จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 11-1 ลั่วเหมยรับแขก
ตอนที่ฉินเจิงกลับมา เซี่ยฟางหวาก็ตื่นแล้ว และกำลังนั่งสะลึมสะลือบนเตียงด้วยความเกียจคร้าน
ด้านนอกมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในเรือนลั่วเหมย พลางสนทนากันอย่างคึกครื้น ฝีเท้าค่อนข้างยุ่งเหยิง เซี่ยฟางหวามองไปนอกหน้าต่าง ถึงพบว่าฟ้ามืดลงแล้ว นางหลับไปเกินครึ่งวัน ชั่วเวลานั้นความงัวเงียก็อันตรธานหายไปทันที
ซื่อฮว่าเดินเข้ามาในห้อง แหวกม่านประตูพลางเอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“ตื่นแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ก่อนลงจากเตียง “ยามใดแล้ว”
“ยามโหย่ว*[1]สามเค่อ**[2]แล้วเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าเดินมาริมเตียง ยื่นมือประคองนาง “ท่านหลับไปครึ่งวันเต็ม”
“ไฉนถึงหลับไปนานขนาดนี้” เซี่ยฟางหวาไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง
“ท่านระหกระเหินกลับมาพร้อมท่านอ๋องน้อย และไปวังหลวงอีกรอบ ย่อมต้องเหนื่อยล้าเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าช่วยนางจัดเสื้อคลุมตัวนอก แล้วกล่าวเสียงเบา “ตอนบ่ายพระชายามาหารอบหนึ่ง ทราบว่าท่านอ๋องน้อยชวนเหล่าคุณชายมาดื่มสุราที่เรือนลั่วเหมย จึงถามดูว่าต้องให้ครัวใหญ่เตรียมเผื่อหรือไม่ ข้าบอกพระชายาว่าหลินชีเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว พระชายาจึงวางน้ำแกงที่ตุ๋นให้ท่านไว้ แล้วก็กลับไปเจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวานวดศีรษะ “ท่านอ๋องน้อยพร้อมแขกกลับมาแล้ว เจ้ารีบนำน้ำชาไปต้อนรับด้านหน้า”
“มีพวกซื่อม่ออยู่ด้วย ท่านวางใจเถิด มิกล้าเพิกเฉยต่อคุณชายทุกท่านแน่นอนเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงทุ้มต่ำ
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ทั้งสองพูดคุยพลาง ฉินเจิงก็นำคนเข้ามาในห้องรับรองด้านนอก และทิ้งพวกหลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงไว้ตรงนั้น ส่วนตนเองก็เดินทะลุห้องชั้นกลางมายังห้องชั้นใน เห็นท่าทางเพิ่งตื่นนอนของเซี่ยฟางหวาก็หลุดยิ้ม “เจ้านี่นอนเก่งนัก”
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา จนใจอยู่บ้าง “เดิมตั้งใจว่าจะงีบแค่ครู่เดียว ไม่คิดว่าจะหลับไปถึงครึ่งวัน”
