จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 10-1 เรือนหกสืบความ
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาออกจากวังหลวง เยี่ยนถิงกับหลี่มู่ชิงกำลังรออยู่ด้านนอก
ครั้นเห็นทั้งสอง ฉินเจิงก็เลิกคิ้วพร้อมหยุดเท้า
เยี่ยนถิงกับหลี่มู่ชิงกำลังคุยเล่นเรื่อยเปื่อยพลางรอทั้งคู่ออกมาจากในวัง พอเห็นทั้งคู่ออกมาแล้วก็หันมามองที่ประตูวังโดยพร้อมเพรียงกัน
หลี่มู่ชิงเห็นฝ่ามือของทั้งคู่ที่กำลังเกาะกุมกันก็แย้มยิ้มเล็กน้อย
เยี่ยนถิงเดินเข้ามาหา พินิจเซี่ยฟางหวาก่อนแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินมาข้างฉินเจิงแล้วยกมือโอบไหล่เขา “ตอนเด็กข้ายอมรับเจ้า ตอนนั้นก็ยังยอมรับอยู่ดี เจ้านี่นะ หลายวันนี้พาฟางหวาไปหลบอยู่ที่ใดมา แม้แต่พี่น้องก็มิบอกสักคำ”
“ตอนนี้ไม่ว่างคุยกับเจ้า ตอนค่ำเจอกันที่ไหลฝูโหลว” ฉินเจิงปัดมือเขาออก
“รีบกลับจวนถึงเพียงนี้ คิดถึงเรือนลั่วเหมยของเจ้าแล้วรึ” เยี่ยนถิงแค่นหัวเราะ
ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ
เยี่ยนถิงเดินอ้อมมาอีกข้าง มองเซี่ยฟางหวา “เขาบอกว่าตอนค่ำเจอกันที่ไหลฝูโหลว เจ้าก็ไปด้วยสิ”
ฉินเจิงโอบเซี่ยฟางหวา สลับตำแหน่งกับนางเพื่อกันเยี่ยนถิงออก เอ่ยขึ้นว่า “นางไม่ว่าง”
“ไฉนถึงต้องกันข้าเหมือนหมาป่า อย่างไรภรรยาของพี่น้องก็มิอาจรังแกได้ เจ้าวางใจเถอะ ข้าตัดใจไปตั้งนานแล้ว ไม่แย่งนางไปจากเจ้าหรอก” เยี่ยนถิงกลอกตา
“ถึงแย่งก็แย่งมิได้” ฉินเจิงบอก
“แล้วเจ้ายังกลัวสิ่งใด” เยี่ยนถิงถลึงตาใส่
“นางร่างกายไม่แข็งแรง” ฉินเจิงตอบ
“เช่นนี้ ไปไหลฝูโหลวคงไม่น่าสนุกเท่าไรนัก ตอนค่ำไปเรือนลั่วเหมยของเจ้าดีกว่า” เยี่ยนถิงโอบไหล่เขาอีกหน มองเซี่ยฟางหวาแล้วบอกกับนาง “ตกลงตามนี้แล้วกัน”
เซี่ยฟางหวายิ้ม มองฉินเจิงแวบหนึ่ง “ได้ ตอนค่ำข้าจะเตรียมสุราและกับแกล้มไว้ให้”
“คุยกับเจ้าย่อมง่ายกว่า” เยี่ยนถิงผละออกจากฉินเจิง หัวเราะเยาะใส่เขา “เจ้าเป็นถึงบุรุษ มีภรรยาแล้วก็ลืมพี่น้อง ยังมิสู้สตรี”
“พูดมากไร้สาระ หลายวันนี้เจ้าคงยังไม่เหนื่อยสินะ” ฉินเจิงมองค้อนเยี่ยนถิง
“จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” เยี่ยนถิงทุบบ่า หันหน้าไปยังหลี่มู่ชิง “เจ้าถามเขาดูสิ เราสองคนใกล้จะกลายเป็นสุนัขที่ถูกฉินอวี้เรียกใช้แล้ว”
“เอ่ยชื่อฝ่าบาทตรงนี้ หากเผยแพร่ออกไป สำนักผู้ตรวจการคงมาสอบเจ้า” หลี่มู่ชิงหลุดยิ้ม
“พวกเขายังเห็นแก่ข้าที่อุทิศตนรับใช้ฝ่าบาท กล้าก็ลอง” เยี่ยนถิงแค่นเสียงในลำคอ
“เขาได้ยินว่าพวกเจ้ากลับมาแล้ว จึงลากข้าตามไปที่จวนอิงชินอ๋อง หลังไปถึงก็ทราบว่าพวกเจ้าเข้าวังไปแล้ว จึงตามมาที่วังหลวงอีกรอบ” หลี่มู่ชิงยิ้มกล่าวกับฉินเจิงและเซี่ยฟางหวา “หลายวันนี้เหนื่อยอย่างยิ่ง พวกเจ้ากลับมา พวกเราก็คงผ่อนคลายลง”
