จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ - ตอนที่ 30
ตอนที่ 30 พูดมา เธอต้องการเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากลูกชายฉัน (1/2)
ตอนที่ 30 พูดมา เธอต้องการเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากลูกชายฉัน (1/2)
จนกระทั่งก้าวเท้าขึ้นไปนั่งอยู่บนรถแล้ว ซูเจี๋ยนก็ยังรู้สึกเหมือนไม่ตื่นจากฝัน
เกิดใหม่กลายเป็นผู้หญิงที่เป็นภรรยาของศัตรูหัวใจก็เลวร้ายพออยู่แล้ว ตอนนี้กลับยังต้องเข้าไปอยู่ในซีนข่มเหงรังแกตามประสาแม่ผัวลูกสะใภ้แสนน้ำเน่าแบบไม่คิดไม่ฝันอีก ชะตาชีวิตฉันมันจะดราม่าไปถึงไหนเนี่ย! ตัวฉันก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งเองนะ! ทำไมต้องมาพบเจอพล็อตเรื่องอลังการจัดเต็มขนาดนี้! อันอี่เจ๋อ ตอนนี้นายหายหัวไปอยู่ที่ไหนกันแน่? รีบๆ กลับมาช่วยฉันเดี๋ยวนี้! ให้ตายเถอะ!
ซูเจี๋ยนมองดูวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากหมู่ตึกสูงระฟ้าไปเป็นแนวเทือกเขาเขียวขจี จากนั้นก็กลายเป็นซุ้มประตูแกะสลักขนาดใหญ่โตแห่งหนึ่ง
ประตูเปิดอ้าออก รถขับเข้าไปตามเส้นทางข้างใน ชายในชุดสูทเตรียมวีลแชร์ไว้รอท่าเรียบร้อย จากนั้นก็เดินมาเปิดประตูรถให้ : “นายหญิงน้อย ถึงแล้วครับ”
ซูเจี๋ยนกระเถิบออกจากรถ ออกแรงยกตัวเองขึ้นนั่งบนรถเข็น หมุนศีรษะมองไปรอบๆ
เฉพาะตัวคฤหาสน์ก็กินเนื้อที่ภูเขาไปครึ่งลูกได้แล้ว! ยังมีการวางแปลนออกแบบภายนอกอันแสนสง่างามมีชั้นเชิงขนาดนี้ ยังมีสวนจีนกว้างขวางโอ่อ่าขนาดนี้ คนรวยนี่ก็รวยจนน่าเกลียดจริงๆ!
หลังจากส่งซูเจี๋ยนมาอยู่ในห้องรับแขกที่ชั้นล่างของตัวบ้านแล้ว เหล่าชายในชุดสูทก็พากันถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ ซูเจี๋ยนเองก็เกร็งร่างตั้งการ์ดเฝ้าระวังทั้งเนื้อทั้งตัว หนึ่งนาทีผ่านไป สองนาทีผ่านไป สามนาทีก็ผ่านไป…… จวบจนนานสองนานผ่านไปแล้ว ซูเจี๋ยนก็ยังไม่เห็นใครเข้ามาในระยะเฝ้าระวังของตนแม้แต่คนเดียว
เอ๊ะโอ๋?
คนล่ะ? ไหนล่ะคนใจร้าย? ไหนล่ะหรงหมัวมัว? ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้วทำไมยังไม่เห็นมีใครเข้ามาหาตนเลยสักคน?
ตอนแรกซูเจี๋ยนก็ยังรอคอยอยู่เงียบๆ แต่หลังจากผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่พบเห็นแม้แต่เงาคน จึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ความตื่นตระหนกหวาดระแวงในใจกลับลดลงไปมากแล้ว หญิงสาวจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง จนรู้สึกเบื่อหน่ายถึงขั้นที่เริ่มกวาดตามองไปรอบด้านเพื่อสังเกตการณ์สิ่งต่างๆ
คฤหาสน์พันล้านแบบนี้ ตนเองเคยได้พบเห็นก็แต่ในฉากละครทีวีเท่านั้น!
