จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ - ตอนที่ 3-4
Ch.2 – ตอนที่ 3-4 ที่เลวร้ายยิ่งกว่าถูกศัตรูหัวใจแย่งแฟน ก็คือต้องมากลายร่างเป็นแฟนมันเสียเอง
Translator : Akanirawan / Author
ตอนที่ 3 ที่เลวร้ายยิ่งกว่าถูกศัตรูหัวใจแย่งแฟน ก็คือต้องมากลายร่างเป็นแฟนมันเสียเอง (1/2)
อันอี่เจ๋อ : เพศชาย
รายละเอียด : สูง หล่อ รวย
รายละเอียดเพิ่มเติม : ซูเจี๋ยนจงเกลียดจงชังไอ้คนจำพวกสูง หล่อ รวยแบบนี้ที่สุด
ความเกลียดชังที่ซูเจี๋ยนมีต่ออันอี่เจ๋อนั้น ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังศึกษาในมหาวิทยาลัยกันอยู่
ในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยยอดนิยมที่อยู่ในรายชื่อหนึ่งในสามอันดับแรกของประเทศ มหาวิทยาลัย S ย่อมทำให้ผู้คนต้องแหงนหน้ามองด้วยความชื่นชมอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่า เนื่องเพราะสถานะที่ได้ติดอยู่ในสามอันดับแรกของประเทศในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นี่ด้วยเช่นกัน มหาวิทยาลัย S แห่งนี้จึงได้ทำให้บรรดานิสิตนักศึกษาชายทั้งหลายต้องตกอยู่ในสภาพหดหู่ห่อเหี่ยว ซูเจี๋ยนเองย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาก็เป็นเพียงนักศึกษาปริญญาตรีแสนธรรมดาคนหนึ่งท่ามกลางคนโดดเด่นมากหน้าหลายตาในมหาวิทยาลัยอันโด่งดังแห่งนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรพิเศษแต่อย่างใด
ตลอดสี่ปีที่อยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น ซูเจี๋ยนเคยชอบผู้หญิงทั้งหมดสามคน
สองคนในนั้น แสดงออกว่าการเอาใจใส่ของเขา จำพวกการส่งร่มให้ในวันฝนตกหรือการส่งอาหารให้ในวันหิมะตกอะไรเทือกๆ นั้นล้วนแต่ทำให้พวกเธอรู้สึกซาบซึ้งตื้นตันใจเอามากๆ แล้วจากนั้นก็ปฏิเสธเขาตรงๆ
“ขอโทษจริงๆ ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
“อ้อ งั้น-งั้นเหรอ….”
มีคนหนึ่งที่สัญญากับเขาว่าจะ ‘ลองคุยๆ กันดู’ แต่แล้วเพียงไม่ถึงสองเดือน ก็บอกเลิกเขาซะงั้น
“ขอโทษนะ แต่เราเลิกกันเถอะ ฉันรู้สึกว่าเราสองคนเข้ากันไม่ค่อยได้เลย”
“อ่า ไม่นี่ ฉันรู้สึกว่าเราเข้ากันได้ดีออก ไม่งั้นก็ลอง….”