“เรื่องยุ่งยากที่อดีตฮ่องเต้ทรงทิ้งไว้ ฮ่องเต้องค์ใหม่ราชาภิเษก พวกเจ้าเพิ่งเข้าราชสำนัก เรื่องยุ่งเหยิงมากมายเหล่านี้ ไม่ว่าใครก็มิอาจผ่อนคลายได้” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว “ตอนนี้พวกเรากลับมาย่อมแบ่งเบาได้บ้าง”
“สำหรับเจ้าแล้ว สุขภาพสำคัญที่สุด” หลี่มู่ชิงบอก
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินเจิงโบกมือไล่ทั้งสอง ก่อนจูงนางเดินไปยังรถม้า “เรือนลั่วเหมยก็เรือนลั่วเหมย ตอนค่ำพวกเจ้ามากันเองแล้วกัน”
“ได้” เยี่ยนถิงกับหลี่มู่ชิงเห็นเขาอนุญาตแล้ว ก็พยักหน้ารับพร้อมกัน
ฉินเจิงจูงเซี่ยฟางหวาไปขึ้นรถม้า เมื่อม่านปิดลง คนขับก็บังคับรถม้ากลับจวนอิงชินอ๋อง
หลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงมองส่งรถม้าของทั้งคู่เลี้ยวออกจากถนน เมื่อแล่นออกไปจนไม่เห็นเงาแล้ว เยี่ยนถิงก็ยิ้มออกมาแล้วกล่าวกับหลี่มู่ชิง “เจ้าว่าเป็นวาสนาที่เขาสะสมมากี่ชาติกัน”
“เจ้าหมายถึงใคร พี่ฉินเจิงหรือฟางหวา” หลี่มู่ชิงละสายตากลับมาแล้วยิ้มถาม
เยี่ยนถิงชะงัก “แน่นอนว่าหมายถึงฉินเจิง เกี่ยวกับฟางหวาตรงไหน”
หลี่มู่ชิงยิ้มพลางส่ายหน้า “คนสองคนได้อยู่ร่วมกัน มีวาสนาต่อกันลึกซึ้ง ต่อให้ยากลำบากเท่าไรก็มิอาจแยกจากกันได้ ดูมิใช่เป็นวาสนาที่สะสมมาแค่คนๆ เดียว”
“มีเหตุผล” เยี่ยนถิงเบะปาก
“ไปเถอะ ยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมาก รีบทำให้เสร็จวันนี้ จะได้รีบไปที่เรือนลั่วเหมย” หลี่มู่ชิงบอก
เยี่ยนถิงสูดหายใจเข้าเต็มปอด “คิดถึงเมื่อก่อนที่พวกเราเล่นสนุกได้อย่างสบายใจ ตอนนี้แม้แต่เวลาจะกินข้าวยังต้องเจียดเวลามา นี่ช่าง…”
“ตอนนี้เจ้าคงรู้แล้วว่าพวกบิดาล้วนมิง่าย ตอนนั้นพวกเขาคอยประคองราชสำนัก ปล่อยให้เราเล่นสนุกได้ตามอำเภอใจ ตอนนี้พวกเขาประคองไม่ไหวแล้ว ถ้าพวกเราไม่ทำ ใครจะทำเล่า” หลี่มู่ชิงกล่าว
เยี่ยนถิงนวดหน้าผากด้วยความปวดหัว ก่อนจะโพล่งถามขึ้น “ฟังว่าน้องสาวเจ้าจะออกบวช จริงรึ”
หลี่มู่ชิงชะงักเท้าไปครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมลง “เป็นความจริง”
“ไม่จริงน่า นางยังดีๆ อยู่ เป็นอะไรถึงคิดจะออกบวชได้” เยี่ยนถิงเบิกตากว้าง
“นางมีนิสัยแข็งกร้าว ยอมขาดดีกว่าจะไปถลุงเล่น นางชอบพี่ฉินเจิงมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้หมดหวังกับเขาแล้ว จึงคิดที่จะตัดขาดจากกิเลสเพื่อละทางโลก” หลี่มู่ชิงถอนหายใจออกมา
“หลูเสวี่ยอิ๋ง น้องสาวข้า ยังมีสตรีอีกมากน้อยในเมืองล้วนชอบเขา แต่แล้วอย่างไรเล่า ตอนนี้แต่ละคนมิใช่ตาสว่างแล้วหรือ ไฉนนางถึงยังดึงดัน คิดจะออกบวชนั้นพ่อเจ้ายินยอมแล้วหรือ” เยี่ยนถิงทอดถอนใจ
