จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 11-2 ลั่วเหมยรับแขก
ฉินเจิงเลิกสนใจเขา หันไปกล่าวกับชุยอี้จือแทน “เฟิงหลิงของเจ้าเล่า นำมาช่วยข้าทำงานหน่อย”
ชุยอี้จือได้ยินเช่นนั้นก็สะดุ้งโหยง “ท่านพี่ ครั้งก่อนข้าเกือบจะเสียเฟิงหลิงไปแล้ว หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าถูกผู้นำตระกูลชุยแห่งชิงเหอใช้กฎตระกูลซักถามจริงๆ”
“ตอนนี้ข้าอยู่ในเมืองหลวง ผู้นำตระกูลชุยแห่งชิงเหอรู้ว่าทำเพื่อกิจบ้านเมือง ถึงแม้เจ้าเสียเฟิงหลิงไปก็ไม่กล้าทำอันใดเจ้าหรอก เจ้ากลัวอะไร” ฉินเจิงชำเลืองมอง “ยิ่งไปกว่านั้น ทำงานส่งจดหมายเท่านั้น แค่ส่งจดหมายฉบับเดียว ไม่เกิดเรื่องใดขึ้นหรอก”
“เรื่องที่เจ้ารับปากข้าครั้งก่อนยังไม่เป็นผลเลย” ชุยอี้จือจนใจ
“ทำเรื่องนี้เสร็จแล้ว ก็เป็นไปตามที่สัญญากัน” ฉินเจิงต่อรอง “คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า สายเลือดในราชสำนักก็ต้องเปลี่ยนไปเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ย่อมได้ เจ้าจะส่งจดหมายหาใคร” ชุยอี้จือมองเขา “เจ้าก็รู้ความพิเศษของเฟิงหลิง จำต้องให้มันดมลมปราณของผู้นั้นได้”
“ลมปราณเป็นเรื่องง่าย เฟิงหลิงเป็นนกที่ฉลาด ทุกคนที่มันเคยติดต่อด้วยล้วนคุ้นเคยกับลมปราณของเขา” ฉินเจิงตอบ “เซี่ยอวิ๋นหลาน”
ชุยอี้จือมึนงง “พี่สะใภ้กับเซี่ยอวิ๋นหลานสนิทกัน นางไม่มีวิธีการตามหาเขาหรือ หรือว่า…” หยุดชั่วครู่ เขามองฉินเจิง “เจ้าจะปิดบังพี่สะใภ้เพื่อตามหาเขา”
“มิได้ปิดบัง ตอนนี้นางเองก็ติดต่อเขาลำบากเช่นกัน” ฉินเจิงส่ายหน้า
ชุยอี้จือไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่าบางเรื่องไม่ควรถาม จึงพยักหน้ารับ “จะใช้เมื่อใด”
“ตอนนี้” ฉินเจิงลุกขึ้น “เจ้าตามข้าไปที่ห้องหนังสือ”
ชุยอี้จือพยักหน้าแล้วลุกขึ้นตามฉินเจิง ทั้งสองนึกจะไปก็ไป ทิ้งคนอื่นเอาไว้แล้วไปยังห้องหนังสือแทน
เยี่ยนถิงเห็นทั้งสองออกไปก็เลิกคิ้วถามหลี่มู่ชิง “เขาหาเซี่ยอวิ๋นหลานไปทำไม ส่งจดหมายใดให้เขา”
หลี่มู่ชิงไตร่ตรองพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ปีนี้หลายพื้นที่ในหนานฉินเกิดอุทกภัยใหญ่ ทำให้การเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิล่าช้า ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงแน่นอน อีกอย่างการระดมกำลังในสองแผ่นดินก็มีค่าใช้จ่ายภายในจำนวนมาก มิอาจเพิ่มภาระด้วยการเก็บภาษีจากประชาชนได้ จวนแหล่งธัญพืชได้รับการขนานนามว่าเป็นยุ้งฉางแห่งใต้หล้า ตอนนี้อำนาจทั้งหมดอยู่ในมือเซี่ยอวิ๋นหลาน ไม่หาเขาแล้วไปจะหาใคร”