“ขอโทษ… ฉันชอบคนอื่นไปแล้วล่ะ”
“……”
หลังจากนั้น ซูเจี๋ยนถึงได้รู้ว่าผู้หญิงสองคนที่ปฏิเสธเขาด้วยประโยค “ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว” แล้วก็หญิงสาวที่บอกเลิกเขาด้วยประโยค “ฉันชอบคนอื่นไปแล้วล่ะ” แล้วก็ตีปีกจากไปทั้งที่เพิ่งจะเริ่มเดทกันได้แปปเดียวนั่น ล้วนแต่เลือกชอบผู้ชายคนเดียวกัน ชื่อของมันคนนั้นก็คือ ‘อันอี่เจ๋อ’ ผู้ชายคนนี้ก็คือศัตรูคู่แค้นของซูเจี๋ยนตั้งแต่ชาติปางก่อน พูดอย่างหยาบคายก็คือว่า ไอ้หนุ่มหน้าขาวสารเลวที่จงใจเพ่งเล็งและขโมยผู้หญิงที่ซูเจี๋ยนชอบไปโดยเฉพาะ ก็คืออันอี่เจ๋อคนนี้เอง
อันที่จริง ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าซูเจี๋ยนจะไม่เคยได้ยินชื่ออันอี่เจ๋อมาก่อน
แม้ว่าจะศึกษาอยู่คนละสาขาวิชากัน แต่เรื่องที่ภาควิชาคณิตศาสตร์มีคนที่โดดเด่นมากอยู่คนหนึ่งชื่อว่าอันอี่เจ๋อนี้ เขาเคยได้ยินมาบ้าง ทั้งยังได้ยินว่าคนๆ นี้เก่งกาจรับมือยาก ยังมีข่าวลือมาอีกว่าฐานะและอิทธิพลทางครอบครัวของเจ้าเด็กนี่ก็ยอดเยี่ยมมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่สลักสำคัญอะไร นอกเสียจากจะยิ่งเป็นการส่งเสริมสกิลล่อลวงหญิงสาวด้วยใบหน้าหล่อเหลานั่นได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดคือเจ้าผู้ชายคนนี้ยังเรียนเก่งจนถึงขั้นได้รับรางวัลอะไรสักอย่าง จากนั้นก็เลยไปเข้าตาท่านศาสตราจารย์ผู้มากประสบการณ์ทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่งเข้า อีกทั้งในงานปาร์ตี้ยามเย็น[1]ก็ยังโชว์ความสามารถออกมาได้อย่างน่าประทับใจ นำพาสาวน้อยคลั่งรักให้ตกหลุมพรางไปเป็นแฟนคลับเขาคนแล้วคนเล่า แถมยังพ่วงด้วยตำแหน่งประธานสโมสรนักศึกษาเข้าไปอีก ต่อให้เขาไม่อยากโด่งดังไม่อยากมีชื่อเสียงก็คงเป็นไปได้ยากมากแล้ว
สาวๆ ในคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง เจ้านี่ไม่เพียงแต่จะล่อลวงหญิงสาวจำนวนมากมายมหาศาลขนาดนั้นให้ตกหลุมรัก ยังลามปามไปถึงเหล่าสาวงามชั้นเลิศในวิทยาลัยศิลปศาสตร์จากบริเวณข้างเคียงโดยรอบทั้งหมด ล้วนแต่ถูกเขาล่อลวงจนหลงใหลได้ปลื้มกันไปทีละคนสองคน ผู้ชายที่เอาแต่ฉกฉวยแย่งชิงทรัพยากรของเพื่อนร่วมชาติไปไม่หยุดหย่อนแบบนี้ ย่อมต้องเป็นศัตรูร่วมอันดับหนึ่งของบรรดานักศึกษาชายทั้งหมด!
ในอดีต ซูเจี๋ยนเพียงแต่ได้ยินกิตติศัพท์อันเลื่องระบือของอีกฝ่าย แล้วก็ได้พบเห็นเขาผ่านๆ ตาครั้งเดียวเท่านั้น ไม่เคยได้มีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงแต่อย่างใด ส่วนตอนนี้ก็….. แน่นอนว่าเขายังไม่เคยได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับอีกฝ่ายสักนิด! ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกที่ว่าตนเองได้เคยถูกศัตรูที่ทรงพลังอย่างยิ่งจัดการเสียจนพ่ายแพ้ราบคาบโดยไม่อาจแม้แต่จะได้แตะถูกอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ความจริงข้อนี้ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกอัปยศอดสูจนเกินไปแล้ว! ตั้งแต่นั้นมา ซูเจี๋ยนเองก็ได้เริ่มสาปแช่งอันอี่เจ๋อไปพร้อมๆ กับเหล่าสหายนักศึกษาชายผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหลาย : ขอให้นายกับผู้หญิงพวกนั้นจงเป็นญาติพี่น้องกัน! เป็นญาติพี่น้องกันให้หมด!
หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้ว ซูเจี๋ยนก็ได้เข้าร่วมเป็น ‘พนักงานไอทีต๊อกต๋อย’ ไปพร้อมๆ กับคนกลุ่มใหญ่อย่างภาคภูมิ รับเอาสมญานาม ‘ลิงกังเขียนโค้ด’[2] มาโดยสมบูรณ์แบบ สำหรับอันอี่เจ๋อนั้น นอกจากเรื่องที่ว่าเขาได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยซึ่งมีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งแล้ว ซูเจี๋ยนก็ไม่รับรู้เรื่องอื่นใดอีก
คนสองคนที่เดิมทีชั่วชีวิตนี้ไม่ควรจะโคจรมาเกี่ยวข้องกันได้เลย ไม่คาดว่าหลังจากต่างฝ่ายต่างจบการศึกษาไปแล้ว กลับได้มาพบเจอกันในสถานการณ์ที่เหมือนกับบทละครเช่นนี้
ซูเจี๋ยนนึกอยากจะฮัมเพลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน: โชคชะตาอ่า! แกนี่ช่างเป็น ‘ม้าลึกลับในตำนาน’ ที่ตัวใหญ่ทรงพลังแบบนี้อยู่เสมอเลยสิน้า! เคราะห์กรรมอ่า! แกเองก็เป็น ‘ม้าลึกลับในตำนาน[3]’ ที่แสนมหัศจรรย์อยู่เสมอเลยจริงจริ๊ง!
……………………………….
ฝ่ายผู้ชายคนนั้นก็กำลังก้าวขาเดินเข้ามาอย่างมั่นคง
ซูเจี๋ยนเองก็จ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เผชิญหน้ากับศัตรูคู่แค้นคู่อาฆาตคนนี้ด้วยความตื่นตัวระแวดระวัง และยังมีความขมขื่นขุ่นเคืองปะปนอยู่
“เป็นอะไรไป” ศัตรูคู่แค้นเก่ากำลังมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนลึกซึ้ง ต่อให้เป็นผู้ชายก็ยังต้องเกิดความรู้สึกชื่นชมต่อน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวลเอาใจใส่ของคนๆ นี้ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ซูเจี๋ยนครุ่นคิดอย่างเคียดแค้น : เจ้าเด็กนี่ใช้น้ำเสียงและแววตาแบบนี้นี่เองมาล่อลวงสาวน้อยพวกนั้น! ถ้าฉันต่อยมันซักหมัดเป็นการแก้แค้นสำหรับความเกลียดชังตลอดหลายปีที่ผ่านมานั่นตอนนี้เลย จะทำให้ฉันสบายใจขึ้นได้บ้างรึเปล่านะ
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบ อันอี่เจ๋อก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย : “เจี๋ยนเจี่ยน?”
ซูเจี๋ยนพลันตัวสั่นสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง เจี๋ยนเจี่ยน? เรียกแบบนี้มันแบ๊วเกินไปแล้ว! ความรู้สึกสยิวกิ้วจนขนแขนพากันตอบสนองด้วยการลุกพรึ่บพั่บตั้งแต่ข้อศอกลามไปยันนิ้วหัวแม่เท้านี่มันคืออะไรน่ะเหรอ? มันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่คุณต้องมาได้ยินชื่อเล่นน่ารักๆ ในวัยเด็กที่แม่ชอบเรียกถูกเรียกออกมาจากปากศัตรูหัวใจอย่างกะทันหันน่ะสิ!
ซูเจี๋ยนตวาดตอบอย่างกราดเกรี้ยว: “ฉันไม่ใช่เจี๋ยนเจี่ยนของคุณ!”
“งั้นเธอเป็นใคร”
“ฉัน….”
