จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ - ตอนที่ 31
(นิยายแปล) จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ
ตอนที่ 31 พูดมา เธอต้องการเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากลูกชายฉัน (2/2)
ตอนที่ 31 พูดมา เธอต้องการเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากลูกชายฉัน (2/2)
สีหน้าของพ่อบ้านดูขมขื่นลำบากใจทั้งยังมีแววขออภัยอย่างยิ่งยวด
ซูเจี๋ยนแค่ตอบไปยิ้มๆ ว่า : “ไม่เป็นไร” ทว่าในใจกลับครุ่นคิด : นี่หรงหมัวมัววางแผนไว้ว่าจะให้เขาหิวตายหรือไง?
ซูเจี๋ยนสะบัดศีรษะ ไล่ความคิดออกจากหัว ตนเองก็ไม่ได้อยากจะมีปัญหาจุกจิกวุ่นวายอะไรกับหรงหมัวมัว เพียงแต่ ความสำคัญของปากท้องต้องมาก่อนเป็นอันอับแรก ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะต้องไปหาของมาเติมเต็มกระเพาะของตนให้ได้
ซูเจี๋ยนคิดแล้วคิดอีก ก็ตัดสินใจสอบถามสาวใช้ที่เดินผ่านไปคนหนึ่ง จากนั้นก็พาตัวเองมาถึงห้องครัว
บริเวณห้องครัวถูกออกแบบไว้กว้างขวางใหญ่โต มีวัตถุดิบหลากหลายชนิดจนละลานตา ซูเจี๋ยนเห็นแล้วรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ขณะที่มาถึงก็ถูกต้อนรับด้วยแววตาตกตะลึงจากบรรดาคนครัวทั้งหลาย ซูเจี๋ยนจึงกล่าว : “วางใจเถอะ ฉันรู้ว่านายหญิงมีคำสั่งลงมา พวกคุณก็ไม่ต้องมาสนใจฉัน ฉันแค่จะทำนู่นทำนี่นิดหน่อย เดี๋ยวก็ไปแล้ว”
หลังจากขอให้คนครัวไปหาเก้าอี้หมุนมาให้ตัวหนึ่ง แล้วก็จัดเตรียมวัตถุดิบที่ตัวเองต้องการให้จนครบถ้วนแล้ว ซูเจี๋ยนก็เริ่มลงมืออย่างขะมักเขม้น เพื่อให้ปากท้องได้อิ่มหนำสำราญ
พ่อครัวยังยืนละล้าละลังอยู่ด้านข้าง : “นายหญิงน้อย คุณทำแบบนี้….”
ซูเจี๋ยนยิ้มอ่อน ปากก็กล่าว : “นายหญิงแค่บอกว่าไม่ให้หาอะไรมาให้ฉันกิน ไม่ได้บอกว่าไม่อนุญาตให้ฉันทำอาหารกินเองนี่นา ใช่มั้ยล่ะ”
พ่อครัวผงกศีรษะรับอย่างลังเล
ซูเจี๋ยนพูดไปยิ้มไป : “งั้นก็หมดเรื่องแล้วนี่”
“แต่ว่านายหญิงน้อย ขาของคุณ….”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันชินซะแล้ว!”
ที่ซูเจี๋ยนหมายถึงก็คือว่า เขาเคยชินกับการทำอาหารด้วยตัวเองแบบนี้มาตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่บ้านแล้ว แต่พอมาเข้าหูคุณพ่อครัว ก็กลับกลายเป็นเหมือนว่า สาวน้อยธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่งเข้ามาในบ้านคนรวยทรงอิทธิพล ต้องทนรับการเหยียดหยามย่ำยีไม่น้อย จำต้องคุ้นชินจนมองเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ดังนั้น ในชั่วขณะนี้เอง ซูเจี๋ยนก็ได้ใจคุณพ่อครัวตัวตุ้ยนุ้ยผู้นี้ไปเรียบร้อย นอกจากพี่ใหญ่คนนี้จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้ง พอได้เห็นฝีไม้ลายมืออันคล่องแคล่วลื่นไหลของหญิงสาว ก็ยิ่งให้ความรู้สึกว่าต่างเป็นคนทำครัวฝีมือดีเช่นเดียวกัน พี่ใหญ่พ่อครัวคนนี้จึงเกิดความรู้สึกชื่นชมอย่างลึกซึ้งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
ซูเจี๋ยนย่อมไม่รับรู้แม้แต่น้อย ว่าภาพลักษณ์ของตนเองในใจผู้อื่นกลับสูงส่งขึ้นมาหนึ่งระดับแล้ว เพียงลงมือผัดข้าวและทำเครื่องเคียงบางอย่างให้ตนเอง พอหันกลับไปก็เห็นคุณพ่อครัวกำลังมองดูตนเองด้วยแววตาชื่นชมอยู่ จึงทักทายออกไปตามประสาคนอัธยาศัยดี : “แล้วนี่คุณลุงทานข้าวหรือยังล่ะ มาทานด้วยกันไหม”
พ่อครัวยืนชมดูอีกฝ่ายปรุงอาหารอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด ได้เห็นขั้นตอนการลงมืออันเชี่ยวชาญ ยังมีการเคลื่อนไหวอันไหลลื่น ย่อมรู้ได้ว่าฝีมือของหญิงสาวนั้นไม่ธรรมดา ยิ่งพอเขาได้เห็นผลลัพธ์ที่ออกมา มีครบถ้วนทั้งสีสันทั้งกลิ่นหอม จึงเอ่ยชื่นชมออกมาอย่างไม่ได้คิดจะสงวนท่าทีแต่อย่างใด : “นายหญิงน้อยทั้งยอดเยี่ยมทั้งดีงามจริงๆ!”