เยี่ยนถิงขมวดคิ้ว ก่อนพยักหน้ารับ
คนที่เหลือในห้องดื่มน้ำชาพลางคุยเล่นกัน พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อทยอยยกอาหารจากครัวเล็กมาขึ้นโต๊ะ
“ข้าก็จะไปดูที่ครัวหน่อย” เยี่ยนถิงลุกขึ้นยืน
“เจ้าไปห้องครัวทำไม” เฉิงหมิงมองเขา
“ดูว่ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่” เยี่ยนถิงพูดพลางก็เดินไปยังห้องครัวเล็ก
เซี่ยฟางหวากำลังตรวจสอบอาหารที่หลินชีเตรียมไว้ภายในห้องครัว ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันมามอง พบว่าเป็นเยี่ยนถิงจึงยิ้มกล่าว “มาทำอะไรที่ห้องครัว”
เยี่ยนถิงพิงกรอบประตู สำรวจมองด้านในแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา “ตอนนี้ข้าก่อไฟเป็นแล้ว”
เซี่ยฟางหวานึกถึงตอนที่เยี่ยนถิงมาก่อไฟในห้องครัวครั้งแรก แต่ถูกฉินเจิงยั่วโทสะเข้าจนจมูกดำถ่านไปหมด เขาสาบานว่าจะไม่เข้าครัวอีกเลย นางยิ้มขำ “เรียนรู้มาจากเป่ยฉีรึ”
เยี่ยนถิงส่ายหน้า “ระหว่างทางไปเป่ยฉี เรียนมาจากเหยียนเฉิน”
“เหยียนเฉินทำเป็นหลายสิ่ง” เซี่ยฟางหวากระจ่างแจ้ง
“ใช่แล้ว ตอนนั้นข้ายังนึกอิจฉา คิดว่าเขากับฉินเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน ทำเป็นทุกสิ่ง มิใช่มนุษย์” เยี่ยนถิงผงกศีรษะ
เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม
“คนไหนคือผิ่นจู๋” เยี่ยนถิงพลันถามขึ้น
เซี่ยฟางหวาชะงัก
“คนที่ปลอมตัวเป็นเจ้าตลอดเวลาที่เจ้าไม่อยู่ในจวนจงหย่งโหวคนนั้น” เยี่ยนถิงบอก
เซี่ยฟางหวามองซ้ายแลขวาทันใด แต่ไม่พบเงาของผิ่นจู๋ จึงกล่าวกับซื่อฮว่า “ผิ่นจู๋ไปไหนแล้ว”
“กำลังช่วยตัดเย็บเสื้อผ้าให้ท่านเจ้าค่ะ ท่านผอมกว่าเมื่อก่อนมาก เวลาสวมเสื้อผ้าจึงค่อนข้างหลวมเกินไป” ซื่อฮว่าตอบ “ผิ่นจู๋บอกว่าถึงอย่างไรนางก็พอทำงานเย็บปักได้บ้าง ไหนๆ ก็ว่างอยู่ ในห้องครัวแคบเกินไป อยู่กันเยอะก็ช่วยอันใดมิได้ จึงไปเย็บเสื้อผ้าให้ท่านในห้องเจ้าค่ะ”
“ไปตามนางมา” เซี่ยฟางหวาบอก
ซื่อฮว่าพยักหน้า ก่อนรีบไปยังปีกเรือนตะวันตก
ไม่นานก็พาผิ่นจู๋มาที่ห้องครัวเล็ก
ผิ่นจู๋เดินมาจากระยะไกล รูปกายบอบบาง ดูแล้วอ่อนแอราวต้องลมมิได้ ให้ความรู้สึกเหมือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์ หากไม่มองใบหน้านั้นคล้ายเซี่ยฟางหวาอย่างมาก โดยเฉพาะเดิมทีนางเกิดมาในตระกูลเซี่ย แต่เป็นเด็กกำพร้าในตระกูลเซี่ยแห่งหนานหยาง เพราะมีความเกี่ยวข้องกับเซี่ยฟางหวาทางสายเลือด จึงมีใบหน้าละม้ายคล้ายกันหลายส่วน
นอกจากนี้ คงเป็นเพราะนางปลอมตัวเป็นเซี่ยฟางหวามาตั้งแต่เด็ก จำต้องผสมความเป็นตัวเองลงไปในฐานะของนาง ดังนั้นทุกอากัปกิริยาเคลื่อนไหว เรียกได้ว่าคล้ายบุตรีตระกูลใหญ่กว่าเซี่ยฟางหวาเสียอีก
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือ เพราะเซี่ยฟางหวาอยู่เขาไร้นามมาหลายปี เนื้อแท้จึงปลูกฝังนิสัยเย็นชาขึ้นมา ส่วนผิ่นจู๋สุภาพอ่อนโยน นุ่มนวลดุจสายน้ำ สลักความเพียบพร้อมลงในเนื้อแท้
เยี่ยนถิงมองผิ่นจู๋ แววตาวูบไหวเล็กน้อย “ได้ยินว่านางก็เกิดมาในตระกูลเซี่ย”
“เป็นสายแยกตระกูลเซี่ยแห่งหนานหยาง” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ในครอบครัวนางมีใครบ้างหรือไม่” เยี่ยนถิงถามอีก
“เป็นเด็กกำพร้าในตระกูลเซี่ยแห่งหนานหยาง” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
เยี่ยนถิงมองพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา “เจ้าช่วยแสดงความปรารถนาดี ยกนางให้ข้าเถอะ เป็นเช่นไร”
เซี่ยฟางหวาหันไปมองเยี่ยนถิง
เยี่ยนถิงมิได้มองนาง หากแต่มองไปยังเบื้องหน้า โครงหน้าด้านข้างที่ค่อนข้างหล่อเหล่านั้นแสดงออกถึงความหนักแน่น เม้มริมฝีปากแล้วกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ในใจข้ามีเซี่ยฟางหวาคนหนึ่ง แต่คนที่เห็นอยู่ในสายตาคือเซี่ยฟางหวาอีกคน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าล้วนลืมภาพสองเหตุการณ์นั้นไม่ลง เหตุการณ์แรกคือตอนที่เจ้าทำแผลให้ข้าในวันเกิดผู้เฒ่าโหว อีกเหตุการณ์คืออากัปกิริยาบอบบางพลิ้วตามสายลมเหมือนต้นหลิวเช่นนี้ สำหรับเจ้า ชาตินี้มิอาจได้ครองคู่ ชาติหน้าบางทีก็มิอาจทำได้เช่นกัน มิสู้ทำมันให้สำเร็จในชาตินี้”
เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยคำใด
เยี่ยนถิงหันมามอง พูดกับนางด้วยความจริงจัง “ข้าจะดูแลนางให้ดี”
เซี่ยฟางหวาลอบถอนหายใจออกมา มิได้รับปากและมิได้ปฏิเสธเช่นกัน เงียบลงพักหนึ่ง มองผิ่นจู๋ที่ค่อยๆ เดินมาแล้วเอ่ยขึ้น “นางแม้เป็นสาวใช้ของข้า แต่เรื่องแบบนี้ต้องถามความยินยอมจากนางเอง หากนางไม่ตกลง ข้ามิอาจรับปากเจ้าแทนนางได้”
“หากนางตกลงเล่า” เยี่ยนถิงถาม
เซี่ยฟางหวาตอบ “นั่นเป็นการตัดสินใจของนาง ข้าก็จะอนุญาต” หยุดชั่วครู่แล้วพูดขึ้นอีก “แต่มิใช่การส่งไปเฉยๆ บุตรีตระกูลเซี่ย แม้เป็นเด็กกำพร้าในตระกูลเซี่ย แต่ก็ต้องใช้เกี้ยวยกออกไป”