เชิงอรรถ
[1] ปาร์ตี้ยามเย็น เป็นงานปาร์ตี้ที่นักศึกษาจัดขึ้นกันเอง มักจะมีเวทีกิจกรรมบางอย่าง มหาวิทยาลัยจีนมักจะจัดงานปาร์ตี้แบบนี้ขึ้นมาบ่อยๆ คล้ายงานบอลหรืองานประกวดดาวเดือนจากแต่ละคณะของมหาวิทยาลัยในไทยอะไรเทือกๆ นั้น
[2] ลิงกังเขียนโค้ด เป็นศัพท์แสลง ใช้เรียกโปรแกรมเมอร์ที่ก้มหน้าก้มตาทำงานงกๆ แต่ได้เงินเดือนน้อยนิด
[3] ม้าลึกลับในตำนาน ม้าในที่นี้ก็คือคำว่าม้า (马) ตัวเดียวกับในคำว่า ‘เช่าหนี่มา’ (草泥马 / 肏你妈)
ตอนที่ 4 ที่เลวร้ายยิ่งกว่าถูกศัตรูหัวใจแย่งแฟน ก็คือต้องมากลายร่างเป็นแฟนมันเสียเอง (2/2)
เดิมทีเขาก็คิดจะตอบกลับไปว่า ‘ฉันคือซูเจี๋ยนอีกคน’ แต่พอจะอ้าปากพูด ก็พลันตระหนักถึงสถานการณ์ของตัวเองตอนนี้ขึ้นมาได้ เวรเถอะ เกือบลืมไปแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพหญิงสาวผมยาวหน้าอกตู้มคนหนึ่ง ต่อให้แท้จริงแล้วตัวเขาเองจะประสบอุบัติเหตุ กลับมาเกิดใหม่กลายเป็นผู้หญิง เรื่องจริงเหล่านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเปิดเผยให้ชาวบ้านรับรู้กันทั่วไปได้สักหน่อย ใต้ร่มเงาอันสูงส่งของลัทธิมาร์กซิส-เลนิน ยังมีแนวคิดของท่านประธานเหมาและหลักการของเติ้งเสี่ยวผิง ทั้งสามอย่างนี้รวมกันแถมตบท้ายด้วยเรื่องตรรกะเหตุผลตามแบบวิทยาศาสตร์ของยุคสมัยที่พัฒนาแล้วเข้าไปอีก ทฤษฎีวิทยาศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 21 ที่น่ารังเกียจนี่ได้ปฏิเสธการคงอยู่ของไสยศาสตร์ภูตผีทั้งมวลอย่างเด็ดขาดสุดๆ เรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นได้ก็แต่ในโลกนิยายแฟนตาซีผีสางของเด็กสาวไร้เดียงสาบนหน้าเว็บเทียนหยาเหลียนเผิงกุ่ยฮว่า [4] เท่านั้นแหละ พูดออกไปจะมีใครเชื่อถือ?
หรือต่อให้มีใครเชื่อเป็นตุเป็นตะเข้าจริงๆ หลังจากคนพวกนั้นพบว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง แต่กลับฟื้นขึ้นมากลายเป็นหญิงสาวอีกคนหนึ่ง คนพวกนั้นจะมองเขายังไง? ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือเขาถูกจับไปขังไว้ในกรงเหมือนอยู่ในสวนสัตว์ที่ไหนสักแห่ง ได้รับกล้วยเลี้ยงดูประทังชีวิตไปวันๆ สร้างความสนุกสนานตื่นเต้นให้ผู้คน หรือไม่แน่ว่าเขาอาจจะถูกจับไปกักขังไว้ในห้องทดลอง เสียสละตัวเองเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์โดยการถูกสังเวยไปอยู่บนเตียงผ่าตัด! หรือบางทีเขาอาจจะได้ไปอยู่ในรายการโชว์งมงายลวงโลกสักตอนหนึ่งเช่นรายการ《เจาะลึกวิทยาศาสตร์》ในช่องของสาธารณรัฐ : ‘ฟื้นตื่นขึ้นมาจากอุบัติเหตุรถชน พบว่าตัวเองตายไปแล้วและได้มาเกิดใหม่ น่าทึ่งยิ่งกว่าคือจากที่เป็นชายกลับกลายเป็นผู้หญิงไปทั้งตัว! นี่คือการวิวัฒนาการตามธรรมชาติหรือว่าเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติกันแน่? รายการ《เจาะลึกวิทยาศาสตร์》ของเราจะแถลงไขปริศนานี้ให้คุณเอง—แท้จริงแล้วเมื่อยี่สิบเก้าปีก่อนนั้น คุณแม่ซูได้ให้กำเนิดเด็กหญิงสติไม่ดีคนหนึ่ง!’