แม้คำว่า ‘ทั้งยอดเยี่ยมทั้งดีงาม’ นี้ จะฟังดูแล้วทะแม่งๆ อยู่สักหน่อย แต่ผู้อื่นมาชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ซูเจี๋ยนก็รู้สึกภาคภูมิใจอยู่บ้าง จึงสงวนถ้อยคำตอบกลับไปอย่างไว้เชิง : “ชมกันเกินไปแล้ว” จากนั้นก็โพล่งออกมาอย่างเป็นหลักเป็นการ : “ยุคนี้สมัยนี้แล้ว ถ้าไม่ยอดเยี่ยมไม่ดีงาม ก็คงหาภรรยามาแต่งด้วยไม่ได้ง่ายๆ แน่!”
คุณพ่อครัวไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงพูดเรื่องแต่งภรรยาขึ้นมาได้ แต่ก็ยอมตามน้ำไปด้วยอย่างว่าง่าย จึงหัวเราะฮาๆ ออกมาเบาๆ พลางกล่าว : “นั่นก็ใช่แล้ว นายน้อยสามได้นายหญิงน้อยมาเป็นภรรยา นับเป็นเรื่องโชคดีอย่างมากจริงๆ!”
นั่นก็ถูกเผงเลยไม่ใช่รึไง? สาวน้อยซูคนนี้น่ะ ช่างเป็นเหมือนหัวผักกาดขาววาววับสดใหม่หัวหนึ่ง ซ่อนอยู่ในดินรอวันเปล่งประกาย แต่แล้วกลับต้องมาถูกเจ้าคนตระกูลอันใช้สันจมูกขุดคุ้ยดึงทึ้งออกมาจากดินเสียดื้อๆ![2] ไม่รู้ว่าเมื่อชาติปางก่อนเจ้าคนตระกูลนี้มันเคาะปลาไม้จนแตกไปกี่ตัว! [3] ถึงได้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ขนาดนี้ ยังมีนิสัยเอาแต่ใจน่ารังเกียจนั่นอีก! จู่ๆ ก็โมโหขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีเหตุมีผลก็มาพาลพาโลใส่คนอื่น แถมยังเป็นต้นเหตุให้ตนเองต้องถูกหรงหมัวมัวจับตัวมาที่นี่ ต้องเข้าฉากละครน้ำเน่าซีนเด่นติดต่อกันไม่หยุด ความละอายใจน่ะยังมีเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า? ศีลธรรมในใจน่ะยังเหลืออยู่บ้างไหม?
ในใจซูเจี๋ยนนั้นเดือดดาลอย่างมาก แต่พอเห็นใบหน้ายิ้มแป้นแล้นของคุณพ่อครัวแล้วก็ได้แต่สะกดข่มความหงุดหงิดของตัวเองเอาไว้ ไม่แสดงท่าทีไม่ดีใดๆ ออกมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กลอกตา เอ่ยถามขึ้น : “คุณลุง คุณทำงานอยู่ในบ้านตระกูลอันมากี่ปีแล้วเหรอ”
พ่อครัวแย้มยิ้มกล่าวตอบ : “นานมากแล้วล่ะครับ ผมได้เฝ้าดูนายน้อยสามเติบโตขึ้นมาด้วยตัวเองเลยทีเดียว!”
