จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 12-2 แต่งงานออกเรือน
เยี่ยนถิงรอเซี่ยฟางหวาไขข้อข้องใจ
เซี่ยฟางหวาถอนหายใจ กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “โดยปกติแล้วฉินเจิงดูไม่เอาจริงเอาจัง ไม่เคยเห็นสิ่งใดอยู่ในสายตา แต่ไหนเลยจะรู้ว่าเขามีความคิดละเอียดอ่อน บางเรื่องข้ายังมิทราบ ทว่าเขากลับทราบดี”
เยี่ยนถิงมองนาง รอฟังนางพูดต่อ
“เกรงว่าผิ่นจู๋จะชอบพี่ชายข้า” เซี่ยฟางหวาบอก
“สกุลเซี่ยด้วยกัน นางก็เป็นบุตรีตระกูลเซี่ยด้วย สกุลเดียวกันมีหรือจะแต่งงานกันได้” เยี่ยนถิงชะงัก
“ผิ่นจู๋เกิดมาในตระกูลสายแยกที่หนานหยาง ซึ่งหลุดจากตระกูลไปก่อนแล้ว อย่างน้อยก็มิใช่แค่ห้ารุ่นขึ้นไป สิบรุ่นก็เกรงว่าจะถึงแล้วเช่นกัน สายเลือดเจือจางไปแล้ว ลูกหลานตระกูลเซี่ยสายแยกที่อยู่ห่างไกลไม่น้อยมีการแต่งงานซึ่งกันและกัน หากนางชอบพี่ชายข้าจริง ก็มิได้อยู่ในประเพณีหรือทำผิดอันใด” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
เยี่ยนถิงชะงักงันชั่วเวลาหนึ่ง พูดคำใดไม่ออก
“เจ้าเป็นท่านโหวน้อยแห่งจวนหย่งคังโหว ใต้หล้ามีสตรีมากน้อยเดินตามเป็นขบวน ในเมื่อผิ่นจู๋ไม่ยินยอม เจ้าก็ล้มเลิกความตั้งใจเสียเถอะ การสมรสที่เกิดขึ้นอย่างไม่เต็มใจ อนาคตไม่แน่ว่าจะเป็นคนที่เจ้าชื่นชอบจริงดังที่คิด มิสู้จากนี้ตามหาสตรีที่ต้องตายิ่งกว่า เคียงข้างไปจนแก่เฒ่า” เซี่ยฟางหวามองเขา
เยี่ยนถิงเงียบลงพักหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้มขมขื่น “ข้าไปล่วงเกินเทพเฒ่าจันทราที่ใดกันแน่ อยากครองคู่กับคนที่ชอบยังยากขนาดนี้” พูดจบ เขาก็โบกมือปัด “นางแม้ชอบพี่จื่อกุย แต่ไม่แน่ว่าพี่จื่อกุยจะชอบนาง” พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง
เซี่ยฟางหวาปวดหัวเล็กน้อย
“ฟางหวา” เยี่ยนหลันเดินมาถึงปากทางเข้าเรือนลั่วเหมยอย่างเริงร่า พบเซี่ยฟางหวากำลังยืนหน้าครัวเล็กจึงส่งเสียงเรียกดังกังวาน
เซี่ยฟางหวาหันไปมองจึงพบเยี่ยนหลัน แม้ฟ้ามืดแล้ว แต่รูปกายอีกฝ่ายกลับวิจิตรตระการตายิ่ง ใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม ชวนให้ผู้พบเห็นนางคล้อยอารมณ์ดีขึ้นตาม นางส่งยิ้มแล้วกวักมือเรียก “ได้ยินว่าเจ้าจะมา ข้ารออยู่กว่าครึ่งชั่วยาม กว่าจะได้พบเจ้า”
เยี่ยนหลันเดินมาหานางด้วยความร่าเริง พินิจมองตั้งแต่หัวจดเท้า ขยับเข้าใกล้แล้วกระซิบเสียงเบา “ท่านอ๋องน้อยเจิงร้ายกาจนัก เจ้าตอนนี้ถึงจะคล้ายกับสตรี เจ้าที่อยู่ในวังหลวงคนนั้น ข้าเห็นแล้วก็เกือบจะบำเพ็ญเพียรบรรลุธรรมแล้ว ช่างไร้ชีวิตชีวายิ่งนัก”
เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม “ตอนนี้อาการบาดเจ็บเจ้าหายดีแล้วหรือ”
