาเดินตรงไปที่โต๊ะอาหาร
ซูเจี๋ยนรู้สึกผิดคาด : “เอ๊ะ นี่คุณยังไม่ได้ทานมื้อเย็นหรอกเหรอ”
อันอี่เจ๋อผงกศีรษะ ประคองซูเจี๋ยนขึ้นมา จัดแจงให้นั่งข้างกายตัวเอง จากนั้นก็ส่งถ้วยกับตะเกียบมาให้ อีกทั้งยังตักน้ำแกงให้จนเต็มอย่างเอาใจใส่ ด้วยบุคลิกมารยาทที่ถูกฝึกฝนมานานปี การเคลื่อนไหวของเขาจึงดูเหมาะเจาะชวนมองไปหมด ไม่มีติดขัดเลยแม้แต่น้อย
“ทานให้มากหน่อยเถอะ ฉันรู้ว่าพอเธออยู่บ้านคนเดียวแล้วไม่เคยยอมทานอาหารให้ดีๆ เลย”
“ฉันทำแบบนั้นที่ไหน!”
“ฉันเห็นห่อเกี๊ยวสำเร็จรูปแช่แข็งที่เธอทิ้งไว้ในถังขยะ”
“เกี๊ยวแช่แข็งแล้วมันทำไมล่ะ คุณอย่ามาว่าเกี๊ยวแช่แข็งแบบนั้นนะ!”
“ตอนนี้เธอต้องแบกรับอาการบาดเจ็บทั้งภายในภายนอก จะเอาแต่กินของพวกนั้นได้ยังไง”
“ฉันบาดเจ็บภายในที่ไหนกัน”
“ก็เลือดไหลจากข้างในนั่นไง”
“……”
“ถ้าเธอไม่อยากทำเองก็ไม่เป็นไร ฉันจะสั่งจากร้านอาหารข้างนอกเข้ามาให้”
“ไม่เอาล่ะ สั่งแต่อาหารข้างนอก เบื่อจะแย่แล้ว”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ถึงยังไงเธอก็ห้ามทานอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งพวกนั้นอีก พวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ด้วย”
“ทำไมคุณถึงชอบมาเจ้ากี้เจ้าการสั่งนั่นสั่งนี่!”
“ก็เธอเป็นภรรยาของฉัน”
สองคนทางนี้ต่อปากต่อคำกันไม่หยุด เหยียนจื่อเวยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มองมาอย่างสนอกสนใจไม่ลดละเช่นกัน
เถียงกันจบแล้ว ซูเจี๋ยนถึงเพิ่งสังเกตเห็นเหยียนจื่อเวยที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชมดูอยู่อีกด้าน พลันรู้สึกว่าเพราะอันอี่เจ๋อ ภาพลักษณ์สง่างามของตัวเองในสายตาเทพธิดาคงถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีแล้ว จึงรู้สึกทั้งขุ่นแค้นทั้งเศร้าสลดอย่างสุดจะบรรยาย
ยามนี้จึงใช้ถ้วยข้าวเป็นตัวแทนอันอี่เจ๋อ จิ้มตะเกียบระบายความเกลียดชังใส่มัน ทันใดนั้น ก็มีตะเกียบคู่หนึ่งคีบเนื้อปลาสีขาวสะอาดหนึ่งชิ้นมาใส่ให้ในถ้วย
ขณะตวัดสายตาขึ้นมองด้วยความตกใจ ก็ได้ยินอันอี่เจ๋อกล่าวขึ้น : “เลือกก้างออกให้หมดแล้ว ไม่มีตำคออีกแน่”
ป๊ะป๋าแค่ถูกก้างปลาตำคอไปรอบเดียวเองเหอะ นายจงใจทำลายภาพลักษณ์ฉันต่อหน้าเทพธิดาสินะ! เจ้าคนแซ่อัน นายอย่าได้ล้ำเส้นกันเกินไปนัก! ซูเจี๋ยนกราดเกรี้ยวอย่างที่สุด : “อ้ำ ง่ำๆ” มือก็คีบเนื้อปลาชิ้นโตที่อันอี่เจ๋อแกะมาให้ส่งเข้าปากไปในคำเดียว เคี้ยวอย่างดุเดือด
ถึงตอนนี้อันอี่เจ๋อจึงเริ่มลงมือทาน ทว่ากินไปไม่ถึงสองคำก็พลันหยุดชะงักลง ถามขึ้นอย่างลังเล : “มื้อนี้ไม่ใช่ฝีมือเธอทำหรอกเหรอ”
ก็ต้องไม่ใช่ฉันทำแหงอยู่แล้ว นี่น่ะเทพธิดาตั้งใจลงครัวทำให้ฉันด้วยตัวเองเลยนะ! เห็นชัดๆ ว่าฉันกับเทพธิดากำลังมีความสุขกันสองต่อสอง นายจะกลับบ้านมาเป็นมารคอหอยฉันทำไมก็ไม่รู้! ซูเจี๋ยนกราดเกรี้ยวเดือดดาลอย่างมาก
