จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 12-1 แต่งงานออกเรือน
ต่อให้เป็นบุตรีกำพร้าในตระกูลเซี่ยสายแยก แต่การเกิดมาในตระกูลเซี่ย เดิมก็มีฐานะสูงศักดิ์
เยี่ยนถิงมองเซี่ยฟางหวา ผงกศีรษะเล็กน้อย “แน่นอน ข้าคิดไว้ก่อนแล้ว และเข้าใจดีมาก ต่อให้ข้าแต่งหญิงงามเป็นอนุอยู่ในเรือนหลังอีกหลายคน ก็มิสู้ผู้เป็นที่รักคนนั้น บุตรีกำพร้าของตระกูลเซี่ยแห่งหนานหยางก็มิใช่คนไม่มีฐานะ ย่อมมิอาจเอาเปรียบนางได้”
“นางแม้เกิดมาในตระกูลเซี่ย แต่บุตรีกำพร้าตระกูลเซี่ยแห่งหนานหยางแต่งกับท่านโหวน้อยเยี่ยนที่มีอนาคตหาที่สุดมิได้แห่งจวนหย่งคังโหวเช่นเจ้า ก็เป็นการเอาเปรียบเจ้าอยู่ดี” เซี่ยฟางหวาพูด “เจ้าต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อน”
“ขอแค่ข้าไม่รู้สึกเอาเปรียบก็พอ” เยี่ยนถิงมีแววตาสงบ “โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ยากจะหาผู้เป็นที่รักได้ ไม่ว่าคนมากน้อยวิจารณ์อย่างไร แต่พวกเขาก็มิใช่ปลา ไหนเลยจะรับรู้ถึงความสุขของปลา*[1]ได้”
“หย่งคังโหวกับฮูหยินเล่า เจ้าคุยกับพวกเขาแล้วหรือ” เซี่ยฟางหวามองเขา
“ตอนนี้พวกเขากลัวก็แต่ข้าจะครองตัวเป็นโสด” เยี่ยนถิงหัวเราะเสียงหนึ่ง
เซี่ยฟางหวาเงียบลง เห็นว่าผิ่นจู๋มาถึงแล้ว นางจึงพยักหน้า “เอาล่ะ ข้าจะลองถามนางดู แต่ผิ่นจู๋ก็มีความคิดเป็นของตัวเอง หรือบอกว่าบุตรีตระกูลเซี่ยล้วนมีความคิดเป็นของตัวเองก็ได้ นางจะตกลงหรือไม่นั้น ข้าตัดสินใจเองมิได้”
เยี่ยนถิงผงกศีรษะ
ผิ่นจู๋เดินเข้ามาใกล้ ตะโกนเรียกเสียงหนึ่ง “คุณหนู” จากนั้นก็ทำความเคารพเยี่ยนถิง “ท่านโหวน้อยเยี่ยน”
เยี่ยนถิงพยักหน้า มองนางแล้วส่งยิ้มให้
“คุณหนูเรียกหาข้าหรือ มีอันใดจะสั่งงานหรือไม่เจ้าคะ” ผิ่นจู๋มองไปยังเซี่ยฟางหวาด้วยความสงสัย
เซี่ยฟางหวาไตร่ตรองการใช้คำ กล่าวกับผิ่นจู๋ว่า “ปีนั้น ท่านโหวน้อยเยี่ยนเห็นเจ้าเป็นข้า ต่อมาจึงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมากมาย ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเป็นเจ้า จึงอยากสู่ขอเจ้า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ข้าคิดว่าไม่ควรเคร่งครัดต่อประเพณีดั้งเดิม จึงเรียกเจ้ามาหา หากเจ้ายินดี ตอบตกลงกับเขา ข้าก็จะอนุญาต”
ผิ่นจู๋สะดุ้งโหยง มองเยี่ยนถิงอย่างไม่อยากเชื่อ
เยี่ยนถิงมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าให้อย่างเชื่องช้า “พิธีสมรสตามประเพณี แปดคนยกเกี้ยว ข้ารับปากว่าชีวิตนี้จะแต่งเจ้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว ขอเพียงเจ้าตอบตกลง ข้าก็จะกลับไปบอกท่านพ่อท่านแม่ให้มาสู่ขอเจ้า”