ฉินเจิงเดินมาเบื้องหน้า โอบกายนางแล้วกระซิบข้างหู “เจ้าหลับไปเกินครึ่งวันก็ดี คืนนี้จะได้ไม่ต้องนอนแล้ว”
เซี่ยฟางหวาหน้าแดง ถลึงตามองเขาด้วยความโกรธระคนเขินอาย
“สภาพเจ้าตอนนี้อย่าออกไปเลย อยู่ในห้องดีกว่า” ฉินเจิงเหลือบมองนาง
เซี่ยฟางหวามองเขา ทั้งโมโหทั้งยิ้มขำ “แขกมาเยือนถึงที่ ข้าที่เป็นนายหญิงไม่ออกไปแล้ว จะไม่เป็นการเพิกเฉยต่อแขกหรือ”
“นายหญิง…” ฉินเจิงพึมพำคำนี้ติดริมฝีปาก ก่อนระบายยิ้มลึกซึ้ง “เยี่ยนหลานได้ยินว่าเยี่ยนถิงจะมา จึงตามมาด้วยเช่นกัน ประเดี๋ยวก็มาถึงแล้ว เจ้าต้อนรับแค่นางก็พอ นายหญิงต้อนรับเฉพาะแขกผู้หญิงก็พอแล้ว ส่วนแขกผู้ชายให้ข้าซึ่งเป็นเจ้านายต้อนรับเอง”
เซี่ยฟางหวาหัวเราะเสียงแผ่ว ยกมือทุบเขา “เช่นนั้นเจ้ารีบออกไป อย่าทิ้งแขกของเจ้าไว้ในห้องรับแขก”
ฉินเจิงก้มหน้าจุมพิตลงบนริมฝีปากนางคำหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินออกไป
เขาเพิ่งออกมาถึงห้องรับรอง เฉิงหมิงเห็นเขาแล้วก็ตะโกนขึ้น “นี่ พี่ชาย เจ้ามิได้พบภรรยานานเท่าไรแล้ว ทิ้งพวกเราไว้ตรงนี้แล้วก็รีบเข้าไปด้านใน พวกเราคิดว่าเจ้าจะปล่อยเราไว้ตรงนี้ แล้วไม่ออกมาอีกแล้ว”
“ถูกต้อง” ซ่งฟางสมทบ
“ถึงปล่อยพวกเจ้าไว้แล้วอย่างไร ภรรยาที่มิง่ายกว่าข้าจะตามกลับมา ย่อมต้องกอบกุมในฝ่ามือ”
ฉินเจิงเลิกคิ้ว
เฉิงหมิงชะงักงัน
ซ่งฟางกระแอมขึ้น ล้อเล่นว่า “ที่พูดมาก็มีเหตุผล พี่สะใภ้เล่า ไฉนถึงไม่ออกมาด้วย มิได้พบนางตั้งหลายวันแล้ว พวกเราก็คิดถึงนางเช่นกัน”
ฉินเจิงตวัดฝ่ามือสร้างความหวาดกลัวแก่ซ่งฟาง “กลับไปคิดถึงภรรยาเจ้านู้น”
“ข้ายังไม่มีภรรยา” ซ่งฟางตอบ
“วันหลังข้าจะเตือนท่านลุงซ่งกับท่านป้า ให้รีบหาภรรยาให้เจ้าแต่งโดยเร็ว” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเย็น
“อภัยให้น้องด้วยเถิด ท่านพ่อชอบบุตรีบ้านท่านป้า อยากให้ลูกพี่ลูกน้องคนโตมาเป็นลูกสะใภ้ ส่วนท่านแม่ชอบบุตรีคนรองของบ้านท่านน้า อยากให้ลูกพี่ลูกน้องคนรองเข้ามาในบ้าน ด้วยเหตุนี้ในบ้านจึงทะเลาะกันมาครึ่งปีแล้ว ด้วยสถานการณ์ในหนานฉินตอนนี้ ทำให้ในบ้านสงบลงหลายวันเพราะสถานการณ์ตึงเครียด เจ้าอย่าได้ไปเตือนความจำพวกเขา” ซ่งฟางอ้อนวอนทันใด
“แต่งเข้ามาทั้งคู่ก็สิ้นเรื่อง” ฉินเจิงแค่นเสียงเย็นชา
ซ่งฟางตัวสั่นไปครู่หนึ่ง กล่าวอย่างหวาดกลัว “คนใดเข้ามาข้าล้วนสุดจะทน มิอาจมีความสุขได้อีก”