ดูเหมือนจะเหลือทางเลือกเดียวแล้ว นั่นก็คือ ‘ความจำเสื่อม’
ซูเจี๋ยนแค่นเสียง: “ฉันจำได้ที่ไหนกันล่ะ”
อันอี่เจ๋อจ้องมองเขาแน่วนิ่ง: “งั้นเธอรู้จักฉันรึเปล่า”
ไม่รู้จักได้เหรอ? หน้าตานายก็ไม่ได้เปลี่ยนไปซักนิด ฉันยังจะจำไม่ได้ได้ยังไง ไอ้ผู้ชายที่ทำให้สี่ปีในรั้วมหา’ลัยของฉันเป็นได้แค่นักศึกษาปริญญาตรีโสดสนิทเหี่ยวแห้งคนหนึ่ง แถมหลังเรียนจบมาแล้วก็ยังตามมาหลอกหลอนไม่เลิกรา…. คนที่เคยเป็นศัตรูหัวใจ ตัวหายนะอันดับหนึ่งแบบนี้ ฉันจะไม่รู้จักนายได้ยังไง?
ซูเจี๋ยนถลึงตากลมกว้างใส่เขาอีกครั้ง “ฉันจะไปรู้จักได้ยังไง!”
“ฉันคืออันอี่เจ๋อ”
ฉันรู้อยู่แล้วว่านายมันคืออันอี่เจ๋อ! ตัวอักษรสามพยางค์นี่แค่ได้ยินก็ชวนให้โมโหทุกครั้งนั่นแหละ!
“เธอก็คือซูเจี๋ยน”
หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ! ป๊ะป๋าคนนี้ไม่ใช่ซูเจี๋ยน! เอ่อไม่สิ ป๊ะป๋าก็คือซูเจี๋ยนนั่นแหละ แต่ไม่ใช่ซูเจี๋ยนบ้านแกว้อยย! ป๊ะป๋าคนนี้เดินไม่เปลี่ยนชื่อนั่งไม่เปลี่ยนแซ่ ชื่อหลักก็คือซูเจี๋ยน ชื่อเล่นวัยเด็กก็คือ ‘เสี่ยวเจี๋ยนเจี่ยน’ (เจี๋ยนเจี่ยนน้อย) คนในเรียกฉันว่า ‘เป๋าต้าน’ (ไข่ล้ำค่า) ส่วนคนนอกเรียกฉันว่า ‘ต้าเอ๋อร์ตัวถูถู’! (ถูถูใบหูใหญ่)
“ถ้าเธอลืมไปแล้วจริงๆ งั้นฉันจะเป็นคนบอกเธอเอง ฉันก็คือสามีของเธอ”
“อ๊ะ–”
จู่ๆ ซูเจี๋ยนก็รู้สึกว่าไม่อาจทนข่มกลั้นต่อไปได้อีก ทันใดนั้น ความตื่นตระหนกกราดเกรี้ยวขุ่นแค้นทั้งหมดทั้งมวลหลังจากได้ฟื้นขึ้นมาในร่างใหม่ก็พลันระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน เป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น
“อ๊ะ–อั๊ดชิ้วววว!!”
การจามของซูเจี๋ยนครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและกึกก้องอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่อันอี่เจ๋อที่อึ้งงันตาค้างไป แม้แต่คุณหมอที่ถูกพยาบาลคนนั้นเรียกมาและเพิ่งเปิดประตูเข้ามาถึงก็ชะงักค้างไปทั้งร่างเช่นกัน
อันอี่เจ๋อค่อยๆ หันไปมองคุณหมอ กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม “คุณหมอ ภรรยาฉันดูเหมือนจะหลงลืมเรื่องราวไปหมดแล้ว”
ซูเจี๋ยนลอบเย้ยหยันอยู่ในใจ: เฮอะ ป๊ะป๋าคนนี้ไม่เคยลืมซักเรื่องเดียว! อย่าได้หวังว่าป๊ะป๋าคนนี้จะลืมว่าแกหยามเกียรติทารุณทำร้ายฉันไว้ยังไงบ้าง! ตอนนี้ป๊ะป๋าก็แค่ต้องกล้ำกลืนความแค้นไว้ก่อนเพื่อรอทำการใหญ่ในวันข้างหน้า รอจนมีโอกาสได้แก้เผ็ดก่อนเถอะ จะแย่งสาวของแกมา จะล้างอายให้หมด —— เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ตอนนี้ด้วยตัวตนที่ป๊ะป๋าเข้ามาสิงอยู่….ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการขโมยเมียของเจ้าอันอี่เจ๋อมาแล้วหรอกเหรอ? การล้างอายครั้งนี้นับว่ามาได้เหมาะเจาะจริงๆ วะฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า!…..เอ่อ เดี๋ยว! เวร ไม่ใช่ละ! แย่งแฟนมันมาก็เป็นเรื่องนึง แต่กลายเป็นแฟนมันซะเองแบบนี้นี่คนละเรื่องกันเลยนี่หว่า! นี่มันสุดยอดของความขายขี้หน้าชัดๆ! อ๊ากก! คว่ำโต๊ะแม่ม! (╯°□°)╯︵ ┻━┻