“ความจริงตอนที่อดีตฮ่องเต้มีเจตนาอยากจับคู่จวนเสนาบดีฝ่ายขวากับจวนอิงชินอ๋อง พ่อข้าก็อยากให้งานสมรสครั้งนี้สำเร็จเช่นกัน จึงถือโอกาสตอนที่พี่ฉินเจิงไปมอบของขวัญอวยพรปีใหม่ที่จวนถามไถ่ความคิดของเขาดู ตอนนั้นเขาปฏิเสธท่านพ่อชัดเจน ต่อมาเขาก็บังคับแต่งงานกับฟางหวาที่ลานหลิงเชวี่ย หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะแต่งกับฟางหวา เรื่องพวกนี้เจ้าก็รู้อยู่แล้ว” หลี่มู่ชิงบอก
“ตอนนั้นข้ายังอยู่ในเมือง ย่อมทราบดี” เยี่ยนถิงพยักหน้า
“ตอนนี้ที่ปลูกฝังให้นางมีนิสัยดื้อรั้นแบบนี้ นึกดูแล้วท่านพ่อก็มีความผิดเช่นกัน หากเขามิได้ตามใจนางตั้งแต่แรก คิดว่าจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับจวนอิงชินอ๋องจะเกี่ยวดองกันได้ ปล่อยให้นางชอบพี่ฉินเจิงตามอำเภอใจ ยามนี้คงไม่ถึงกับจัดความรู้สึกมิได้ ตอนนี้ไม่ว่าจะท่านพ่อ หรือท่านแม่ หรือแม้แต่ข้าเอง ก็มิอาจห้ามความคิดที่นางจะออกบวชได้” หลี่มู่ชิงถอนหายใจออกมา
“แม่เจ้าชอบสวดมนต์เป็นงานอดิเรก ตอนนี้ก็สบโอกาสถวายบุตรีใส่พานอุทิศแก่พุทธศาสนาแล้ว”
เยี่ยนถิงกะพริบตาปริบ
หลี่มู่ชิงนวดหว่างคิ้ว กล่าวอย่างจนใจ “มือของท่านแม่เปื้อนเลือดเพราะเรือนหลังมาหลายปีแล้ว ที่จุดธูปสวดมนต์ทุกวันก็เพื่อสร้างความสงบใจ ยามนี้ข้าเห็นนางซีดเซียวขึ้นทุกวัน เสียใจภายหลังเป็นอย่างมาก ต่อให้ทราบว่าอนุของท่านพ่อคนใดตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก นางก็ไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว”
เยี่ยนถิงแสยะยิ้มทันใด “เสนาบดีฝ่ายขวายิ่งมีอายุยิ่งแข็งแรง”
“นี่เป็นผลของการมิอาจได้ครองคู่กับสตรีผู้เป็นที่รัก ตลอดชีวิตไม่ว่าจะมีตำแหน่งราชการสูงเท่าไร แต่เมื่อกลับบ้านมาแล้วก็ยังคงเงียบเหงาอ้างว้าง อนุภรรยาก็เป็นเพียงแค่ของเล่นเท่านั้น” หลี่มู่ชิงหลุดยิ้ม
“บิดาเจ้าเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง ที่ผ่านมาใช่มิทราบว่าแม่เจ้าทำอันใดไปบ้าง” เยี่ยนถิงกลอกตา
“เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร แค่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เท่านั้นเอง” หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ
“แม่เจ้ารักน้องสาวเจ้าเสมือนแก้วตาดวงใจ หากนางออกบวช แม่เจ้ามีหรือจะไม่ตามนางไปออกบวชด้วย” เยี่ยนถิงกล่าวอีก