ซูเจี๋ยนจ้องมองสิ่งสวยงามรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจ ความตื่นตระหนกวิตกกังวลอะไรต่างๆ นานาก่อนหน้านี้ล้วนแต่หลงลืมไปหมดเกลี้ยงแล้ว มองเสร็จก็รู้สึกพออกพอใจอย่างยิ่งยวด ทั้งยังรู้สึกว่าล้าสายตาอยู่บ้าง เหลือบไปเห็นโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้องก็คิดว่าดูนุ่มสบายเป็นอย่างมาก ซูเจี๋ยนจึงปีนขึ้นไปเอนกายนั่งลงอย่างไม่คิดจะเกรงอกเกรงใจใดๆ นั่งเฉยๆ อยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ อาการตกค้างเพราะเมื่อคืนดูหนังเพลินจนนอนดึกเกินไปก็เริ่มแสดงผล หญิงสาวรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา เปลือกตากลายเป็นหนักอึ้งขึ้นอย่างช้าๆ ง่วงงุนจนเกินจะต้านทานได้ไหว สุดท้ายก็นอนเหยียดยาวสงบนิ่งบนโซฟา ผล็อยหลับไปโดยดุษณี
รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกที ก็ตอนที่มีใครบางคนมาเขย่าแขนตัวเอง
“ตื่นสิ! ฉันบอกให้เธอตื่นขึ้นมา!”
ซูเจี๋ยนลืมตาขึ้น พบว่าเป็นสตรีผู้หนึ่ง มาอยู่ตรงหน้าเขานานเพียงใดแล้วก็ไม่ทราบ มองดูจากเสื้อผ้าเครื่องประดับที่สวมใส่แล้ว ก็เห็นได้ถึงกลิ่นอายอันประณีตสง่างาม เพียงแต่สีหน้าท่าทางยามนี้กลับดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ซูเจี๋ยนขยี้ตา ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง หยีตามองไปรอบด้าน แล้วก็ค่อยๆ ระลึกได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จากนั้นถึงได้มองสตรีวัยกลางคนตรงหน้าเต็มๆ สองตา ชั่วขณะนั้นประสาทสัมผัสก็ตื่นตัวขึ้นมา : นี่ก็คือหรงหมัวมัวในจินตนาการคนนั้นงั้นหรือ?
ซูเจี๋ยนพลันหนาวยะเยือกวูบหนึ่ง จากนั้นก็สังเกตสังกาดูคู่กรณีอย่างละเอียด ต้องบอกว่าคุณแม่ของอันอี่เจ๋อคนนี้ช่างดูดีจริงๆ ตอนสาวๆ ต้องเป็นโฉมงามล้ำเลิศคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ขนาดตอนนี้ก็ยังสวยไม่สร่าง ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเป็นมารดาที่มีลูกชายอายุปาเข้าไปตั้งสามสิบแล้ว นี่บ่งบอกชัดเจนว่าเธอต้องดูแลตัวเองดีมากแน่นอน!
คุณแม่อันเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองตัวเองตาไม่กะพริบ ก็พลันตวัดสายตาถามขึ้น : “มองอะไรของเธอ”
ซูเจี๋ยนเองก็ตอบไปอย่างซื่อตรง : “คุณป้า คุณสวยมากจริงๆ แล้วก็ดูอ่อนเยาว์มากด้วย”
มุมปากของคุณแม่อันโค้งขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็กลับกลายเป็นเหยียดตรงแทบจะทันที กล่าวตอบเสียงเย็น : “คุณป้า? เฮอะ!”
ซูเจี๋ยนนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกับอันอี่เจ๋อแต่งงานกันไปเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นสรรพนามที่ใช้เรียกอีกฝ่ายย่อมต้องเปลี่ยนไป ดังนั้นจึงรีบแก้คำพูดของตัวเองใหม่ : “อ้อ คุณแม่…..” อันอี่เจ๋อ ครั้งนี้นายติดค้างฉันมากนะ!
