จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 1-1 เรือนในหุบเขาลึก [ส่วนที่ 5]
ฉินเจิงควบม้านำเซี่ยฟางหวาออกจากวัง ทว่ามิได้กลับจวนอิงชินอ๋อง หากแต่มุ่งออกจากเมืองหลวง
วันนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ทรงราชาภิเษกและมีการพระราชทานอภัยโทษแก่ใต้หล้า ราษฎรต่างร่วมกันเฉลิมฉลอง บรรยากาศทั้งภายในและนอกเมืองเต็มไปด้วยความปีติยินดี
หลังจากพระชายาอิงชินอ๋องกับชุนหลันไล่ตามหลังออกจากวังหลวงมาก็รีบกลับจวนอิงชินอ๋อง เมื่อผ่านประตูจวนเข้ามาก็เอ่ยถามหัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่น “เจิงเอ๋อร์กับหวาเอ๋อร์เล่า ใช่กลับเรือนลั่วเหมยแล้วหรือไม่”
“บ่าวทราบเหตุการณ์ที่เกิดในวังหลวงแล้ว เมื่อทราบว่าท่านอ๋องน้อยกลับมาก็รออยู่ตรงนี้ แต่กระทั่งตอนนี้ยังไม่เห็นท่านอ๋องน้อยกลับจวนเลยขอรับ” สี่ซุ่นรีบตอบ
“เขาออกจากวังมาก่อนก้าวหนึ่ง จะไปไหนได้” พระชายาอิงชินอ๋องสงสัย
“ถ้ามิอย่างนั้นบ่าวจะไปสืบข่าวดู” สี่ซุ่นเกาศีรษะ
“รีบไป รีบไป” พระชายาอิงชินอ๋องโบกมือไล่
สี่ซุ่นรีบกวักมือส่งคนออกไปสืบข่าว
พระชายาอิงชินอ๋องรอหน้าประตูจวน
ไม่นานคนที่สี่ซุ่นส่งออกไปก็กลับมารายงานว่า “มีคนเห็นท่านอ๋องน้อยขี่ม้าออกจากเมืองขอรับ”
“เขาออกไปไหน” พระชายาอิงชินอ๋องชะงัก
คนผู้นั้นส่ายหน้า
“ออกประตูเมืองทิศใด” พระชายาอิงชินอ๋องถามอีก
“ทางทิศเหนือขอรับ เพราะขี่ม้าออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้จึงมิทราบร่องรอย” ผู้นั้นตอบ
“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่กลับบ้านแล้วออกไปไหน” พระชายาอิงชินอ๋องย่นหัวคิ้ว ก่อนยกมือสั่งงานผู้นั้น “สืบหาต่อไป ดูว่าท่านอ๋องน้อยไปไหนกันแน่”
“ขอรับ” ผู้นั้นนำคนออกจากจวนอีกครั้ง
“ไหนๆ ท่านอ๋องน้อยก็กลับมาแล้ว ท่านมิต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกวันแล้วเจ้าค่ะ ท่านอ๋องน้อยนำพระชายาน้อยออกจากเมืองต้องมีเหตุผลเป็นแน่ คงไม่เกิดเรื่องใดขึ้นหรอก” ชุนหลันปลอบพระชายาอิงชินอ๋อง
“ก็จริง” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วเดินกลับเรือน
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนไล่ตามออกจากวังหลวงจนมาถึงจวนอิงชินอ๋อง เมื่อทราบข่าวว่าฉินเจิงมิได้นำเซี่ยฟางหวากลับจวน หากแต่ออกจากเมืองทิศเหนือ ทั้งแปดจึงรีบตามออกไป
อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวมิได้รีบออกจากวังหลวง หากแต่หลังฉินอวี้เสด็จกลับก็ตามเขาไปยังห้องทรงอักษร
ทั้งหมดขอเข้าเฝ้า แต่ฉินอวี้ปิดประตูห้องทรงอักษรเงียบสนิท ออกคำสั่งว่าไม่พบผู้ใดทั้งนั้น
พวกอิงชินอ๋องมองหน้ากัน ทำได้เพียงออกจากวังหลวง