“เช่นนั้นเจ้าก็ปิดปากให้สนิท อย่าได้พูดจาเหลวไหลอีก ภรรยาของข้าก็เป็นอย่างที่เจ้าคิดเช่นกัน”
ฉินเจิงชำเลืองมอง
ซ่งฟางยิ่งขอความเมตตา ร้องไห้หรือยิ้มไม่ออก “นี่มิใช่แค่ล้อเล่นหรอกหรือ พี่สะใภ้เป็นสตรีซึ่งหาได้ยาก เจ้ากล้าแย่งนางออกมาจากวังหลวง พวกเราตรงนี้ใครบ้างจะคิดเช่นนั้น”
“รู้แล้วก็ดี” ฉินเจิงยกน้ำชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง
ฉินชิงมองไปด้านในแวบหนึ่ง “พี่ชายเจิง พี่ฟางหวาเล่า เจ้าคงมิให้นางไม่ออกมาจริงๆ หรอกกระมัง ข้าเองก็มิได้พบนางหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บนางรักษาถึงไหนแล้ว ตอนข้ามา ไท่เฟยฝากข้ามาถามไถ่ด้วย”
“นางเพิ่งตื่น ดีขึ้นมากแล้ว” ฉินเจิงมองฉินชิง “ได้ยินว่าไท่เฟยก็มองหาคู่ครองให้เจ้าแล้ว”
ฉินชิงทำหน้าสลด แล้วพยักหน้า
“เจ้าไม่ชอบบุตรีคนโตของเรือนหก เพราะชอบบุตรีคนรองใช่หรือไม่” ฉินเจิงมองเขา
ฉินชิงชะงัก เบิกตากว้างมองฉินเจิง
“ที่แท้เจ้าไม่ชอบเซี่ยซี แต่ชอบเซี่ยอีนี่เอง” เยี่ยนถิงที่อยู่ด้านข้างเข้าใจโดยพลัน
ฉินชิงหน้าแดง
เฉิงหมิง ซ่งฟาง หวางอู๋ และเจิ้งอี้ต่างทอดถอนใจ
“พี่ชายเจิง เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไร” ฉินชิงตกใจเป็นนาน ก่อนกระซิบถามด้วยหน้าแดงระเรื่อ
ฉินเจิงหัวเราะ ก่อนตอบอย่างเกียจคร้าน “เพราะความคิดของเจ้านั่นแหละ น่าเสียดายที่ไท่เฟยฉลาดเฉียบแหลมมาทั้งชีวิต แต่นึกไม่ถึงว่าจะมองไม่ออก”
ฉินชิงอึ้งจนพูดไม่ออก
เยี่ยนถิงพลันปรบมือขึ้น “นี่น่าสนใจแล้ว เซี่ยซีชอบเจ้า ฟังว่าชอบจนกินข้าวมิได้ ตอนนี้ภายในเรือนหกเลี่ยงการเอ่ยถึงชื่อของเจ้า ระมัดระวังอย่างยิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็แอบเสียใจที่ไม่ควรร่วมกันส่งเสริมกับหลินไท่เฟย ทำให้เซี่ยซีเกิดความรู้สึกแบบนั้น ส่วนเซี่ยอี…เท่าที่ข้ารู้มา นางมิได้มีใจให้เจ้ากระมัง”
ฉินชิงพยักหน้าแดงๆ ตอบ
“เจ้าไปชอบนางได้อย่างไร” เยี่ยนถิงสงสัย
“เรื่องนี้ข้ารู้ เซี่ยอีมีนิสัยร่าเริง แฝงด้วยบุคลิกน่านับถืออย่างบุตรีตระกูลเซี่ยพึงมี แม้ดูแล้วไม่คล้ายเป็นบุตรีตระกูลใหญ่ แต่หากเทียบกันแล้ว ต่อให้มีเซี่ยซีสองคนก็ยังเทียบเซี่ยอีคนเดียวมิได้” เฉิงหมิงตอบ
“คล้ายเป็นเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าเซี่ยซีมีความสัมพันธ์อันดีกับพี่สะใภ้มาก” ซ่งฟางมองฉินเจิง