เยี่ยนหลันถอยหลังออกมา หมุนตัวรอบหนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบอย่างสบายใจ “ยาของเจ้าได้ผลดีที่สุด เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าเดิน วิ่ง กระโดดได้แล้ว แผลหายดีโดยสิ้นเชิง” พูดจบ นางก็ทอดถอนใจ “เมื่อก่อนรู้จักเพียงจิตใจอันอ่อนไหว ยามนี้ประสบเหตุจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ข้าถึงรู้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นดีมาก”
เซี่ยฟางหวายิ้มขำ “ยังมิได้ทานมื้อเย็นมาจากจวนกระมัง”
“ยัง เจ้าจัดเลี้ยงที่นี่ ข้าย่อมมากินดื่มที่นี่ด้วย” เยี่ยนหลันส่ายหน้า หันไปมองด้านในแวบหนึ่ง พบว่าในห้องรับรองมีคนอยู่ไม่น้อย นางจึงเอ่ยขึ้นอีก “แต่ข้าไม่อยากนั่งกับพวกบุรุษงี่เง่าเหล่านั้น เราสองคนไปหาที่สงบๆ คุยกันดีกว่า ต้องรักษาตัวหลายวันทำเอาข้าเบื่อแทบแย่”
“เช่นนั้นไปเรือนด้านหลังกันเถิด” เซี่ยฟางหวาบอก “แม้ด้านหลังไม่มีทิวทัศน์น่าชม แต่เงียบสงบมาก”
“ตกลง” เยี่ยนหลันพยักหน้า
เซี่ยฟางหวากุมมือนาง ก่อนสั่งงานซื่อฮว่า “จัดอาหารสำรับหนึ่งยกไปที่เรือนด้านหลัง”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ซื่อฮว่าพยักหน้า
ทั้งสองจูงมือกันเดินไปยังเรือนด้านหลัง
เรือนด้านหลังของเรือนลั่วเหมยมีเพียงต้นกุ้ยไม่กี่ต้น โต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ตัว และยังไม่ถึงฤดูที่ดอกไม้ผลิดอกเบ่งบาน รอบบริเวณได้รับการทำความสะอาดอยู่เสมอ เงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง
หลังเยี่ยนหลันนั่งลงก็เปิดบทสนทนากับเซี่ยฟางหวา “ตอนข้าออกมา ท่านแม่กำชับแล้วกำชับอีกให้ข้ามาขอบคุณเจ้า บอกว่าหากไม่มีเจ้า พี่ชายข้าที่ถูกนางเลี้ยงอยู่ในจวนคงไม่มีประโยชน์ ยามนี้กลับมาพบว่าพี่ชายข้าต่างจากเมื่อก่อนมาก ท่านแม่ก็เป็นปลื้มใจนัก”
เซี่ยฟางหวายิ้ม ในใจคิดว่าหากฮูหยินหย่งคังโหวทราบว่าเยี่ยนถิงเกิดความคิดจะแต่งกับสาวใช้ของตน มิรู้ว่าจะถึงซาบซึ้งอีกหรือไม่ นางมิอาจบอกเยี่ยนหลันได้ จึงแย้มยิ้มตอบ “ฮูหยินโหวเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
“แม่ข้าก็เปลี่ยนไปไม่น้อย เมื่อก่อนข้ายากจะนึกภาพที่นางโอบอ้อมอารีและอ่อนโยนต่อผู้อื่นแบบนี้ เจ้าเองก็ทราบดี นางมักเผด็จการเป็นนิสัย” เยี่ยนหลันยกสองมือยันหน้าผาก “ตั้งแต่เด็กจนเติบโตมาถึงขนาดนี้ มีแค่ตอนนี้ที่ข้ารู้สึกว่าจวนหย่งคังโหวคล้ายบ้าน”
“ตอนนี้ฮูหยินโหวตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เมื่อทารกน้อยเกิดมา ถึงคราวต้องจัดการเรื่องงานสมรสของเจ้าแล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว
“มิอยากออกเรือน” เยี่ยนหลันเบะปาก
“เมืองหลวงหนานฉินในตอนนี้น่าแปลกใจยิ่งนัก สิ่งที่ข้าได้ยินล้วนเป็นประโยคนี้ ถ้ามิใช่ไม่อยากแต่งงาน ก็มิอยากออกเรือน พวกเจ้าแต่ละคนหรือว่าล้วนอยากโดดเดี่ยวไปจนแก่เฒ่า” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ
“แบบนั้นก็ไม่เลว” เยี่ยนหลันบอก
เซี่ยฟางหวารินน้ำชาให้นาง “เจ้าล้มเลิกความคิดนี้ไปเสียเถิด กว่าฮูหยินหย่งคังโหวจะฟื้นฟูจิตใจกลับมามิง่าย หากได้ยินสิ่งที่เจ้าพูด บางทีอาจกังวลขึ้นมาอีก”
เยี่ยนหลันฟังแล้วก็หัวเราะ หลังหัวเราะเสร็จก็ขยับเข้าใกล้นาง เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าได้ยินเรื่องในจวนเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วหรือยัง”
“เรื่องใด” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ข้าเพิ่งกลับมาวันนี้ ยังไม่รู้ว่าช่วงนี้ในเมืองเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง”
“เจ้าไม่รู้หรือ เช่นนั้นที่เจ้าเพิ่งพูดว่าไม่อยากแต่งงานไม่อยากออกเรือนนั่นเล่า” เยี่ยนหลันมองนาง
“เมื่อสักครู่ข้าได้ยินพวกเฉิงหมิง ซ่งฟาง หลี่มู่ชิงคุยกัน” เซี่ยฟางหวาตอบ
เยี่ยนหลันกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็กระซิบเสียงเบา “หลี่หรูปี้รบเร้าจะออกบวช ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาจนปัญญากับนาง ทุกวันนี้กลัดกลุ้มจนผมขาวไปหมดแล้ว เสนาบดีฝ่ายขวาฟังว่าก็หมดหนทางแล้วเช่นกัน นางตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ตอนนี้บรรยากาศในจวนเสนาบดีฝ่ายขวาไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันเลย”
เซี่ยฟางหวาชะงัก “เพราะเหตุใด”
“เจ้ายังถามว่าเพราะเหตุใดอีก นางชอบท่านอ๋องน้อยเจิงมาโดยตลอด เดิมคิดว่าพวกเจ้าผิดใจกันแล้วนางจะมีหวัง แต่ตอนนี้ก็สิ้นหวังโดยสิ้นเชิงแล้ว อีกอย่างการสมรสระหว่างจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ถูกยกเลิกไปแล้ว นางรู้สึกไร้ค่า สิ้นหวังในชีวิตมนุษย์ จึงคิดจะใช้ชีวิตอันอ้างว้างในพุทธศาสนาแทน”เยี่ยนหลันมองนาง
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา
“ข้าได้ยินว่าสองวันก่อนฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาวานให้จินเยี่ยนไปโน้มน้าวนาง ทว่าจินเยี่ยนก็ทำมิได้” เยี่ยนหลันถอนหายใจตามเช่นกัน “ช่างไม่ยอมปล่อยวาง”
“หลี่มู่ชิงเล่า วันนี้มิได้ยินเขาเอ่ยถึง” เซี่ยฟางหวาบอก
“นี่มิใช่เรื่องที่น่าโอ้อวดอันใด เขาจะเอ่ยถึงได้อย่างไรกัน โดยเฉพาะยังเกี่ยวข้องไปถึงเจ้ากับท่านอ๋องน้อยเจิงด้วยแล้ว” เยี่ยนหลันกล่าว “เจ้าก็ทราบ ก่อนหน้านี้ที่เจ้าออกจากจวนไป ท่านอ๋องน้อยของเจ้าเคยลั่นวาจาไว้ว่า หากได้พบหลี่หรูปี้เมื่อใดจะสังหารนางอย่างแน่นอน”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าทราบ เขาก็แค่ลั่นวาจาเพราะโทสะเท่านั้น เขาเป็นคนมีเหตุผล หากพบจริงๆ เห็นแก่จวนเสนาบดีฝ่ายขวากับหลี่มู่ชิง คงไม่สังหารนางจริงๆ เช่นกัน”