หลังผ่านประตูวังออกมา เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ตบบ่าอิงชินอ๋อง “ท่านอ๋อง อ้อมไปวนมา สุดท้ายแล้วคุณหนูฟางหวาก็ยังคงเป็นลูกสะใภ้ของบ้านท่าน”
อิงชินอ๋องถอนหายใจ
“บ้านเมืองมีอัจฉริยะบุคคลกำเนิดขึ้นทุกยุค คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า พวกเราต้องยอมรับสภาพได้แล้ว สถานการณ์เช่นวันนี้หากเกิดขึ้นอีกครั้ง คนแก่อย่างข้าคงรับมิไหวแล้ว ข้ากำลังคิดว่าใช่ถึงเวลาควรถอดเกราะกลับบ้านเกิดแล้วหรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้น
“ท่านยังอายุน้อย ถอดเกราะกลับบ้านเกิดอันใดกัน” เสนาบดีฝ่ายขวามองอีกฝ่าย
“ที่ผ่านมาข้าละเลยด้านการสั่งสอนลูกชาย ยามนี้คิดว่าคงไร้ผู้สืบทอด ไม่เหมือนพวกท่านที่ล้วนมีคนสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไป” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกลัดกลุ้ม
“ท่านมิใช่ละเลยด้านการสั่งสอน ท่านแค่สั่งสอนมากเกินเหตุ” เสนาบดีฝ่ายขวาบอก “ลูกชายท่านแม้ไม่โดดเด่น แต่ก็ประพฤติตนอยู่ในกรอบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่เคยต้องกลุ้มใจเลย อย่างน้อยที่สุดท่านยังสามารถประคับประคองได้อีกหลายปี ฝ่าบาทก็ทรงเห็นความสำคัญ วงศ์ตระกูลจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายของท่านไม่มีวันล้มลงหรอก”
“มิเคยเห็นฝ่าบาททรงกริ้วขนาดนี้มาก่อนเลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถอนหายใจ
“วันนี้แม้น่าตื่นกลัว แต่ก็นับว่ามิได้เกิดเรื่องใหญ่” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว “หวังว่าหลังจากนี้ เมื่อผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว ท่านอ๋องน้อยเจิงกับฝ่าบาทจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ มิฉะนั้นแผ่นดินหนานฉินคงมีภัยจริงๆ”
“กี่ปีมาแล้ว พวกเขาต่างมีวิธีอยู่ร่วมกันได้” อิงชินอ๋องโบกมือลา “ข้าจะกลับไปดูเจ้าเด็กนั่นก่อน คนที่วางใจมิได้ที่สุดก็คือเขานั่นล่ะ”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาพยักหน้า ก่อนแยกย้ายกันกลับจวน
ภายในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวากับหลี่หรูปี้กำลังปักลายบนผ้า เมื่อทราบข่าวว่าฉินเจิงถลันเข้าวังหลวง ฝ่าบาทกับเขาเกือบจะก่อเรื่องใหญ่โต รวมถึงอันเชิญพระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ มือของหลี่หรูปี้ก็ถูกเข็มตำคล้ายไม่รู้ตัว
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาอุทาน “ตายจริง” ก่อนรีบคว้ามือนางมาแล้วกล่าวด้วยโทสะ “หลายวันนี้เจ้ายังคิดไม่ได้อีกรึ ไม่ว่าอย่างไร ตลอดชาตินี้เจ้าก็ออกเรือนกับฉินเจิงไม่ได้ ตัดใจเสียเถอะ”
หลี่หรูปี้พยักหน้า พึมพำขึ้น “ตัดใจแล้ว”
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเห็นท่าทางของนางก็รู้สึกใจเสียตามจึงกลั้นใจไม่ตำหนิเพิ่มอีก