ฉินเจิงตอบ “อืม” แล้วขยายความ “คงดีกระมัง ในบรรดาบุตรีตระกูลเซี่ย นางค่อนข้างชอบเซี่ยอี”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกัน เซี่ยฟางหวาก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากด้านใน
ทันทีที่นางเดินออกมา ทุกคนก็เงียบลงโดยพลันแล้วมองมายังนาง
สตรีผู้สุภาพอ่อนโยน งดงามเพียบพร้อม อากัปกิริยาบอบบาง แลดูบริสุทธิ์อย่างเรียบง่าย ทั่วหนานฉินกระทั่งใต้หล้ามิอาจหาคนที่สองพบอีกแล้ว ต่อให้พบสตรีซึ่งมีรูปลักษณ์ยอดเยี่ยมกว่านาง แต่ก็มิอาจหาผู้ที่มีฐานะสูงส่งหาใดเปรียบมาจากเนื้อแท้ได้เหมือนนางอีกแล้ว
ทุกคนตกอยู่ในความสงัด หลี่มู่ชิงยิ้มบาง เป็นฝ่ายเอ่ยทักเซี่ยฟางหวาก่อน “ทุกคนพูดกันว่าอยากพบเจ้า คิดว่าพี่ฉินเจิงจะซ่อนเจ้าไว้มิให้ออกมาเสียอีก”
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็หลุดยิ้ม มองฉินเจิงแวบหนึ่ง พบว่าเขาค่อนข้างไม่พอใจ นางจึงยิ้มกล่าว “อาการบาดเจ็บดีขึ้นเยอะแล้ว ออกมาเดินเหินบ้างจะส่งผลกระทบที่ใดกัน เป็นเขาที่จับตามองอาการบาดเจ็บข้าเกินเหตุ”
“ร่างกายเจ้าเดิมทีไม่แข็งแรง ย่อมต้องจับตามองเป็นธรรมดา” หลี่มู่ชิงยิ้มขำ
เซี่ยฟางหวาหันไปถามเยี่ยนถิง “เยี่ยนหลานบอกจะมามิใช่หรือ ไฉนถึงยังไม่มาอีก”
“ตอนข้าออกมานางกำลังแต่งตัวอยู่ บอกว่ามิได้ออกมาข้างนอกหลายวันแล้ว มิอาจออกมาทั้งที่มอมแมมได้ มิอย่างนั้นคงไม่กล้าพบใคร อีกครู่หนึ่งคงมาแล้ว” เยี่ยนถิงโบกมือตอบ
“เพราะนางได้รับบาดเจ็บ คงอุดอู้อยู่ในจวนมาเดือนเศษแล้วกระมัง ด้วยนิสัยของนางย่อมต้องเบื่ออยู่แล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว “ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ข้าจะไปดูที่ครัวว่าเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง” พูดจบก็เดินไปยังห้องครัว
เฉิงหมิงตบบ่าฉินเจิง “มิน่าเจ้าถึงไม่ยอมปล่อยมือ เป็นใครก็ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน”
เยี่ยนถิงแค่นเสียงในลำคอ “แค่ไม่ปล่อยมีจะมีประโยชน์ใด การจะแย่งตัวมาได้ต้องผูกมัดหัวใจให้อยู่หมัด แค่มีความสามารถอย่างเดียวทำอันใดได้”
ฉินชิงขยับเข้าใกล้ฉินเจิงทันใด กระตุกแขนเสื้อเขา “พี่ชายเจิง ช่วงนี้ไท่เฟยแทบจะมองหาสตรีที่อายุไล่เลี่ยกับข้าทั่วหนานฉินแล้ว ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องแล้วก็ช่วยข้าหน่อยสิ”
“จะแต่งกับเซี่ยอีเท่านั้นหรือ” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