“ตั้งแต่โบราณกล่าวกันว่าจะแต่งภรรยาต้องแต่งกับคนที่มีคุณธรรม คนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังในเมืองหลวงหนานฉินแห่งนี้ล้วนพูดกันว่าฮูหยินจวนเสนาบดีฝ่ายขวามีคุณธรรมใจกว้าง เรือนหลังในจวนเสนาบดีฝ่ายขวาอยู่กันอย่างปรองดอง ภรรยาหลวงมีคุณธรรม อนุภรรยาก็อ่อนน้อมถ่อมตน ทว่าจนป่านนี้ บ้านหลังนั้นแม้แต่ข้าเองยังไม่อยากกลับ ไม่เหมือนจวนหย่งคังโหวในตอนนี้ และยิ่งมิสู้แม่เจ้าที่คนกล่าวขานกันว่าเป็นภรรยาผู้เ**้ยมโหด แต่สุดท้ายแล้วเรือนหลังสะอาด ไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น” หลี่มู่ชิงเริ่มกระวนกระวายใจ
เยี่ยนถิงหัวเราะร่า “แต่ละครอบครัวล้วนมีจุดที่ยากลำบาก เมื่อก่อนเวลาข้ากระวนกระวายใจ พวกเจ้าแต่ละคนมองดูอย่างสนุกสนาน ตอนนี้ถึงตาเจ้าบ้างแล้ว” พูดจบ เขาก็ตบบ่าปลอบหลี่มู่ชิง “เจ้าก็หนีออกจากบ้านบ้างสิ”
หลี่มู่ชิงส่ายหน้า “หากข้าหนีออกจากบ้านไปแบบเจ้า แม่ข้าต้องเสียสติแน่นอน แค่ข้าออกจากเมืองไประยะหนึ่ง นางก็ร้อนใจจนผมขาวเพียงเพราะรอข้ากลับมา ยิ่งไปกว่านั้น ความคิดเจ้าก็มิใช่ความคิดที่ดีนัก หากฝ่าบาททรงทราบว่าเจ้ายุยงข้าหนีออกจากบ้าน เกรงว่างานบนบ่าเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว”
เยี่ยนถิงฟังแล้วก็เอ่ยขึ้นทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด เจ้าอยู่ในเมืองต่อไปแล้วกัน” พูดจบ ดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา พร้อมเสนอความเห็นอีกรอบ “พูดตามตรง เจ้าย้ายออกจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ไปสร้างจวนอยู่อย่างอิสระก็พอแล้ว เมื่อตามองไม่เห็นก็ไม่กระวนกระวายใจ”
“ค่อยว่ากันเถิด ตอนนี้ทั้งท่านพ่อกับท่านแม่ล้วนฝากความหวังให้ข้าช่วยปลอบใจนาง มีหรือจะยอมปล่อยข้า ไหนเลยจะรู้ว่าข้าเองก็คิดไม่ออกแล้วเช่นกัน นางคิดออกบวช ข้ากลัวว่าจะเป็นการบีบบังคับ นางตัดสินใจแน่วแน่ไปแล้ว เช่นนั้นมิสู้ให้นางออกบวชไปจริงๆ” หลี่มู่ชิงยิ้ม
เยี่ยนถิงฟังแล้วก็ตบบ่าหลี่มู่ชิง “หันใบเรือตามลมก็มิใช่เรื่องดีอันใด ตอนนี้ข้ามีน้องสาวที่ตาสว่างแล้ว ช่วงที่ข้าไม่อยู่ในเมืองหลวง นางราวกับเติบโตและเข้าใจทุกสิ่งมากขึ้น ประคับประคองจวนหย่งคังโหวได้ ลำบากนางแล้ว”
“ท่านหญิงน้อยเยี่ยนมีประสบการณ์แล้ว ย่อมใจเย็นและฉลาดมากขึ้น” หลี่มู่ชิงพยักหน้า
ทั้งสองคุยกันพลางก็ออกจากหน้าประตูวัง เดินไปยังสถานที่หารือราชการ
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวากลับมาถึงจวนอิงชินอ๋อง สี่ซุ่นรออยูหน้าจวนก่อนแล้ว เมื่อเห็นทั้งคู่กลับมาถึงก็รีบเข้ามารายงาน “พระชายาทราบว่าท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยไม่อยู่ทานอาหารที่วังหลวง จึงเตรียมมื้อกลางวันที่เรือนหลัก บอกบ่าวให้มารอตรงนี้ เมื่อท่านทั้งสองกลับมาแล้วให้ไปทานอาหารที่เรือนหลัก ท่านอ๋องก็กลับมาแล้วเช่นกันขอรับ”
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วเดินไปยังเรือนหลัก