ในดวงตาของเหยียนจื่อเวยที่จ้องมองอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นมีความประหลาดใจวาบผ่าน แววตาก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นสนใจอยู่บ้าง : “คุณชายอัน เป็นฝีมือฉันเอง”
อันอี่เจ๋อไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก ลงมือรับประทานอย่างสง่างามต่อไป เพียงแต่หลังจากนั้น ซูเจี๋ยนก็สังเกตเห็นได้ว่า ประธานอันที่ปกติกินข้าวได้สามถ้วยใหญ่ วันนี้กลับกินเข้าไปแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น
แต่ตอนนี้ซูเจี๋ยนย่อมไม่มีอารมณ์จะไปใส่ใจอันอี่เจ๋อ ความสนใจทั้งหมดของเขาล้วนอยู่ที่เทพธิดาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดังนั้นจึงเอาแต่คีบอาหารในจานให้ เหยียนจื่อเวยครั้งแล้วครั้งเล่า
“จื่อเวย กินเยอะๆ หน่อยสิ!”
“จื่อเวย มา ลองชิมนี่ดูเถอะ!”
ไอ๊ย์! ชื่อจื่อเวยนี่ช่างไพเราะเพราะพริ้งเสียจริงๆ เรียกไปก็รู้สึกเหมือนตนเองได้กลายเป็นเอ๋อร์คังเลย![1]
เหยียนจื่อเวยยิ้มกว้างเต็มใบหน้า รับอาหารแต่ละจานที่อีกฝ่ายส่งมาให้แต่โดยดี ทว่าพอเหลือบตาไปเห็นสีหน้าแข็งทื่อของอันอี่เจ๋อแล้วก็รีบกล่าว : “เสี่ยวเจี๋ยน เธอไม่ต้องมาคอยเอาใจฉันแล้ว เธอไปดูแลคุณชายอันให้ดีเถอะ”
ซูเจี๋ยนชำเลืองมองอันอี่เจ๋อแวบหนึ่ง เห็นอันอี่เจ๋อมีสีหน้าแข็งค้างทื่อด้าน ทั้งยังจ้องมองมาที่ตนอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็ต้องอึ้งงันไปทันที นั่นก็ถูกแล้ว ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนมีข้อตกลงกันไว้หรอกหรือ ว่าต่อหน้าคนนอกจะต้องแสดงอาการรักใคร่หวานซึ้งต่อกันออกมา ถึงแม้เหยียนจื่อเวยจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าทั้งสองแต่งงานกันปลอมๆ เท่านั้น แต่ตามข้อตกลงแล้ว เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังนี้ไม่อาจรั่วไหลออกไปได้ จากสภาพที่เห็น ชัดเจนว่าสาวน้อยซูเจี๋ยนคนก่อนกลับแอบบอกให้เธอรู้อย่างลับๆ หากอันอี่เจ๋อมาจับพิรุธได้ว่าตนแอบละเมิดข้อตกลงในตอนนี้ ย่อมไม่มีผลลัพธ์ที่ดีแน่นอน ฉะนั้น ยังคงเสแสร้งว่าเหยียนจื่อเวยไม่รู้เรื่องราวข้อเท็จจริงในการแต่งงานของทั้งสอง แล้วก็แสดงออกถึงความ ‘รักใคร่ดูดดื่ม’ ต่อหน้าเธอไปตามสมควรจะดีกว่า! เจ้าอันอี่เจ๋อหน้าซังกะตายนั่น เอาแต่จ้องเขม็งมาที่ตนก็คงเพราะอยากให้ทำแบบนี้เช่นกัน!
คิดได้แบบนี้แล้ว ซูเจี๋ยนก็ยื่นตะเกียบไปคีบก้านกุยช่ายมากองโต โยนโปะใส่ให้ในถ้วยของอันอี่เจ๋อแบบลวกๆ ฉีกยิ้มเอ่ยคำ : “มาๆ กินให้เยอะหน่อยเถอะ! กินเจ้านี่แล้วดีต่อร่างกายนะ!”
เหยียนจื่อเวยที่นั่งอยู่อีกด้านก็แย้มยิ้มกว้าง กล่าวสำทับ : “ใช่เลย ได้ยินมาว่าผักกุยช่ายนี่มีคุณสมบัติเสริมพลังหยางในไตได้ดีเยี่ยม!”[2]
ซูเจี๋ยน : “……”
……………………………….