คุณหมอทำการตรวจสอบข้อมูลของซูเจี๋ยนอย่างละเอียด เขาไม่ได้พบอาการผิดปกติแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม คุณหมอได้เห็นแล้วว่าสีหน้าของซูเจี๋ยนนั้นแปรเปลี่ยนสลับไปมาระหว่างลิงโลดยินดีกับขุ่นแค้นโศกสลด ดูแล้วแปลกประหลาดพิลึกอย่างมาก ดังนั้นคุณหมอจึงเกิดอาการลังเลขึ้นมาทันที
“คุณผู้ชายอัน ผลการตรวจระบุว่าร่างกายของคุณผู้หญิงอันไม่มีอะไรผิดปกติครับ”
“แล้วทำไมเธอถึงจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของตัวเอง”
“คุณผู้หญิงอันตกอยู่ในสภาวะหมดสติมาหลายวัน อาจเป็นไปได้ว่าที่ศีรษะถูกกระทบกระเทือนเข้าจากอุบัติเหตุรถชน จึงกลายเป็นสูญเสียความทรงจำชั่วคราว อีกเดี๋ยวผมจะจัดให้คุณผู้หญิงอันเข้ารับการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที คุณผู้ชายอันวางใจได้เลยครับ”
เห็นทั้งคุณหมอคุณพยาบาลพากันเดินออกไป ทิ้งเขากับอันอี่เจ๋อไว้เพียงลำพังในห้องพิเศษ ซูเจี๋ยนได้แต่ขบคิดในสมองอย่างเร่งรีบ พยายามหาวิธีการที่เหมาะสมมารับมือกับสถานการณ์ตรงหน้า
ก่อนอื่นเลย อย่างแรกก็คือว่าเขาฟื้นตื่นขึ้นมาหลังจากประสบอุบัติเหตุรถชน พบว่าตัวเองกลายเป็นคนอื่นไปแล้ว และคนอื่นที่ว่านั่นก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง อีกทั้งผู้หญิงคนนี้ยังเป็นภรรยาของอันอี่เจ๋อ แม้เหตุที่อุบัติขึ้นนี้จะน่าตื่นตระหนกจนแทบตกตาย แต่ก็เป็นความจริงอันจริงแท้แน่นหนาราวกับตะปูตอกตรึงลงบนแผ่นเหล็ก ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
อย่างที่สอง เขาไม่สามารถบอกความจริงกับใครได้ เพราะผลกระทบที่จะตามมานั้นร้ายแรงเกินคาดเดา เขาไม่อาจแบกรับความเสี่ยงนี้ได้
ผลลัพธ์ก็คือ เขาได้แต่ต้องเสแสร้งทำเป็นความจำเสื่อมไปแบบนี้ และจากนี้เป็นต้นไป ก็จะต้องใช้ชีวิตในฐานะหญิงสาว ‘ซูเจี๋ยน’
ตอนนี้ เขาอยู่ในสภาพขาหัก นอกจากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของศัตรูหัวใจที่ชั่วร้ายของเขาแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ข้อมูลอย่างอื่นของซูเจี๋ยนของตระกูลอันคนนี้อีกเลย ดังนั้น เขาได้แต่ต้องพึ่งพาอาศัยเบาะแสเดียวที่ตัวเองรับรู้นี้ไว้ ถึงอย่างไรตัวเขาตอนนี้ก็ไม่มีสถานะใดๆ ไม่มีที่ไป ทั้งยังไม่มีเงินไม่มีอาหาร มีเพียง ‘สัมมี’ คนนี้ให้พึ่งพาอาศัยเท่านั้น
ดังนั้น ต่อให้เขาจะอยากถ่มเลือดในปากขึ้นฟ้าสักแค่ไหน หรืออยากจะชกหน้าเจ้าอันอี่เจ๋อนั่นสักเพียงใด ก็ได้แต่ต้องสำนึกไว้ให้มั่น ว่าเหนือศีรษะตัวเองยังมีดาบคมกริบแขวนห้อยรอคอยไว้อยู่
……………………………….