ซูเจี๋ยนกระตือรือร้นขึ้นมาในพริบตา ยิ้มกว้างเต็มใบหน้า พูดขึ้น : “นั่นสุดยอดไปเลยค่ะ! คุณลุงคงได้รู้เรื่องตลกๆ ในวัยเด็กของอี่เจ๋อเยอะมากแน่ๆ เลย ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ ฉันอยากรู้จักเขาให้มากขึ้น!”
……………………………….
หลังจากทานจนอิ่ม ก็นั่งพักพุงต่ออีกครู่หนึ่ง พอเห็นว่าหรงหมัวมัวยังไม่ยอมมาพบตัวเอง ทั้งยังดูเหมือนไม่คิดจะยอมปล่อยตัวเองกลับไป ซูเจี๋ยนก็เลยตัดสินใจจะลงมือก่อน
ซูเจี๋ยนขอให้พ่อบ้านนำข้อความไปแจ้งต่อคุณแม่อันว่าต้องการจะเข้าพบพูดคุยกัน ฝ่ายคุณแม่อันเมื่อได้ยินว่าซูเจี๋ยนเป็นฝ่ายร้องขอ ก็เข้าใจไปว่าในที่สุดอีกฝ่ายก็ทนรับความทรมานไม่ไหวแล้ว ได้แต่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างอ่อนแรง คิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีขึ้นมาทันที ทว่าก็ยังตัดสินใจว่าจะไม่ยอมปล่อยปีศาจจิ้งจอกน้อยตนนี้ไปง่ายๆ จึงจงใจถ่วงเวลาเอ้อระเหยลอยชายอยู่นาน จากนั้นจึงค่อยเชิดคางย่างฝีเท้าลงบันไดมาอย่างสง่างาม
“เป็นไง สุดท้ายก็คิดได้แล้วสิท่า” คุณแม่อันมองซูเจี๋ยนอย่างหยิ่งผยอง กล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม
ซูเจี๋ยนแทบใบ้กินด้วยความงง : “คิดได้เรื่องอะไรคะ?”
คุณแม่อันสำลักลมหายใจไปเฮือกหนึ่ง สองตาเบิกกว้าง ท่าทางสง่างามสูงศักดิ์ราวกับไทเฮาผู้ทรงเกียรติ์ซึ่งจงใจปั้นแต่งมาอย่างดีถึงกับปริร้าวอย่างต่อเนื่อง : “งั้นเธอขอให้ฉันลงมาทำไม”
ซูเจี๋ยนพูดตอบ : “คือว่าแบบนี้นะคะ หรง….เอ่อ..คุณแม่ ฉันคิดอยากจะปรึกษากับคุณเรื่องหนึ่งน่ะค่ะ”
คุณแม่อันแค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง : “ไม่มีอะไรต้องปรึกษาหารือกันทั้งนั้น! ฉันบอกไปชัดเจนแล้ว ว่าฉันไม่ชอบเธอ ไม่ยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้ ทางที่ดีเธอควรจะรีบหย่ากับเสี่ยวเจ๋อซะเดี๋ยวนี้!”
ซูเจี๋ยนยังพูดต่อ : “คุณแม่ ที่ฉันจะสื่อก็คือว่า ตอนนี้อี่เจ๋อไม่ได้อยู่ด้วย ถ้าจะมีเรื่องอะไรต้องจัดการ ไม่สู้รอให้เขากลับมาก่อน…..” ป๊ะป๋าคนนี้ก็แค่จับพลัดจับผลูหลุดเข้ามาในฉากเท่านั้นเองนะ! ละครดราม่าต่อกรกับบ้านคนรวยทรงอิทธิพลแบบนี้ ทนรับต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ อันอี่เจ๋อ นายรีบๆ ไสหัวกลับมาซะทีเถอะ!
คุณแม่อันโต้กลับอย่างโกรธๆ : “พอเสี่ยวเจ๋อกลับมาเธอก็จะได้รีบวิ่งไปฟ้องร้องอ้อนวอนเขาง่ายๆ ล่ะสิท่า”
ซูเจี๋ยนเหม่อมองอย่างงงๆ : “สามารถฟ้องร้องอ้อนวอนได้ด้วย?”
คุณแม่อันสวนกลับด้วยความหงุดหงิดหนักกว่าเก่า : “ไม่มีทาง! ทำอะไรก็ไม่ได้ผลหรอก!”
