จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 14-1 ข้องหนึ่งกระทบสิบ
ครั้นฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาเข้าไปในห้องทรงอักษรพระชายาอิงชินอ๋องก็มิได้ตามเข้าไปด้วย หากแต่รออยู่ที่หน้าประตู
เซี่ยฟางหวามิได้ยินเสียงฝีเท้า จึงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง พบว่าพระชายาอิงชินอ๋องมิได้ตามเข้ามาด้วย นี่แสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ หัวใจนางพลันอบอุ่นขึ้นมา
ฉินอวี้มองนาง ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “ตอนนี้ยามอู่แล้ว มีเรื่องใดถึงทำให้เจ้ารีบร้อนขนาดนี้”
เซี่ยฟางหวาระงับอารมณ์ ก่อนเอ่ยตอบฉินอวี้ “เจ้าทราบเรื่องงานสมรสที่องค์หญิงใหญ่คัดเลือกให้
จินเยี่ยนแล้วหรือยัง”
ฉินอวี้ผงกศีรษะ “วันนี้ท่านป้าใหญ่กับจินเยี่ยนเข้าวังมาแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ตำหนักเสด็จแม่ ก่อนหน้านี้ตามข้าไปที่ตำหนัก บอกว่ามีเรื่องต้องการการตัดสินใจจากข้า เกี่ยวกับงานสมรสของจินเยี่ยน” กล่าวจบ เขาก็เกิดความสงสัย “มีอันใดหรือ มีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือไม่”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ก่อนกล่าวว่า “เมื่อวาน ข้าได้ยินเยี่ยนหลันบอกว่า ผู้ที่ถูกหมายตาคือเจิ้งเซี่ยวฉุน ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง การสมรสครั้งนี้เดิมทีเป็นฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาที่หมายตาให้หลี่หรูปี้ ทว่า
หลี่หรูปี้ไม่ยินยอม องค์หญิงใหญ่เห็นแล้วก็ถูกใจ รับช่วงต่อไป นึกไม่ถึงว่าจินเยี่ยนจะยอมตกลง”
“ข้าได้ยินแล้ว เรื่องเป็นเช่นนี้” ฉินอวี้พยักหน้า
เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวขึ้น “เมื่อวาน ข้าให้สายสอดแนมตระกูลเซี่ยไปตรวจสอบสายสอดแนมเป่ยฉี วันนี้นำรายชื่อมาส่งให้ข้าชุดหนึ่ง” พูดจบ นางก็กล่าวต่อ “หลังรายชื่อมาถึงมือข้า ข้าก็ให้
ชิงเหยียนนำไปส่งให้ฉินเจิงทันที แต่ข้าจดจำรายชื่อทั้งหมดได้แล้ว เจ้านำกระดาษกับพู่กันมา ข้าจะเขียนรายชื่อทั้งหมดให้เจ้า”
ฉินอวี้ผงกศีรษะ ก่อนดันพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และแท่นฝนน้ำหมึกด้านข้างให้นาง ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามขึ้น “หรือว่าในรายชื่อชุดนี้มีตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางอยู่”
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “พอเจ้าเห็นรายชื่อแล้วก็เข้าใจเอง”
ฉินอวี้ไม่ซักถามต่ออีก
เซี่ยฟางหวาหยิบพู่กันจุ่มน้ำหมึก ก่อนไล่เขียนรายชื่อตามลำดับขึ้นมา
ฉินอวี้ยืนอยู่ด้านข้างพลางมองดูนางเขียน แววตาจากที่ไม่ใส่ใจในคราแรก ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นลุ่มลึกและมืดครึ้มอย่างเงียบสงัด
ครั้นเซี่ยฟางหวาเขียนชื่อสุดท้ายเสร็จก็วางพู่กันลง มองฉินอวี้ “เจ้าเห็นรายชื่อชุดนี้แล้ว ตอนนี้เข้าใจหรือยัง”
“รายชื่อชุดนี้เป็นตาข่ายตาหนึ่ง ทว่าศูนย์กลางตาข่ายราวกับชี้ไปยังจุดหนึ่ง” ฉินอวี้เม้มปาก
“ถูกต้อง” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “รายชื่อชุดนี้ดูแล้วมิได้มีความเกี่ยวข้องอันใด แต่หากดึงเชือกที่อยู่ตรงกลางก็จะเผาตั๊กแตนฝูงหนึ่งตายได้ แถมเชือกเส้นนี้ยังซ่อนตัวอยู่อย่างมิดชิด มองจากด้านหน้าก็หาได้มีความเชื่อมโยงและร่องรอยให้สืบหาได้ไม่”