ทานอาหารกันเสร็จแล้ว อันอี่เจ๋อก็ถูกซูเจี๋ยนขับไล่ไปรับหน้าที่เก็บล้างถ้วยชามอีกครั้ง เหตุผลก็ง่ายดาย เพราะย่อมไม่อาจให้แขกที่มาบ้านล้างจานให้ตัวเอง อีกทั้งยังไม่อาจให้คนสังขารไม่ดีไปทำหน้าที่นี้ด้วย
จากนั้น ตัวเองก็จูงมือเหยียนจื่อเวยเข้าห้องไปพูดคุยแบบส่วนตัว
ได้เห็นเทพธิดามานั่งอยู่บนเตียงตัวเองแบบนี้ ซูเจี๋ยนรู้สึกเปี่ยมสุขไปทั้งกายใจ
เหยียนจื่อเวยแย้มยิ้มเต็มใบหน้า ขณะมองดูซูเจี๋ยน : “ดูแล้วอันอี่เจ๋อก็ดีต่อเธอมากนี่นา”
“นั่นก็เพราะเธออยู่ที่นี่ด้วยน่ะสิ พวกเราน่ะมีข้อตกลงกันไว้ ต่อหน้าคนนอก ต้องคอยจู๋จี๋ดู๋ดี๋แสดงความรักต่อกัน เขาไม่รู้หรอกว่าเธอรู้เรื่องการแต่งงานปลอมๆ นี่อยู่ก่อนแล้ว”
“ฉันจะเหยียบเรื่องนี้ให้มิดเลย ไม่ให้เขารู้แน่นอน” เหยียนจื่อเวยขยิบตาให้ซูเจี๋ยนอย่างร่าเริง : “ยังไงก็เถอะ วันนี้ทำให้ฉันได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ”
“หือ?”
“กลายเป็นว่า ท่านประธานอันก็อยู่บ้านล้างจานเหมือนคนปกติได้ด้วยแฮะ”
“เขาน่ะ น้ำตาลกับเกลือยังแยกแยะไม่เป็นด้วยซ้ำ ยังจะทำอะไรได้อีก? ก็เหลือให้ทำอย่างเดียวแค่เรื่องล้างจานนั่นแหละ”
เหยียนจื่อเวยยกมุมปากยิ้มน้อยๆ : “ตอนนี้ดูไปแล้ว อันอี่เจ๋อก็ไม่เลวเลยจริงๆ”
ซูเจี๋ยนใจหายวูบ เวรเถอะ! ลำบากยากเย็นขนาดไหนกว่าฉันจะหาผู้หญิงที่พูดคุยสนิทสนมถูกคอกันได้ อันอี่เจ๋อ นายก็ยังมายื้อแย่งช่วงชิงกับฉันอีก ฉันกับนายนี่มันอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้วจริงๆ!
ซูเจี๋ยนรีบกล่าวเสริมอย่างร้อนรน : “อันที่จริง เขาน่ะ นอกจากบุคลิกหน้าตาภายนอกที่ไว้หลอกลวงผู้คนแล้ว อย่างอื่นก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย เธออย่าไปหลงใหลได้ปลื้มเขาเชียวนะ!”
เหยียนจื่อเวยงงงัน : “ฉันจะไปหลงใหลได้ปลื้มเขาทำไม”
ซูเจี๋ยนได้ยินแล้วก็ตื่นเต้นดีใจอย่างมาก
จากนั้นก็ได้ยินเหยียนจื่อเวยกล่าวต่อ : “ฉันว่านะ เสี่ยวเจี๋ยน ไม่สู้เธอลองคิดหาทางดู จับเขาให้อยู่หมัด มัดเขาให้เป็นของเธอ เปลี่ยนจากแต่งปลอมเป็นแต่งจริงไปเลยเป็นไง”
ซูเจี๋ยนแอบสำลักน้ำลายตัวเอง
เหยียนจื่อเวยยังพูดเรื่องที่คิดอยู่ในใจต่อไปแบบไม่สนใจสิ่งอื่น : “จะว่าไปแล้ว ชื่อเสียงของอันอี่เจ๋อในสายตาคนทั่วไปนี่ก็ยอดเยี่ยม ไม่เคยมีข่าวอื้อฉาวเสียหายเรื่องผู้หญิงอะไรแบบนั้นเลยนะ”
ซูเจี๋ยนโต้เถียงเสียงเบาหวิว : “ไม่มีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิง ก็ยังมีความเป็นไปได้เรื่องชายรักชายอยู่นี่นา”
เหยียนจื่อเวยอึ้งงันไป ยกนิ้วมือมาลูบไล้ปลายคาง : “นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อันอี่เจ๋อคนนี้ ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะครอบครัว กำลังความสามารถ ทุกด้านล้วนเพียบพร้อมกว่าคนอื่น เรียกได้ว่าต่อให้กว้านเอาพวกคุณชายชั้นเลิศมากองสุมรวมกัน เขาก็ยังโดดเด่นเหนือชั้นกว่าใครๆ แต่เรื่องที่ว่าจะเป็นเกย์รึเปล่านี่ก็….” เหยียนจื่อเวยปรายตามองซูเจี๋ยนยิ้มๆ อย่างมีลับลมคมใน : “เสี่ยวเจี๋ยน เธอก็อยู่กับเขามาเดือนกว่าแล้วนี่ ยังบอกไม่ได้อีกรึไง?”