ภายในจวนหย่งคังโหว หลังเยี่ยนหลันทราบข่าวในวังหลวงก็ดีใจใหญ่ “นี่ถึงจะเป็นฉินเจิง”
ฮูหยินหย่งคังโหวถลึงตาใส่นาง ก่อนทอดถอนใจกล่าว “พี่ชายเจ้าบอกว่าท่านอ๋องน้อยเจิงต้องกลับมาทันวันราชาภิเษกของฝ่าบาทเป็นแน่ เขามิได้พูดผิดไปจริงๆ”
“ตอนนั้นท่านยังไม่ชอบฟางหวา ตอนนี้คงทราบแล้วกระมัง นางเป็นคนที่ถึงท่านพี่คิดแย่งชิงมาก็ทำมิได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นท่านยังเอาแต่ถ่วงรั้งเขา” เยี่ยนหลันกล่าว
ฮูหยินหย่งคังโหวยกมือตีนาง “อย่าพูดแทงใจดำ” เสร็จแล้วก็กล่าวต่อ “เป็นแม่เองที่สายตาคับแคบ มองแค่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ก็โชคดีแล้วที่ตอนนั้นแม่ต่อต้านแทบตาย มิฉะนั้นถ้าพี่ชายเจ้าติดกับดักไปอีกคน ถอนตัวออกมามิได้คงเจ็บปวดหัวใจแย่”
“ตอนนั้นเขาเจ็บปวดหัวใจไปแล้ว เพียงแต่ท่านมิได้สนใจเท่านั้นเอง” เยี่ยนหลันบอก
“โชคดีที่เขาหนีไป ถ้ามิอย่างนั้นแม่คงทำลายชีวิตเขาไปแล้วจริงๆ” ฮูหยินหย่งคังโหวถอนหายใจ
“นี่ก็ต้องขอบคุณฟางหวาเช่นกัน นางเป็นคนที่คอยช่วยเหลือท่านพี่หนีจากสายลับราชสำนักกับคนของจวนเราไปยังเป่ยฉีอย่างลับๆ” เยี่ยนหลันตอบ
“นี่ก็ควรขอบคุณ คิดดูแล้วจวนของเรามีเรื่องต้องขอบคุณนางเยอะมาก” ฮูหยินหย่งคังโหวพยักหน้า “วันนั้นเจ้ากับข้าไปให้นางตรวจชีพจรในวังหลวง ข้ายังคิดว่านับจากนี้นางจะกลายเป็นฮองเฮาแล้วจริงๆ ไม่นึกเลยว่าท่านอ๋องน้อยเจิงเป็นตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ แย่งกลับคืนมาจนได้”
“ที่เหนือความคาดหมายที่สุดคือพระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ ไม่นึกเลยว่าจะทรงออกพระราชโองการเช่นนี้ไว้” เยี่ยนหลันกล่าว
“ใช่แล้ว คงไม่มีผู้ใดคาดถึง” ฮูหยินหย่งคังโหวกล่าว “ฝ่าบาทเองก็ทรงคาดไม่ถึงเช่นกัน”
“คิดดูแบบนี้แล้วฉินอวี้ช่างน่าสงสารนัก หากไม่มีพระราชโองการสั่งเสีย ฉินเจิงคงมิได้พาฟางหวาออกจากวังมาอย่างง่ายดายขนาดนั้นแน่นอน” เยี่ยนหลันเอามือเท้าคาง เอ่ยขึ้นอย่างดีใจ “แต่หลังนางออกจากวังแล้วกลับจวนอิงชินอ๋อง หากข้าอยากไปหานาง ย่อมสะดวกกว่าวังหลวงนัก”
“เจ้ารู้จักแต่จะเที่ยวเล่น” ฮูหยินหย่งคังโหวดันหน้าผากนางแล้วตำหนิ “ห้ามเรียกพระนามของฝ่าบาท เขาเป็นฝ่าบาทแล้ว แผ่นดินอยู่ในกำมือ หลังจากนี้คงมีหญิงงามอีกเป็นกอง ไหนเลยจะน่าสงสาร”
“หญิงงามมากน้อยก็มิอาจเทียบหนึ่งในใจได้ อดีตฮ่องเต้ก็ทรงมีหญิงงามเต็มวังหลังเช่นกัน มิใช่เพราะคะนึงหาแต่พระชายาอิงชินอ๋องหรือ” เยี่ยนหลันทำปากจู๋ กล่าวอย่างไม่ยอมแพ้
ฮูหยินหย่งคังโหวอึ้ง เถียงไม่ออก
จวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย จวนสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน จวนผู้ตรวจการ และจวนขุนนางชั้นผู้ใหญ่ใน