ฉินชิงกัดริมฝีปาก พยักหน้าเชื่องช้า “ข้าชอบเซี่ยอี”
“เพราะเซี่ยซี เจ้าถึงไม่กล้าเอ่ยปากบอกหลินไท่เฟย” ฉินเจิงเลิกคิ้วอีก
“จะพูดได้อย่างไรเล่า เพราะเรื่องเซี่ยซี เรือนหกคงไม่ต้อนรับข้าตั้งนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยอีก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซี่ยซี…” ฉินชิงทำหน้าขมขื่น เอ่ยขึ้นอย่างกลุ้มใจ
“คงมีแต่เจ้า บุตรีในหนานฉินมีมากน้อย ไฉนคนที่เจ้าชอบถึงกลายเป็นเซี่ยอีไปได้” เฉิงหมิงมองเขา “ข้ากลุ้มใจแทนเจ้าได้เลย หากเจ้าบอกหลินไท่เฟย นางคงกลุ้มใจมากเช่นกัน”
“หากข้าไม่พูดถึง เจ้าคิดจะทำเช่นไร” ฉินเจิงถาม
ฉินชิงกัดริมฝีปาก “หากไท่เฟยบังคับ ข้าก็คงต้องบอกนางไปตามตรง” พูดจบก็กระตุกแขนเสื้อฉินเจิงอย่างอ้อนวอน “พี่ชายเจิง ช่วยข้าด้วย ข้ามิกล้าบอกไท่เฟยมาโดยตลอด กลัวว่าไท่เฟยจะรับไม่ไหว”
“กลัวไท่เฟยรับไม่ไหวเจ้าจึงไม่กล้าพูดรึ ดูท่าคงมิได้ชอบขนาดนั้น” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
ฉินชิงส่ายหน้า “ข้าชอบนางจริงๆ แต่ไท่เฟยอายุมากแล้ว และยังดูแลข้ามาโดยตลอด ข้ามิอาจกลั้นใจให้ไท่เฟยช่วยเรื่องการสมรสของข้าแล้ว…ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เดิมทีก็ทำยาก จะให้ไท่เฟยบากหน้าไปเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเรือนหกได้อย่างไร”
“ข้าก็ไม่มีวิธีเหมือนกัน” ฉินเจิงผายมืออย่างช่วยไม่ได้
“เจ้าต้องมีวิธีสิ” ฉินชิงเขย่าแขนเสื้อเขา
“เจ้าเป็นเด็กหรืออย่างไร กำลังแย่งของเล่นอยู่รึ พอไม่ได้ตามต้องการก็ออดอ้อนขอร้องคนอื่น”
ฉินเจิงเห็นการกระทำของเขาแล้วก็เลิกคิ้ว
ฉินชิงหน้าแดง ปล่อยมือทันที
ฉินเจิงมองเขา “ข้าแนะนำได้สองอย่าง อย่างแรกไปบอกความจริงกับหลินไท่เฟย แล้วขอให้ไท่เฟยช่วยพูดกับเรือนหก อย่างที่สองคือไปยังจวนเรือนหกเอง สารภาพกับฮูหยินหมิงโดยตรง แล้วสู่ขอเซี่ยอี”
ฉินชิงทำหน้าอมทุกข์
“ถ้าไม่กล้าก็ไปแต่งกับคนอื่น อาศัยฐานะองค์ชายแปดของเจ้า เหมือนกับที่ไท่เฟยจัดการเรื่องแต่งงานให้เจ้าตอนนี้ คัดเลือกคนที่เหมาะสมมาจากทั่วเมืองหลวง แต่งเข้ามาคนหนึ่ง ต้องเป็นสตรีที่อ่อนโยนมีความรู้แน่นอน” ฉินเจิงบอก
ฉินชิงกลุ้มใจจนไม่ส่งเสียงใดอีก
[1] *ยามโหย่ว ช่วงเวลา 17:00 น. – 19:00 น.
[2] **สามเค่อ หนึ่งเค่อเท่ากับ 15 นาที ดังนั้นสามเค่อเท่ากับ 45 นาที