“เจ้าฟังแล้วไม่คิดจริงจัง แต่จวนเสนาบดีฝ่ายขวาฟังแล้ว หลายวันนั้นก็เหมือนเผชิญกับศึกใหญ่ ท่านอ๋องน้อยของเจ้าเป็นใคร หากเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ คิดสังหารใครแล้วจะไม่สังหารรึ” เยี่ยนหลันกล่าว “มีหรือจะไม่ทำจริง”
เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมาอีกหน “พูดแบบนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า”
เยี่ยนหลันฟังแล้วก็ส่ายหน้าทันใด “เกี่ยวกับเจ้าบ้างก็จริง แต่มิได้เกี่ยวข้องอย่างใหญ่หลวงอันใด โทษเจ้ามิได้หรอก หลักๆ อยู่ที่หลี่หรูปี้ไม่ยอมตัดใจจากท่านอ๋องน้อยของเจ้า ตอนนี้ตัดใจได้แล้วก็จะออกบวชให้ได้ มุ่งเข้าหาทางตันไม่ยอมออกมา จะโทษใครได้เล่า”
เซี่ยฟางหวานึกถึงหลี่หรูปี้ ครั้นเอ่ยถึงความสามารถ รูปลักษณ์ และชาติกำเนิดแล้วล้วนเป็นหนึ่ง หากจะออกบวชจริง ชีวิตก็คงจบสิ้นแล้ว
“ช่างเถอะ อย่าพูดถึงนางอีกเลย มีนิสัยหยิ่งยโสมากเกินไปก็ไม่แน่ว่าเป็นเรื่องดี” เยี่ยนหลันขยับเข้าใกล้นางอีกหน “ข้าบอกเจ้า จวนองค์หญิงใหญ่ได้มีการดูตัวแล้ว หากไม่มีอันใดผิดพลาด งานมงคลของ
จินเยี่ยนก็ใกล้เข้ามาแล้ว”
เซี่ยฟางหวาชะงักไปอีกหน “ตระกูลใด จินเยี่ยนตกลงหรือ”
เยี่ยนหลันพยักหน้า “เป็นทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ก่อนหน้านี้หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ครอบครัวลูกคนโตตระกูลเซี่ย แต่เนื่องด้วยครอบครัวลูกคนโตตกทุกข์ได้ยาก ทั้งตระกูลถูกเนรเทศไปยังหลิงหนาน ดังนั้นงานมงคลครั้งนั้นจึงเป็นอันต้องล้มเลิกไป ยามนี้ถูกองค์หญิงใหญ่หมายตาเข้า ผ่านสายตา
จินเยี่ยนและตอบตกลงแล้ว องค์หญิงใหญ่จึงไหว้วานคนไปสู่ขออย่างลับๆ บุตรีคนโตจวนองค์หญิง ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมีหรือจะไม่ยินยอม งานมงคลครั้งนี้เกรงว่าเป็นอันแน่นอนแล้ว หลังทั้งสองฝ่ายตกลงกัน หมั้นหมายกันก่อน รอจนระยะเวลาไว้ทุกข์อดีตฮ่องเต้ผ่านไป เมื่อจัดงานรื่นเริงได้ก็คงเตรียมพิธีสมรสทันที”
“ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางนับว่าเป็นการออกเรือนไกล องค์หญิงใหญ่หมายตาตระกูลเจิ้งแห่ง
สิงหยางได้อย่างไร จะให้ท่านหญิงจินเยี่ยนผู้เป็นแก้วตาดวงใจของนางออกเรือนไกลหรือ” เซี่ยฟางหวาแปลกใจอย่างยิ่ง
เยี่ยนหลันขยับเข้าใกล้นางอีกหน กระซิบเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางนั้น
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นคนหมายตาก่อน อยากทาบทามให้หลี่หรูปี้ ทว่าหลี่หรูปี้หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมจากเมือง องค์หญิงใหญ่จึงรับต่อไป ลองถามความเห็นจินเยี่ยนดู ไม่นึกว่าจินเยี่ยนจะตอบตกลง ข้าเองก็แปลกใจมากเช่นกัน”