ราชสำนัก กระทั่งเหล่าครอบครัวต่างกำลังพูดถึงเรื่องนี้โดยมิได้นัดหมาย
วันราชาภิเษกของฝ่าบาท ท่านอ๋องน้อยเจิงก่อเรื่องในวังหลวงใหญ่โตแล้วนำคุณหนูฟางหวากลับไป ชั่วเวลานั้นก็เผยแพร่ออกไปทั้งในและนอกเมืองหลวง
เรื่องแบบนี้ กระทั่งหลายปีข้างหน้าก็คงยังไม่จบลง
คนที่จวนอิงชินอ๋องส่งออกไปตามหาตลอดหนึ่งวัน ทว่าก็หาที่อยู่ของฉินเจิงไม่เจอ หลังออกจากเมืองทิศเหนือก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาหายไปไหน มิทราบร่องรอยใดใด
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนก็หาร่องรอยฉินเจิงไม่พบเช่นกัน จึงย้อนกลับมาจวนอิงชินอ๋องอย่าง
อับจนหนทาง
“เจ้าเด็กบ้าคนนี้ เขาพาหวาเอ๋อร์ไปไหน ถึงเขานิสัยไม่ดีแบบนั้น แต่ก็คงไม่ทำอันใดหวาเอ๋อร์หรอกกระมัง” พระชายาอิงชินอ๋องทั้งกังวลทั้งโกรธเคือง
“คนเป็นมารดาบนโลกนี้เจ้าคงเหนื่อยที่สุดแล้ว ตอนยังมิกลับมาก็เฝ้ารอเขากลับมา พอเขากลับมาแล้วก็ไม่กลับจวน ทั้งต้องออกตามหาทุกหนแห่ง ตอนนี้ยังต้องเป็นห่วงหวาเอ๋อร์เพิ่มอีก ทุกวันนี้เจ้าเป็นทุกข์มากที่สุดแล้ว” อิงชินอ๋องมองพระชายาอย่างจนใจ
“ก็น่าเป็นห่วงเสียขนาดนั้น” พระชายานวดหน้าผาก “ข้ากลัวว่าพวกเขาจะทำร้ายกันและกันอีก”
“ถึงทำร้ายกันและกัน เจ้าก็ช่วยอันใดมิได้” อิงชินอ๋องบอก
“ช่างเถอะๆ ไม่สนใจแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องโบกมือ
“วันนี้ไม่กลับมา บางทีพรุ่งนี้อาจกลับมาแล้ว นอนกันเถิด” อิงชินอ๋องลูบปลอบพระชายา
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
ทว่าวันถัดมา ฉินเจิงก็ยังไม่พาเซี่ยฟางหวากลับจวน และยังคงมิทราบร่องรอย
ฮ่องเต้องค์ใหม่ราชาภิเษกวันที่สองก็มิได้มีการว่าราชการยามเช้าเช่นกัน
เหล่าขุนนางล้วนรอกันอยู่ภายในตำหนักจินเตี้ยน ยามเสี่ยวเฉวียนจื่อประกาศว่าวันนี้งดว่าราชการยามเช้า เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็คว้าตัวเขาไว้ แล้วเอ่ยถามว่าฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้างอย่างระวัง
เสี่ยวเฉวียนจื่อถอนหายใจออกมา ก่อนตอบเสียงเบา “เมื่อวานฝ่าบาทเอาแต่ขังองค์เองอยู่ในห้องทรงอักษร จนป่านนี้ยังก็มิออกจากห้องทรงอักษรเลยขอรับ”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ฝ่าบาทมิได้เป็นอันใดใช่ไหม” เสนาบดีฝ่ายซ้ายตกใจ
“นายท่านเสนาบดีวางใจเถิด บ่าวติดตามฝ่าบาทมาตั้งแต่ยังเยาว์ ฝ่าบาทเพียงต้องการสงบพระอารมณ์สักสองวัน” เสี่ยวเฉวียนจื่อส่ายหน้า
เสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจ ก่อนกำชับว่า “ต้องดูแลฝ่าบาทให้ดีนะ”
เสี่ยวเฉวียนจื่อพยักหน้า
ในเมื่องดว่าราชการยามเช้า เหล่าขุนนางจึงได้แต่แยกย้ายกัน ต่างคนต่างไปลงชื่อในตำแหน่งของตนเองให้เห็นหน้าเห็นตาพอเป็นพิธี