“เชือกเส้นนี้ก็คือตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง” ฉินอวี้เอ่ยด้วยความเคร่งขรึม
“ใช่แล้ว” เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมา “ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเป็นตระกูลเก่าแก่หลายร้อยปีเช่นกัน แม้ตอนนี้ค่อนข้างเสื่อมถอยกว่าตระกูลเก่าแก่ตระกูลอื่น แต่สุดท้ายก็เป็นอูฐผอมที่ยังตัวใหญ่กว่าม้า มีหลายเรื่องล้วนถูกซ่อนอย่างดีและมองข้ามไป”
“ตอนนั้นครอบครัวลูกคนโตกับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางตกลงหมั้นหมายกันได้อย่างไร เจ้าทราบหรือไม่” ฉินอวี้ขมวดคิ้ว
“ข้าได้ยินว่า เนื่องจากฮูหยินหมิ่นเกิดมาในตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น ลูกพี่ลูกน้องของพระชายาอิงชินอ๋องก็แต่งกับบุตรีทายาทตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น และเนื่องด้วยภรรยาที่นายท่านรองตระกูลชุยแห่งชิงเหอผูกผมด้วยเกิดมาในตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง และเป็นมารดาของทิงเหยียนด้วยเช่นกัน พระชายาอิงชินอ๋องกับพี่สะใภ้ที่เสียไปสนิทสนมกันมาก จึงเลี้ยงดูทิงเหยียนต่อ กระนั้นแล้ว ด้วยความสัมพันธ์หลายชั้นนี้ เพื่อที่จะยิ่งสนิมสนมกับพระชายาอิงชินอ๋อง คว้าต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ให้มั่น ดังนั้น ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่ยังมิได้เสื่อมถอยจึงเข้าตาฮูหยินหมิ่นเข้า ส่งเสริมบุตรีคนโตของนางให้หมั้นหมายกับบุตรคนโตตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ถึงอย่างไรครอบครัวลูกคนโตก็เป็นสายแยก การสมรสนี้จึงนับว่าเหมาะสม” เซี่ยฟางหวาตอบ
ใบหน้าของฉินอวี้เคร่งขรึมลงเล็กน้อย “เท่าที่ข้าทราบมาก็เป็นเช่นนี้ ตอนแรกทุกคนในเมืองล้วนทราบการหมั้นหมายระหว่างคุณหนูใหญ่ครอบครัวลูกคนโตกับบุตรคนโตตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางดี ยามนี้เมื่อมีผู้ใดเอ่ยถึง ล้วนพูดกันว่าฮูหยินหมิ่นของครอบครัวลูกคนโตอาศัยความสัมพันธ์หลายฝ่ายทำให้การหมั้นสำเร็จ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า กล่าวสมทบต่อจากเขา “หลังจากที่ครอบครัวลูกคนโตตกทุกข์ได้ยาก การหมั้นกับบุตรคนโตตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็เป็นอันต้องยกเลิก พวกเราล้วนมิได้คลางแคลงใจหรือเห็นต่าง ถึงอย่างไรเป็นครอบครัวลูกคนโตที่อ้อมไปวนมาเพื่อให้ได้สมรสอย่างยากลำบาก ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเห็นครอบครัวลูกคนโตตกทุกข์ได้ยากแล้วจึงยกเลิกการหมั้น นี่ก็มิได้ตำหนิตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเช่นกัน ตำหนิเพียงครอบครัวลูกคนโต กลับมองข้ามเป้าหมายที่แท้จริงเบื้องหลังนี้ไป”
“ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง…” ฉินอวี้มองรายชื่อชุดนี้ หรี่ตาลง “ซ่อนไว้อย่างมิดชิดนัก รายชื่อที่ถูกขุดออกมาชุดนี้ นึกไม่ถึงว่าล้วนไม่มีรายชื่อตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง บ่งบอกถึงความลึกของรากฐาน มิใช่แค่วันสองวัน เกรงว่าจะยาวนานถึงหนึ่งรุ่น”
“ดูจากรายชื่อชุดนี้แล้ว เกรงว่าจะมิใช่แค่หนึ่งรุ่น” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “สามรุ่นมานี้ ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมีแนวโน้มเสื่อมถอยลงทุกวัน ลูกหลานส่วนใหญ่ไม่เข้าราชสำนัก แต่เพราะแบบนี้จึงไม่มีใครสนใจการเคลื่อนไหวในแต่ละวันของพวกเขา นานวันเข้าก็ยิ่งปิดหูปิดตาผู้อื่น”
ฉินอวี้เงียบ
“ถึงแม้ขุดรากถอนโคนสายสอดแนมเป่ยฉี แต่ก็ไม่ควรเคลื่อนไหวใหญ่เกินไปเช่นกัน ถึงอย่างไรสถานการณ์ในหนานฉินตอนนี้ยังไม่มั่นคง ทั้งเหตุเภทภัยต่างๆ คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า เดิมจิตใจของประชาชนก็ไม่หนักแน่นอยู่แล้ว ยามนี้จวนองค์หญิงใหญ่เกรงว่าจะลอบหารือตกลงกันเรื่องการสมรสครั้งนี้กับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแล้ว ดังนั้นวันนี้องค์หญิงใหญ่จึงพาจินเยี่ยนเข้าวังมาให้เจ้าช่วยตัดสินใจ ถ้าเป็นเช่นนี้คงยิ่งเกี่ยวพันกันไปใหญ่” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก
“เป็นเรื่องยุ่งยากดังที่กล่าว” ฉินอวี้นวดหว่างคิ้ว
“เข้าชนตระกูลใหญ่เก่าแก่อันมีรากฐานหลายร้อยปี ถึงอย่างไรก็มิใช่เรื่องง่ายถึงเพียงนั้น หากแต่ซับซ้อนและยุ่งยาก เพียงดึงผมเส้นเดียวก็สะเทือนไปทั่วร่างกาย” เซี่ยฟางหวากล่าว “โดยเฉพาะยังเกี่ยวพันไปถึงจวนองค์หญิงใหญ่กับจินเยี่ยน จินเยี่ยนที่นับถือชื่นชมเจ้ามาโดยตลอด องค์หญิงใหญ่ต้องกังวลใจทุกคืนวัน ตอนนี้นางอุตส่าห์ตัดใจแล้วหมั้นกับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง หากไม่มีหลักฐานชัดเจนพอแล้วลงมือกับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางล่ะก็ องค์หญิงใหญ่ต้องไม่ยอมเป็นแน่ ไม่ยินยอมให้ทำลายการสมรสครั้งนี้เด็ดขาด”
“เกรงว่าปล่อยให้นางทำเช่นนั้นมิได้” ฉินอวี้เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นอยู่บ้าง “การสมรสระหว่างจวนองค์หญิงใหญ่กับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง เทียบกับรากฐานร้อยปีของแผ่นดินหนานฉินแล้ว ไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึง”
“ถึงแม้ไม่สนใจจวนองค์หญิงใหญ่กับจินเยี่ยน แต่ก็ต้องคำนึงถึงตระกูลเก่าแก่หลายร้อยปีอย่างตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางนี้ หากหนานฉินเกิดเหตุการณ์สั่นคลอนขึ้นมาอีกครั้ง ย่อมไม่ส่งผลดีต่อหนานฉิน มีแต่จะส่งผลเสีย” เซี่ยฟางหวามองเขา
ฉินอวี้เม้มปาก“หากลงมืออย่างรวดเร็ว ขุดรากถอนโคนอย่างไร้สุ้มเสียงเล่า”
“หากตระกูลใหญ่เก่าแก่หลายร้อยปีถูกทำลายไปในคืนเดียว เจ้าว่าจะลุกฮือทั่วใต้หล้าหรือไม่ ตระกูลเก่าแก่ที่เหลือจะไม่หวาดกลัวหรือ ราชสำนักและประชาชนจะสั่นคลอนหรือไม่” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว
ใบหน้าฉินอวี้มืดครึ้มลง “เจ้ามีวิธีการดีๆ หรือไม่”
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มี เรื่องนี้จะจัดการอย่างไรก็เกรงว่าล้วนส่งผลเสียตามมา” พูดจบ นางก็ชี้รายชื่อ “เพียงรายชื่อชุดเดียวมิอาจใช้เป็นหลักฐานได้ ถึงอย่างไรก็มิใช่ทุกคนที่จะมองเห็นถึงความสัมพันธ์อันร้ายกาจของตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางได้เหมือนเจ้ากับข้า” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “อีกอย่าง มิอาจปล่อยให้ข่าวหลุดแพร่อออกไปได้ด้วย”
ฉินอวี้มองรายชื่อด้วยความเงียบงัน