ซูเจี๋ยนเบิกตากลมกว้าง : “ฉันจะไปบอกอะไรได้”
เหยียนจื่อเวยบิดมุมปากยิ้มร้ายๆ หลิ่วตา : “ก็เช่นว่า เขาเคย….ตื่นตัวกับเธอบ้างรึเปล่าล่ะ”
ซูเจี๋ยนได้ฟังแล้วก็รู้สึกเย็นวูบขนลุกขนพองไปทั้งร่าง ละล่ำละลักตอบ : “ไม่เค๊ย! ไม่เคยแน่นอน!”
เหยียนจื่อเวยรู้สึกผิดหวังอยู่หน่อยๆ แต่จากนั้นก็พูดเสริมขึ้นทันที : “งั้นเอางี้ดีกว่า เดี๋ยววันไหนเธอลองแต่งตัววับๆ แวมๆ พยายามยั่วเขาดูซักครั้งเป็นไง”
ซูเจี๋ยนตาค้าง วิญญาณแทบหลุดจากร่าง : “…..นึกภาพไม่ออก” ให้ไปยั่วยวนศัตรูหัวใจตัวฉกาจของตนเอง แค่คิด ซูเจี๋ยนก็รู้สึกว่ามุมมองต่อชีวิตพลิกคว่ำกลับตาลปัตรไปหมดแล้ว
“มีอะไรนึกไม่ออกกันล่ะ” เหยียนจื่อเวยยิ้มหวาน กวาดตามองเพื่อนสาวขึ้นๆ ลงๆ หัวจรดเท้า แล้วก็ยื่นอุ้งมือมาประคองทรวงอกอิ่มเต็มของคนตรงหน้าขึ้นอย่างชื่นชม : “ฉันว่า อันอี่เจ๋อน่าจะชอบแบบเธอนี่ล่ะ”
พอรู้สึกตัวว่าเพิ่งถูกเทพธิดาลวนลามเข้าให้แล้ว ใบหน้าของซูเจี๋ยนก็กลายเป็นแดงก่ำ หลุดเสียงตะกุกตะกักไม่เป็นภาษาออกมา : “ฉะ ฉัน…..”
เห็นอีกฝ่ายเขินอาย เหยียนจื่อเวยก็หยอกล้อหญิงสาวต่อ : “เธอทำไม? เธอเองก็ชอบแบบเขาไม่ใช่รึไง”
“ไม่!” ฉันชอบแบบเธอมากกว่านะ คุณเทพธิดา!
“ไม่เหรอ?” เหยียนจื่อเวยมองดูสีหน้าท่าทางของเพื่อนสาวอย่างพินิจพิจารณา รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหาย : “เสี่ยวเจี๋ยน คงไม่ใช่ว่าเธอยังคิดถึงเจ้าลู่เฉิงเหอนั่นอยู่นะ”
“ลู่เฉิงเหอ? ใครกันล่ะนั่น”
หลังจากเหยียนจื่อเวยเหม่อมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มกว้างขวางเต็มใบหน้า : “จริงสิ ฉันลืมไป เธอเสียความทรงจำไปนี่นา งั้นก็ช่างมันเถอะ แค่คนไม่สลักลำคัญอะไร เธอจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] เอ๋อร์คัง (尔康) เป็นพระเอกคนหนึ่งของเรื่ององค์หญิงกำมะลอ มีวรยุทธ์สูงส่ง หล่อเหลาเก่งกาจ ส่วนจื่อเวยเป็นนางเอกที่คู่กับเอ๋อร์คัง
[2] เสริมพลังหยางในไต ความหมายโดยนัยคือช่วยบำรุงส่งเสริมเรื่องสมรรถภาพทางเพศ
—————————–
แฟนเพจ ‘Akanirawan’ https://bit.ly/3gBu94T