คุณแม่อันชำเลืองมองด้วยหางตา ปากก็กล่าว : “มานอนหลับแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ไม่รู้จักรักษากิริยาของตัวเองเลยรึยังไงกัน”
ซูเจี๋ยนยิ้มเอาอกเอาใจเป็นเชิงขอลุแก่โทษ : “เพราะว่ารอนาน ก็เลยเผลอหลับไปน่ะค่ะ”
ซูเจี๋ยนเองไม่ได้ตั้งใจจะบ่นว่าอะไรแม้แต่น้อย ทว่าคุณแม่อันฟังแล้วสีหน้ากลับดำคล้ำขึ้นมา : “นี่เธอกำลังโทษฉัน?”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่!” ซูเจี๋ยนยิ้มแหยเชิงขอโทษขอโพย : “ไม่ใช่แบบนั้นเลยค่ะ!”
“ทำมาเล่นลิ้น!” คุณแม่อันกล่าวออกมาอย่างพาลๆ : “เธอนี่เป็นคนจำพวกนี้จริงๆ!”
ซูเจี๋ยนไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรด้วยอีก หากพูดถึงความสามารถด้านการเอาแต่ใจและขี้โมโหโทโส มนุษย์ป้าแบบนี้ย่อมนับเป็นอันดับหนึ่ง ตนเองได้แต่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีแล้ว
ผลสุดท้าย พอคุณแม่อันเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรตอบกลับมาก็กลายเป็นยิ่งโมโหหนักกว่าเก่า : “ฮึ! ไม่เห็นว่าจะได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีตรงไหนเลย!”
พอคำพูดมาเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของบุพการีตัวเอง ซูเจี๋ยนย่อมต้องโต้แย้งบ้างแล้ว ดังนั้นจึงพึมพำคล้ายบ่นกับตัวเอง : “เรื่องแบบนี้ก็ยังวิจารณ์ออกมาได้”
คุณแม่อันถึงกับอึ้งไป เหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จึงแค่นเสียงอย่างกราดเกรี้ยวขึ้นมาในพริบตา พร้อมยกนิ้วชี้ใส่ปลายจมูกของซูเจี๋ยน : “ฉันไม่ชอบเธอเลยซักนิด!”
ซูเจี๋ยนยอมรับอย่างว่าง่าย : “อ๋อค่ะ”
คุณแม่อันยังพูดต่อไปอย่างขุ่นเคือง : “ที่เธอกับเสี่ยวเจ๋อแต่งงานกันเนี่ย ฉันก็ไม่ได้อนุญาตตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วยซ้ำ!”
จับมือ! ฉันก็ไม่ได้อนุญาตเหมือนกันนั่นแหละน่ะ! ซูเจี๋ยนหลั่งน้ำตาอยู่ภายใน แล้วก็โพล่งตอบกลับไปพลางทอดถอนใจ : “ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว [1] จะทำอะไรได้อีกล่ะคะ”
“เธอ!” คุณแม่อันถูกทำให้อับจนถ้อยคำไปอีกครั้ง หลังจากคิดสะระตะอยู่ครู่หนึ่งก็ขยับกายนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามซูเจี๋ยน เชิดปลายคางขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน : “พูดมาซิ เธอต้องการเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากลูกชายฉัน
เอ๋? ซูเจี๋ยนกะพริบตาปริบๆ อย่าบอกนะว่า นี่ก็คือฉากจ่ายเงินทำลายรักแท้ในตำนาน! เป็นซีนหลักเพื่อพรากคู่รักยวนยางออกจากกัน ถ้าอยากให้บทละครนั้นดูน้ำเน่าเจิ่งนองให้มากๆ ซีนนี้ก็จะขาดไปไม่ได้จริงๆ นั่นล่ะ! สองตาของซูเจี๋ยนสว่างวาบ กล่าวตอบอย่างกระตือรือร้น : “ขอฉันคิดดูก่อนค่ะ!”
คุณแม่อันพลันเดือดดาลขึ้นมาในพริบตา : “เธอ! เธอนี่เป็นผู้หญิงหยาบกระด้างไม่รักดีจริงๆ! กลับยอมแต่งงานเพื่อหวังเศษเงินน้อยนิด!”
ซูเจี๋ยนรู้สึกว่าตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ทันอยู่บ้าง จึงได้แต่ตอบกลับไปอย่างซื่อตรง : “ถ้าเป็นเศษเงินน้อยนิดก็อาจจะไม่พอนะคะ”
คุณแม่อัน : “…….”
ซูเจี๋ยนยังกล่าวต่อไปอย่างใสซื่อ : “อีกอย่าง เรื่องเงินนี่ คุณก็เป็นคนพูดขึ้นมาก่อนชัดๆ…..”
คุณแม่อันโกรธเกรี้ยวเสียจนต้องหอบหายใจฮึดฮัด : “เธอ! เธอนี่เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจริงๆ กลับกล้าพูดจากับผู้อาวุโสแบบนี้ นี่เธอรู้บ้างรึเปล่าว่าอะไรคือการให้ความเคารพต่อผู้อื่น! ขนาดตอนเธอพูดกับฉัน ยังไม่ยอมยืนขึ้นพูดให้มันดีๆ ด้วยซ้ำ!”
ซูเจี๋ยนพยายามอธิบาย : “ตอนนี้สภาพฉันก็เหมือนคนพิการครึ่งตัวอยู่นะคะ”
คุณแม่อันแหวกลับอย่างหงุดหงิด : “หา! นี่เธอกำลังจะบอกว่าฉันไม่รู้จักเคารพคนพิการงั้นเหรอ”
เดิมทีซูเจี๋ยนไม่ได้มีความคิดไปในเชิงนั้นเลยจริงๆ แต่พอได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาแบบนั้นแล้วก็คิดขึ้นมา จึงได้แต่ตอบกลับไปอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ : “ก็…ค่ะ”
คุณแม่อัน : “…….”
……………………………….
ในการประจันหน้าครั้งแรกระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ ก็ได้จบลงด้วยการที่หรงหมัวมัวหอบหายใจอย่างกราดเกรี้ยว แล้วสะบัดแขนเสื้อสาวเท้าฉับๆ ก้าวขึ้นบันไดหายลับตาไป
ซูเจี๋ยนเกาหัวอย่างมึนงง จู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่า หรงหมัวมัวคนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนี่นา
พอเห็นว่าคุณแม่อันไม่ได้สนใจตนแล้ว ซูเจี๋ยนก็คิดว่านี่คงสมควรแก่เวลาที่ตัวเองจะได้จากไปเสียที ไม่คาดว่าเมื่อหมุนวีลแชร์มาถึงหน้าประตู กลับถูกการ์ดที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าแจ้งว่า ‘ยังไม่สามารถจากไปได้’
นี่คือหรงหมัวมัว….คิดจะขังเขาไว้ในบ้านงั้นหรือ?
แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง แต่ซูเจี๋ยนก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกวิตกกังวลอะไรอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้ถือว่าจากไปไม่ได้ชั่วคราว เช่นนั้นตนก็จะไปเดินสำรวจดูให้ทั่วสักหน่อย ถึงอย่างไรตนก็เพิ่งนอนหลับไปนานขนาดนั้น ตอนนี้จึงรู้สึกตื่นเต็มตาและกระฉับกระเฉงอย่างมาก
ดังนั้น ซูเจี๋ยนจึงหมุนวีลแชร์เคลื่อนที่ชมสิ่งน่าสนใจไปรอบด้าน
หลังจากชมดูอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย ซูเจี๋ยนจึงดึงพ่อบ้านคนหนึ่งมาถาม : “คือว่า ฉันรู้สึกหิวแล้ว รบกวนคุณช่วยหาอะไรให้ฉันทานหน่อยได้รึเปล่า”
พ่อบ้านคนนี้ เห็นได้ชัดว่าถูกคุณแม่อันสั่งการไว้โดยเฉพาะ จึงไม่ได้ตอบรับคำขอของหญิงสาวทันที เพียงกล่าวว่า : “เรื่องนี้….โปรดให้ผมไปถามความเห็นนายหญิงก่อนนะครับ”
ซูเจี๋ยนพยักหน้ารับ พ่อบ้านจากไปเพียงครู่เดียวก็กลับมา คำสั่งที่ได้รับกลับมาก็คือ : ‘ไม่อนุญาตให้หาอะไรให้นังปิศาจจิ้งจอกน้อยนั่นกินแม้แต่อย่างเดียว!’
****************
(ตอนต่อไป)