ตั้งแต่เซี่ยฟางหวานเห็นรายชื่อที่ฮูหยินหมิงฝากเซี่ยอีนำมาส่ง ก็วิเคราะห์ถึงส่วนได้ส่วนเสียของเรื่องนี้ทันใด ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแม้ตอนนี้ดูแล้วมิได้มีหน้ามีตาเท่าตระกูลเก่าแก่อื่นๆ หลายปีนี้แทบจะเสื่อมลง แต่แท้จริงแล้วมิใช่อย่างนั้น ที่เสื่อมลงทุกวันในคราแรกนั้นเกรงว่าจะมีเรื่องอื่นที่ปกปิดไว้ ครั้นลอกรังไหมออกทีละชั้นก็พบว่า ที่ผ่านมาความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันนั้นยุ่งยากซับซ้อน โดยเฉพาะช่วงใกล้ๆ มานี้ ล้วนรู้สึกว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางอยากกลับเข้ามาในเมืองหลวง มีแนวโน้มที่จะหาทางรอดจากสถานการณ์น่าสิ้นหวังเหมือนกับจวนอวี้เชียนอ๋อง มุ่งเข้าสู่เมืองหลวงด้วยเรื่องการเกี่ยวดอง ใครจะรู้เล่าว่า เบื้องหลังอาจมีแผนการอื่น หรือหากให้คาดการณ์ที่ร้ายแรงไปกว่านั้น บางทีตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางอาจเป็นตัวเชื่อมโยงสายสอดแนมที่ใหญ่ที่สุดของเป่ยฉีที่แฝงตัวอยู่ในหนานฉินก็เป็นได้
หากเป็นเช่นนี้ หนานฉินก็ต้องเผชิญหน้ากับความยุ่งยากที่แท้จริง มิใช่แค่มาจากฉีเหยียนชิงกับพรมแดน ยังมีจากภายในหนานฉิน สายลับภูเขาลับ รวมถึงตระกูลเก่าแก่ที่ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางดึงมาพัวพันด้วย ข้องหนึ่งกระทบถึงสิบ
หลังฉินอวี้เงียบลงเนิ่นนาน ก็เอ่ยกับเซี่ยฟางหวา “ตั้งแต่ข้ากลับเมืองมาก็ยุ่งกับกิจราชสำนักตลอดเวลา มิได้ใส่ใจการไปมาหาสู่ระหว่างจวนต่างๆ กับการเกี่ยวดองเลย อีกอย่างหากไม่มีรายชื่อชุดนี้ ก็แทบมองข้ามตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่พัวพันอย่างลึกซึ้งไปแล้ว” เอ่ยจบก็ถอนหายใจออกมา “ข้าจะไปหยั่งเชิงถามท่านป้าใหญ่กับจินเยี่ยนที่ตำหนักเสด็จแม่ก่อน ใช่ไปถึงขั้นต้องเกี่ยวดองกับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเท่านั้นแล้วหรือไม่ แล้วค่อยสรุปหารืออีกครั้ง”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางทำให้ครอบครัวลูกคนโตอยากเกี่ยวดองด้วยก่อนได้ ทั้งยังทำให้ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาหมายตา ยามนี้ทำให้องค์หญิงใหญ่ปรารถนาอีก บ่งบอกว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” หยุดชั่วครู่ นางก็เอ่ยขึ้นอีก “หากจินเยี่ยนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เช่นนั้นจำต้องคิดหาวิธีการับมือที่รัดกุมรอบด้าน”
“สถานการณ์ในหนานฉินตอนนี้ ไหนเลยจะมัวโอ้เอ้ได้” ฉินอวี้มองไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง “ฉินเจิงไปนอกเมืองเมื่อเช้านี้ใช่ไหม”
“อืม” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เจ้าบอกว่านำรายชื่อไปส่งให้เขาแล้ว” ฉินอวี้ถามอีก
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “ตอนนี้เขาอยู่นอกเมืองสามร้อยลี้”
ฉินอวี้ตรึกตรองพักหนึ่ง “อย่างเร็วที่สุด กว่ารายชื่อจะส่งถึงมือเขาก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามครึ่ง หลังเขาได้รับแล้วน่าจะมีการตอบกลับ ก่อนฟ้ามืดคงมาถึง” เอ่ยจบ เขาก็ละสายตากลับมา “เช่นนี้แล้วกัน เจ้ากับท่านป้าตามข้าไปทานมื้อกลางวันที่ตำหนักเสด็จแม่ก่อน จะได้ถือโอกาสไถ่ถามความเห็นของท่านป้าใหญ่กับจินเยี่ยนด้วย และรอจดหมายตอบกลับของฉินเจิง หารือกันอีกหนแล้วค่อยตัดสินใจ บางทีเขาอาจมีวิธีการดีๆ”
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน”
ทั้งสองออกมาจากห้องทรงอักษรด้วยกัน