ซูเจี๋ยนพยายามประนีประนอม : “งั้นเอาแบบนี้เป็นไงคะ ในเมื่อคุณไม่ชอบฉัน อยู่ไปก็ระคายสายตาคุณเปล่าๆ ไม่สู้ให้ฉันกลับไปก่อน…..”
คุณแม่อันตวาดแว้ดขัดขึ้นอย่างโมโหโทโส : “ไม่ได้! ฉันไม่อนุญาต! ฉันต้องการจะจับตามองเธอนี่แหละ!”
ซูเจี๋ยนได้แต่คิดอย่างอับจนหนทาง : นี่สินะความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้!
พอคุณแม่อันเห็นว่าอีกฝ่ายอับจนถ้อยคำไปแล้ว ก็ค่อยๆ พึงพอใจในตนเองขึ้นมาอีกครั้ง เปิดปากกล่าว : “ฉันจะบอกเธอให้ เธอน่ะไม่มีอะไรคู่ควรกับเสี่ยวเจ๋อเลยสักนิด! ฉันได้เลือกภรรยาดีๆ ให้กับเสี่ยวเจ๋อไว้แล้ว มีแต่ผู้หญิงแบบเสวี่ยเอ๋อร์เท่านั้นถึงจะคู่ควรกับเสี่ยวเจ๋อบ้านเรา!”
ซูเจี๋ยนฟังถึงตรงนี้ก็หูผึ่ง เกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา : “เสวี่ยเอ๋อร์!”
คุณแม่อันเห็นแบบนี้ก็นึกว่าอีกฝ่ายถูกทำร้ายอย่างหนัก จึงยิ่งพึงพอใจในตัวเองมากขึ้นไปอีก : “เสวี่ยเอ๋อร์กับเสี่ยวเจ๋อบ้านเราน่ะ เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ เหมือนบ๊วยเขียวม้าไม้ไผ่ [4] ไม่มีผิด เป็นคนสะสวยน่ารัก นิสัยก็ดีแสนดี แถมยังเรียนจบปริญญาจากมหาวิทยาลัยเยลถึงสองสาขา หนำซ้ำยังเป็นถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนแห่งกลุ่มการค้าตระกูลป๋ายอีกด้วย ผู้หญิงธรรมดาๆ จากเมืองเล็กๆ ตระกูลเล็กๆ อย่างเธอน่ะ จะเอาอะไรมาเทียบไม่ทราบ”
ไอ๊ย์! สาวงามที่ถูกเลือกไว้แล้วคนนี้ต้องสวยโคตรๆ จนเกินบรรยายแน่นอน! ในใจซูเจี๋ยนคาดหวังอยากเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายอย่างแรงกล้า จึงโพล่งออกมาทันที : “ยอดเยี่ยมขนาดนั้นเชียว? งั้นช่วยแนะนำให้ฉันรู้จักเธอทีเถอะ!”
คุณแม่อัน : “…….”
เชิงอรรถ
[1] ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว หมายถึงเรื่องราวได้เกิดขึ้นไปแล้ว ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้
[2] ตรงนี้ต้องการจะเปรียบเทียบถึงคำพังเพยที่ว่า ผักกาดขาวอวบโดนหมูกินไปแล้ว สื่อถึงการทอดถอนใจที่ของสวยๆ งามๆ ต้องมาถูกผลาญทำลายไปโดยคนที่ไม่คู่ควร ทั้งยังเปรียบเปรยอันอี่เจ๋อว่าเป็นหมูที่มากินผักกาด
[3] การเคาะปลาไม้ (木鱼 – มู่อวี๋ หรือ บักฮื้อ) ด้านในกลวง เคาะแล้วเสียงกังวาน เหล่านักบวชจีนจะใช้เคาะในการสวดมนต์เจริญสติ การเคาะจนแตกหมายถึงเคาะมานานจนปลาไม้แตก หมายถึงบวชมาหลายพรรษา เคาะแตกไปหลายตัวก็แสดงว่าบวชมานานมากๆ คือสั่งสมบุญบารมีไว้เยอะ
[4] บ๊วยเขียวม้าไม้ไผ่ (青梅竹马) เปรียบเปรยถึงเด็กชายหญิงคู่หนึ่ง คุ้นเคยสนิทสนมกันมาแต่เด็ก นับได้ว่าเป็นคนรู้ใจกันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ หรือเรียกได้ว่าเป็นหวานใจวัยเยาว์
********
แฟนเพจ ‘Akanirawan’ https://bit.ly/3gBu94T