“คุณ….เป็นสามีของฉันจริงๆ เหรอ” ซูเจี๋ยนลอบครุ่นคิดอย่างเงียบงัน นึกถึงสีหน้าท่าทางของเหล่าสาวน้อยไร้เดียงสาที่เคยได้พบเห็นมาในทีวีจาก ชีวิตประจำวัน ทั้งยังพยายามกระพือขนตาปริบๆ ทำตัวให้ดูใสซื่อบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อันอี่เจ๋อพยักหน้ารับ
“ถูกต้องตามกฎหมายรึเปล่า? แบบว่า มีทะเบียนสมรส?”
อันอี่เจ๋อพยักหน้าอีกครั้ง
ซูเจี๋ยนได้แต่สบถอยู่ในใจ ครุ่นคิดด้วยสีหน้าแข็งค้างไร้ความรู้สึก : ช่วงเวลาแบบนี้ คงได้แต่ต้องปั้นหน้ายิ้มไปก่อนแล้ว
ดังนั้นเขาจึงฝืนยิ้มเหยเกออกมา : “งั้น เราแต่งงานกันมานานแค่ไหนแล้ว”
“หนึ่งเดือน”
ทันใดนั้นรอยยิ้มเหยเกของซูเจี๋ยนก็แทบไม่อาจคงไว้บนใบหน้าได้อีก หนึ่งเดือน? นี่ก็หมายความว่า สองคนนี้เพิ่งจะแต่งงานกันเองไม่ใช่เหรอ? แม่มเอ๊ย! ทำไมอุบัติเหตุมันไม่เกิดให้เร็วขึ้นกว่านี้อีกซักนิด! ถ้าเกิดอุบัติเหตุตั้งแต่เดือนก่อน เขาก็ไม่ต้องแต่งงานกับเจ้าตัวน่ารังเกียจอันอี่เจ๋อนี่แล้วไม่ใช่รึไง? ไหนเลยจะต้องมากลายเป็นภรรยาของศัตรูหัวใจตัวฉกาจแบบนี้กันเล่า!?
ซูเจี๋ยนขุ่นแค้นจนแทบกลั้นใจตายอยู่รอมร่อ ทว่าอันอี่เจ๋อกลับนิ่งงันไป จากนั้นก็ทรุดกายลงนั่งข้างเตียง อันอี่เจ๋อจ้องเขม็งมองเขาด้วยสายตาเคร่งขรึมจริงจัง: “นี่เธอนึกอะไรไม่ออกเลยจริงๆ?”
ต้องถูกจ้องมองด้วยแววตาดำสนิทเข้มลึกแบบนั้นเข้า ยามที่กำลังพยายามปิดบังความลับช็อคโลกอยู่แบบนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองของซูเจี๋ยนจึงแข็งทื่อไปเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งยังเบนสายตาหลบลงต่ำอย่างไม่ได้ตั้งใจ: “ฉันพูดจริง ฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
อันอี่เจ๋อยังคงจ้องมองเขาแน่วนิ่ง : “หมอบอกแล้วว่า เธอน่าจะฟื้นตัวได้ภายในสองวัน”
ซูเจี๋ยนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงค่อยถามออกมาตรงๆ : “แล้วถ้าความทรงจำของฉันไม่มีวันกลับมาล่ะ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ฉันก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว?”
หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง อันอี่เจ๋อก็กล่าวตอบ “งั้นก็ไม่เป็นไร ฉันจะคอยบอกทุกเรื่องที่เธออยากรู้ให้เอง”
———————————
เชิงอรรถ
[4] หน้าเว็บเทียนหยาเหลียนเผิงกุ่ยฮว่า (天涯的莲蓬鬼话版) เหลียนเผิงกุ่ยฮว่า เป็นหัวข้อย่อยในหน้าเว็บนิยายเทียนหยา รวบรวมงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องประหลาดพิสดารเหนือธรรมชาติทั้งหลายแหล่
แฟนเพจ ‘Akanirawan’
ได้รับลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย