จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 16-1 ความลับที่ซ่อนอยู่
เซี่ยฟางหวามองจินเยี่ยนเงียบๆ
คุ้มค่าหรือ
ตัวนางคิดว่าคุ้มค่า เช่นนั้นก็แสดงว่าคุ้มค่าแล้ว
“เย็นมากแล้ว เรากลับไปหาท่านแม่และท่านป้าในตำหนักไทเฮา แล้วกลับจวนกันดีกว่า”
จินเยี่ยนกล่าว
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ทั้งสองเดินไปยังตำหนักไทเฮา
ยังไม่ทันถึงตำหนักไทเฮาก็พบพระชายาอิงชินอ๋องกับองค์หญิงใหญ่กำลังพูดคุยพลางเดินมาทางนี้
“พวกเจ้าบอกว่าออกไปเล่นเดินกัน ไฉนถึงวกไปยังห้องทรงอักษรได้” องค์หญิงใหญ่มอง
จินเยี่ยนด้วยแววตาสงสัย พินิจมองสีหน้าบุตรีอย่างถี่ถ้วน ราวกับต้องการค้นหาบางสิ่งจากภายในนั้น
จินเยี่ยนมององค์หญิงใหญ่แวบหนึ่ง ก่อนตอบเสียงเบา “ข้าดึงน้องฟางหวาออกมาเพื่อบังหน้า แท้จริงอยากไปคุยกับพี่ชายอวี้ที่ห้องทรงอักษรเพียงลำพัง”
องค์หญิงใหญ่ย่อมมีหูตาในวังหลวง โดยเฉพาะเรื่องที่จินเยี่ยนกับเซี่ยฟางหวาไปยังห้องทรงอักษร มิใช่แค่นาง แต่ไทเฮากับพระชายาอิงชินอ๋องก็ทราบข่าวแล้วเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองมิได้ปิดบังแต่อย่างใด ย่อมมีคนไปรายงานที่ตำหนักไทเฮาอยู่แล้ว นางเห็นจินเยี่ยนพูดความจริง พลันเกิดความกังวล เอ่ยถามนางด้วยความตระหนก “ไปคุยอันใดกับเขา เยี่ยนเอ๋อร์เจ้าคงมิใช่ว่ายัง…”
จินเยี่ยนส่ายหน้าพัลวัน ก้าวขึ้นมา คล้องแขนองค์หญิงใหญ่ไว้ “ท่านแม่ แค่คุยกันครู่เดียวเท่านั้น หลายวันก่อนแม้ข้าคิดได้แล้ว แต่ก็ยังคงมีปมในใจอยู่บ้าง วันนี้ได้คุยกัน ก็ปล่อยวางลงได้อย่างแท้จริงแล้ว”
“เป็นเช่นนี้จริงหรือ” องค์หญิงใหญ่มองนาง
จินเยี่ยนเขย่าแขนมารดา กระเง้ากระงอดว่า “หรือว่าลูกกล้าโกหกท่าน ท่านเห็นว่าข้าคล้ายมีปัญหาหรือไม่”
องค์หญิงใหญ่มองดวงหน้าสุขกายสบายใจของบุตรี เมฆครึ้มที่เคยจับกลุ่มรวมกันบนหว่างคิ้วนั้นจางหายไปแล้ว สีหน้าใสกระจ่าง ตัวนางแลดูคล้ายกับว่าได้ตัดสินใจบางสิ่งที่ใหญ่หลวงอย่างแน่วแน่ลงไป ดูผ่อนคลายลงอย่างยิ่ง ไม่มีท่าทียุ่งเหยิงเฉกเช่นในวันวาน นางจึงเบาใจลง ผ่อนลมหายใจโล่งอก “เจ้าคิดได้จริงๆ แล้วก็ดี แม่เองก็สบายใจ”
จินเยี่ยนยิ้มพลางพยักหน้าให้นาง
“แล้วเรื่องสมรสกับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ฝ่าบาทตรัสเช่นไร ได้ตรัสถึงหรือไม่” องค์หญิงใหญ่กล่าวเสียงเบาขึ้นอีก
จินเยี่ยนพยักหน้า “ที่พี่อวี้ลังเลในตอนแรกก็เพราะกลัวว่าข้าจะตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ พาตัวเองไปตกที่นั่งลำบาก หลังข้าได้เปิดอกคุยกับเขา เขาก็บอกว่ายังต้องเรียกเจิ้งเซี่ยวฉุนเข้าเมืองมา อย่างไรสิบปากว่าก็มิเท่าตาเห็น ยังต้องดูพรสวรรค์และนิสัยใจคอเขาก่อน”
องค์หญิงใหญ่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา บีบมือนาง “ที่แท้ฝ่าบาทก็กลัวว่าเจ้าตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ กลัวว่าจะมานึกเสียใจภายหลัง เขาไตร่ตรองได้ถูกต้องแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มีเรื่องน่ากังวลมากมาย ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเป็นตระกูลใหญ่เก่าแก่หลายร้อยปี มิอาจด่วนตัดสินใจสมรสแล้วเปลี่ยนใจเป็นการล่วงเกินได้ ส่วนเรื่องพรสวรรค์และนิสัยใจคอของเจิ้งเซี่ยวฉุนนั้น เรื่องนี้สบายใจได้ คนที่ฮูหยินหมิ่นกับฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาผ่านตามาก่อนย่อมมิได้เลวร้ายแน่นอน แต่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเจ้า ยังต้องละเอียดรอบคอบดังที่กล่าว”
จินเยี่ยนตอบ “อืม” เห็นด้วย
องค์หญิงใหญ่เคาะหน้าผากนางครั้งหนึ่ง “เจ้านี่นะ ที่ผ่านมาเอาแต่ทำให้ข้าเป็นห่วง ตอนนี้เจ้านับว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่อไปข้าก็เบาใจลงได้บ้างแล้ว”
“ท่านวางใจเถิด” จินเยี่ยนกล่าวหยอกล้อ ขณะเดียวกันก็กะพริบตามองพระชายาอิงชินอ๋องที่อมยิ้มมองตนอยู่ “การเติบโตมิใช่เรื่องของคนคนเดียว ท่านดูสิ พี่เจิงก็โตแล้วมิใช่หรือ”
องค์หญิงใหญ่หลุดยิ้ม
“เดิมข้าอยากชมเจ้า แต่นึกไม่ถึงว่าจะกลับมาซุกซนในพริบตา ถึงข้าอยากชมก็ชมไม่ลงแล้ว”
พระชายาอิงชินอ๋องพูดพลางเดินไปเบื้องหน้า เอ่ยเรียกทั้งสอง “ไปกันเถิด เย็นแล้ว เราออกจากวังกัน”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า
ทั้งสี่คนเดินออกจากวังพลางพูดคุยกันอย่างสบายใจ
องค์หญิงใหญ่กับจินเยี่ยน พระชายาอิงชินอ๋องกับเซี่ยฟางหวาแยกกันขึ้นรถม้าหน้าวัง
ครั้นม่านปิดลง รอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาอิงชินอ๋องก็หายไป รอจนรถม้าแล่นไปได้ระยะทางหนึ่งแล้ว นางจึงเอ่ยถามเซี่ยฟางหวาด้วยเสียงทุ้มต่ำ “หวาเอ๋อร์ ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางใช่มีปัญหาใหญ่หรือไม่”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “เหตุการณ์ค่อนข้างเร่งด่วน มิได้บอกท่านแม่ละเอียด ตอนนี้มีเวลาแล้ว” พูดจบ ก็เล่าเรื่องรายชื่อลับ งานสมรสของจินเยี่ยน รวมถึงการตัดสินใจของจินเยี่ยนให้พระชายาอิงชินอ๋องฟังคร่าวๆ
หลังพระชายาอิงชินอ๋องฟังจบ ใบหน้าก็เผยความเคร่งขรึม ไม่เอ่ยคำใดชั่วขณะ
เซี่ยฟางหวาคิดในใจว่าพระชายามิใช่องค์หญิงใหญ่ ตั้งแต่ออกเรือนจากวังหลวง ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ จวนองค์หญิงใหญ่มิเคยข้องเกี่ยวกับการบริหารราชสำนัก วางตัวเป็นเครือญาติราชวงศ์อย่างเรียบร้อย กับความทุกข์ยากลำบากบางสิ่งทั้งที่แจ้งและที่ลับในราชสำนักนั้น จวนองค์หญิงใหญ่ล้วนมิเคยมีส่วนร่วม หลับตาทั้งสองข้าง กระทำเพียงสิ่งที่ควรทำในขอบเขตฐานะ เพลิดเพลินกับความร่ำรวยมีเกียรติ ยาวนานจนติดเป็นนิสัย ย่อมไม่เหมือนพระชายาอิงชินอ๋องที่มีทักษะการมองทะลุปรุโปร่งอย่างว่องไวเช่นนี้ ต่อให้มีจุดสงสัยน่ากังวลเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดลึกและคิดไกลเกินควร
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเดิมปิดบังไว้อย่างลึกซึ้ง หากมิใช่ว่าครั้งนี้นางบอกฮูหยินหมิงให้สั่งการสายสอดแนมตระกูลเซี่ย คงยังมิอาจใช้เบาะแสนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อการสืบสาวแผนการเบื้องหลังขึ้นมา
ความเงียบขรึมของพระชายาอิงชินอ๋องดำเนินไปจนกระทั่งกลับมาถึงจวนอิงชินอ๋อง หลังทั้งสองลงจากรถม้า เดินไปยังเรือนหลัก พระชายาอิงชินอ๋องถึงถอนหายใจเอ่ยขึ้น “ในด้านคุณธรรม จินเยี่ยนทำถูกแล้ว นึกไม่ถึงเลยจริงๆ”
“ความจริงแล้วข้าเองก็นับถือจินเยี่ยนมาก นางชอบฉินอวี้มากถึงขั้นทำให้ผู้อื่นยอมรับนับถือได้ ผู้คนมากน้อยบนโลกชิงชังเพราะรัก นางกลับยังไม่เคยแปรเปลี่ยน” เซี่ยฟางหวาเองก็ถอนหายใจตาม
พระชายาอิงชินอ๋องผงกศีรษะ “เข้มแข็งกว่าแม่นางมาก”
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด กับองค์หญิงใหญ่จินฮวาผู้ซึ่งเกิดและเติบโตมาในราชวงศ์ท่านนี้ นางไม่มีสิ่งใดจะให้วิจารณ์ได้
“ตอนที่เซี่ยเฟิ่งป้าของเจ้ายังอยู่ในเมืองหลวงหนานฉิน มิใช่ว่าจะไม่มีบุรุษหนุ่มที่ชอบเลย แต่สุดท้ายก็ยังไปเป่ยฉีอย่างมีคุณธรรมมิอาจเลี่ยงได้ ผู้คนพูดกันว่านางกับฮ่องเต้เป่ยฉีรักและเลื่อมใสศรัทธากันและกัน แต่มีเพียงข้ากับอวี้หวั่นเท่านั้นที่รู้ว่า ก่อนที่นางยังไม่ออกเรือนไปเป่ยฉีนั้น นางมีคนที่รักเลื่อมใสอยู่คนหนึ่ง เป่ยฉีเดิมทีอยากเกี่ยวดองกับองค์หญิงใหญ่ นางกลับปฏิเสธอย่างหัวเด็ดตีนขาด ป้าของเจ้าจึงตัดสินใจไปยังพรมแดนม่อเป่ย เรียกได้ว่าเป็นคุณธรรมแห่งแผ่นดิน ต่อมาทำให้ฮ่องเต้เป่ยฉีที่เดิมทีอยากแต่งกับองค์หญิงหนานฉินแล้วแต่งตั้งเป็นฮองเฮา หันมาอภิเษกสมรสกับนางถูกต้องตามประเพณี นี่เป็นความสามารถของนาง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวขึ้นอีก
เซี่ยฟางหวาคิดว่าฮ่องเต้เป่ยฉีต้องรักท่านป้าอย่างมากเป็นแน่ ต่อมาท่านป้าก็รักฮ่องเต้เป่ยฉีเช่นกัน มิฉะนั้นคงไม่ยอมให้กำเนิดเซี่ยอวิ๋นจี้เพื่อพระองค์ คุณธรรมแห่งแผ่นดิน ความรักวาสนา บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและการพิจารณาไตร่ตรองในชั่วเวลานั้น