ผิ่นจู๋ตกใจยิ่ง ถอยหลังก้าวหนึ่ง มองเยี่ยนถิงคล้ายไม่อยากเชื่อ
“ปีนั้นข้าไม่รู้ว่าเจ้าปลอมตัวเป็นนาง จึงไปจวนจงหย่งโหวบ่อยๆ ต่อให้มิได้พบหน้า เห็นเพียงเงาของเจ้า ข้าก็พอใจมากแล้ว ตอนนี้รู้ว่าเป็นเจ้า จึงอยากสู่ขอเจ้ามาเป็นภรรยา เจ้าคิดว่าอย่างไร” เยี่ยนถิงแย้มยิ้ม
ผิ่นจู๋ถอยหลังอีกก้าวหนึ่งราวกับตกใจอย่างสุดจะทน ก่อนดึงซื่อฮว่าที่อยู่ด้านข้างมาบังหน้าตน แล้วส่ายหน้าพัลวัน
“เจ้า…ไม่ตกลงหรือ” เยี่ยนถิงมองนาง
ผิ่นจู๋พยักหน้าทันที
เยี่ยนถิงก้าวขึ้นหน้า “เพราะเหตุใด เจ้าไม่ชอบข้าหรือ นี่ไม่เป็นไร พวกเรายังไม่เคยได้คบหาดูใจกัน ได้ลองคบหากันระยะหนึ่ง จะต้อง…”
“มิใช่เจ้าค่ะ ท่านโหวน้อยเยี่ยน บ่าวไม่เหมาะสมกับท่าน ท่านอย่าได้คิดเช่นนี้เลย” ผิ่นจู๋เอ่ยขัดจังหวะ กล่าวเสียงเบาว่า
เยี่ยนถิงหลุดยิ้ม “ข้าบอกว่าเจ้าเหมาะสมก็คือเหมาะสม เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล” พูดจบ ก็กล่าวเพิ่ม “ส่วนการเข้าจวนหย่งคังโหว บิดามารดาข้าเคยมีประสบการณ์ที่ข้าหนีออกจากบ้านแล้ว ตอนนี้มิได้ตั้งเงื่อนไขใดกับข้าอีก ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้เจ้าไม่ชินกับจวนหย่งคังโหวก็ไม่ต้องกังวล พวกเราค่อยออกไปอยู่ที่อื่นได้”
ผิ่นจู๋ส่ายหน้าทันใด “ท่านโหวน้อยเยี่ยน ท่านคงดื่มจนเมากระมัง”
“ข้าเพิ่งมาถึง ยังมิได้ดื่มสักจอก เจ้าวางใจได้ มิใช่คำพูดขณะเมาแน่นอน” เยี่ยนถิงส่ายหน้า
ผิ่นจู๋จับซื่อฮว่าไว้แน่น ส่ายหน้ากล่าว “ท่านโหวน้อยเยี่ยน ตั้งแต่ท่านโหวที่ยังคงเป็นซื่อจื่อในตอนนั้นพาบ่าวมาที่จวนจงหย่งโหว ตั้งแต่นั้นบ่าวก็รับปากว่าชีวิตนี้จะอยู่รับใช้คุณหนู ไม่ยอมจากไปไหน มิอาจตอบตกลงท่านได้”
“เรื่องนี้เจ้าก็วางใจเถอะ คุณหนูของเจ้ารับปากข้าแล้ว ขอเพียงเจ้าตกลงก็พอ” เยี่ยนถิงบอก
ผิ่นจู๋ตวัดตามองเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าให้นาง กล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “ท่านโหวน้อยเยี่ยนจริงใจอย่างมาก ข้ามิอาจปฏิเสธความหวังดีของเขาได้ หากพวกเจ้าสมรสกันจริงๆ ข้าก็ขัดขวางมิได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้ามิอาจอยู่ข้างกายข้าไปตลอดชีวิตได้ เดิมทีข้าตั้งใจว่าเมื่อหนานฉินสงบสุขลงแล้ว จะคืนอิสระให้แก่พวกเจ้า ต่างคนต่างแยกกันไปออกเรือน”
ผิ่นจู๋มีสีหน้าเปลี่ยนไป
ซื่อฮว่าที่อยู่ด้านข้างหน้าซีดขาวโดยพลัน คุกเข่าลงกับพื้นทันที “คุณหนู ท่านอย่าได้คิดเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ บ่าวเคยให้สัตย์สาบานไว้ว่าชีวิตนี้จะไม่ไปจากท่าน และไม่ออกเรือนกับผู้ใด”
“ความปรารถนาดีของท่านโหวน้อยเยี่ยนบ่าวรับไว้แล้ว แต่บ่าวก็จะอยู่ข้างกายคุณหนูไปตลอดชีวิตเช่นกัน มิขอออกเรือน” ผิ่นจู๋รีบคุกเข่าลงเช่นกัน
สองคนทางนี้คุกเข่า คนที่ลอบฟังบทสนทนาภายในครัวก็รีบเดินออกมาด้วย ซื่อม่อ ซื่อหลาน ซื่อหว่าน และพวกผิ่นเซวียนต่างคุกเข่าลงตรงหน้าเซี่ยฟางหวา “คุณหนู พวกเราก็มิขอออกเรือนเช่นกัน ท่านอย่าไล่พวกเราไปเลยเจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวามองทุกคนที่พากันออกมาคุกเข่าในพริบตา นวดหน้าผากอย่างจนใจ
เยี่ยนถิงเห็นแบบนี้ก็ค่อนข้างพูดไม่ออก จึงกล่าวกับพวกนาง “ข้าสู่ขอแค่ผิ่นจู๋ พวกเจ้าสบายใจได้ ข้ามิได้จะสู่ขอไปทั้งหมด ไม่ต้องหวาดกลัวขนาดนี้ก็ได้”
ผิ่นจู๋ฟังแล้วก็ส่ายหน้าทันที “ท่านโหวน้อยเยี่ยน บ่าวรู้ฐานะตัวเองดีว่ามิคู่ควรกับท่าน ท่านอย่าได้ล้อเล่นกับบ่าวตรงนี้เลยเจ้าค่ะ บ่าวมิอาจตอบตกลงกับท่านได้”
เยี่ยนถิงก้าวขึ้นหน้า ยื่นมือหมายคว้าตัวนาง
ผิ่นจู๋ดีดตัวหนีอย่างตอบสนองว่องไว ถอยกรูดไปหลายก้าว หนีเขาออกไปไกล
“เจ้ากลัวข้าทำไม ข้ามิได้จะกินเจ้าสักหน่อย” เยี่ยนถิงหลุดยิ้ม
ผิ่นจู๋มองเขาแวบหนึ่ง ก่อนหันหลังให้ จากนั้นก็เร้นกายหายเข้าไปในห้องทางปีกเรือนตะวันตก แล้วปิดประตูอย่างแน่นหนา
เยี่ยนถิงยกเท้าหมายตามไป ฉินเจิงกับชุยอี้จือมิทราบว่าออกมาจากห้องหนังสือตั้งแต่เมื่อไรก็มายังหน้าห้องครัว ยื่นมือกดบ่าเขาเอาไว้ เยี่ยนถิงที่ถูกขวางหยุดเท้า หันไปมองเขา
“เจ้าทำอันใดอยู่ ทำเรือนลั่วเหมยของข้ากลายเป็นไก่บินเตลิดสุนัขวิ่งพล่าน**[2]” ฉินเจิงขมวดคิ้วมอง
เยี่ยนถิงเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่งภรรยา”
ฉินเจิงแค่นหัวเราะ ชำเลืองมองเขา “แต่งภรรยาต้องมาแต่งถึงเรือนลั่วเหมยของข้าเลยรึ คนแบบไหนถูกตาต้องใจท่านโหวน้อยเยี่ยนแบบเจ้าเข้าแล้ว”
“ผิ่นจู๋” เยี่ยนถิงตอบ
ฉินเจิงหรี่ตาลง เหลือบมองเขา “เจ้าแน่ใจ”
“แน่นอน” เยี่ยนถิงพยักหน้า
ฉินเจิงตบบ่าเขา “เจ้าดูแลตัวเองให้ดีเถอะ” พูดจบก็เอ่ยถามเซี่ยฟางหวา “เจ้ารับปากเขาแล้วหรือ”
“ท่านโหวน้อยเยี่ยนแสดงความจริงใจ ข้ามิอาจปฏิเสธความหวังดีของเขาได้ จึงบอกว่าหากผิ่นจู๋ยินดี ข้าก็อนุญาต ไม่ขัดขวาง” เซี่ยฟางหวาตอบอย่างจนใจ
ฉินเจิงพยักหน้า ถามต่อว่า “อาหารเตรียมพร้อมหมดแล้วหรือ”
“เกือบแล้ว ยกเข้าไปข้างในแล้วส่วนหนึ่ง ยังเหลืออีกไม่กี่อย่าง หลินชีกำลังทำอยู่” เซี่ยฟางหวาตอบ
ฉินเจิงพยักหน้า แล้วเดินไปที่ห้อง
ครั้งนี้เยี่ยนถิงเป็นฝ่ายตามไปขวางเขา “นี่ เมื่อครู่เจ้าหมายความว่าอย่างไร อันใดที่บอกให้ข้าดูแลตัวเองให้ดี พูดมาให้ชัดเจน”
“เจ้าไม่เข้าใจจริงหรือ” ฉินเจิงมองเขา
“เข้าใจอันใด ข้ายอมรับว่ามิได้ฉลาดเหมือนเจ้า เจ้าบอกข้ามา” เยี่ยนถิงย่นหัวคิ้ว
ฉินเจิงถอนหายใจ กวาดตามองพวกซื่อฮว่าที่ยังคงคุกเข่าบนพื้นแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “พวกนางแปดคนได้รับการอบรมสั่งสอนจากพี่จื่อกุยตั้งแต่เด็ก พี่จื่อกุยเองก็ทุ่มเทแรงกายและใจไปกับพวกนางมาก โดยเฉพาะผิ่นจู๋ที่ปลอมตัวเป็นฟางหวา ยิ่งให้การอบรมสั่งสอนสุดตัว”
“เจ้าหมายถึง เรื่องนี้ต้องให้พี่จื่อกุยออกหน้า” เยี่ยนถิงมองเขา
ฉินเจิงมองเขาแวบหนึ่ง “เกินเยียวยา” พูดจบก็เข้าไปด้านใน
เยี่ยนถิงคว้าชุยอี้จือที่กำลังจะตามฉินเจิงเข้าไปในห้อง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาหมายถึงอะไร”
ชุยอี้จือเหลือบมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง พบว่านางมองปีกเรือนตะวันตกคล้ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาส่ายหน้าตอบ ผายมืออย่างช่วยมิได้ “ข้าอยู่ชิงเหอ เพิ่งเข้าเมืองมาได้มินาน กับเรื่องภายในจวนจงหย่งโหวนั้น มิค่อยเข้าใจนัก”
เยี่ยนถิงปล่อยเขา
ชุยอี้จือตามฉินเจิงเข้าไปในห้อง
เยี่ยนถิงคาดเดาพักหนึ่ง ก่อนหันกลับมาถามเซี่ยฟางหวา “เจ้ารู้ความหมายในนั้นไหม”
เซี่ยฟางหวาไตร่ตรองพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็กระจ่างแจ้ง ละสายตากลับมา พยักหน้าให้เยี่ยนถิง
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้า ข้าจากเมืองไปเกินครึ่งปีนี้ หลังกลับมา เหล่าปรมาจารย์ก็พากันหัวเราะเยาะราวกับข้าเป็นคนโง่ ถึงแม้ครึ่งปีนี้เมืองหลวงหนานฉินเปลี่ยนไปเยอะมาก แต่ข้าก็มิคล้ายเป็นคนโง่” เยี่ยนถิงขยับเข้าใกล้เซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวามิได้ตอบทันที หากแต่โบกมือให้พวกซื่อฮว่าที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด เรื่องของอนาคตไว้ค่อยคุยกันภายภาคหน้า หากพวกเจ้าไม่ยินยอม ข้าย่อมไม่บังคับพวกเจ้า”
พวกซื่อฮว่าฟังแล้วก็ลุกขึ้นทันใด ก่อนแยกย้ายกันออกไป
[1] *มิใช่ปลา มีหรือจะรับรู้ถึงความสุขของปลา หมายถึง ความสุขหรือทุกข์เป็นของตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น
[2] **ไก่บินเตลิดสุนัขวิ่งพล่าน หมายถึง ตกใจจนหนีเตลิด