พระชายาอิงชินอ๋องบีบมือนาง “ข้าก็คิดว่าจินเยี่ยนทำถูกแล้ว ความรักกับคุณธรรม สำเร็จเพียงหนึ่งสิ่งก็ถือว่าไม่เสียแรงที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ตอนนี้หนานฉินกำลังเผชิญมรสุมและสถานการณ์ไม่มั่นคง แผ่นดินต้องมาก่อน ความรักหนุ่มสาวมาทีหลัง มิฉะนั้นสิ้นแผ่นดินไหนเลยจะมีบ้าน ไม่มีคุณธรรมกับความรักก็มิอาจอยู่ได้นานเช่นกัน”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
พระชายาอิงชินอ๋องปล่อยนาง “เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด หากเจิงเอ๋อร์ตอบจดหมายกลับมาแล้ว ให้คนไปบอกข้าด้วย” หยุดชั่วครู่ แล้วกล่าวเสียงเย็น “มิอาจให้ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางสร้างคลื่นลมอันใดได้อีก อย่าคิดว่าหนานฉินแห่งนี้มีแค่มันที่หลบซ่อนได้ อย่าคิดว่าคนอื่นล้วนตาบอดง่ายต่อการตบตา”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า แยกกับพระชายาอิงชินอ๋อง คนหนึ่งกลับเรือนหลัก คนหนึ่งกลับเรือนลั่วเหมย
ครั้นกลับมาถึงเรือนลั่วเหมย เซี่ยฟางหวาก็เห็นหญิงชราค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าเรือนลั่วเหมย หญิงชราคนนี้นางไม่รู้จัก ในมืออีกฝ่ายถือของบางสิ่งเอาไว้ ห่อด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง มองจากภายนอกไม่ออกว่าเป็นสิ่งใด
หญิงชราคนนั้นเห็นเซี่ยฟางหวามาถึงแล้วก็ก้าวมาหาทันที ย่อเข่าทำความเคารพ “พระชายาน้อย บ่าวเป็นสาวใช้ประจำกายฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้าย ชื่อว่าป้าจาง วันนี้กลับจวนมากับคุณหนู หลังจากนี้จะอยู่ในจวนกับคุณหนูด้วย ตั้งใจมาเพื่อทำความเคารพพระชายาน้อยโดยเฉพาะ ขอบคุณท่านที่เคยช่วยชีวิตคุณหนูเจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า ถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ป้าจางไม่ต้องมากพิธี พี่สะใภ้ใหญ่กลับจวนแล้วหรือ”
ป้าจางพยักหน้า ยืดตัวขึ้นแล้วยิ้มตอบ “วันนี้คุณชายใหญ่ไปรับคุณหนูกลับจวน คุณหนูทราบว่าท่านกับพระชายาไปเข้าวังมา จึงไปรอทำความเคารพพระชายาที่เรือนหลักก่อน ประเดี๋ยวคงมาพูดคุยกับท่าน และให้ข้านำของมามอบให้ท่านก่อนเจ้าค่ะ”
พูดพลาง ป้าจางคนนั้นก็ยื่นของที่ถูกห่อด้วยผ้ามาด้านหน้า
เซี่ยฟางหวามิได้รับมาทันที ยิ้มถามว่า “นี่คืออะไรหรือ พี่สะใภ้เป็นคนให้มา”
“ฮูหยินเป็นคนเตรียมไว้เจ้าค่ะ มอบเป็นของขวัญขอบคุณพระชายาน้อยที่ก่อนหน้านี้ท่านได้ช่วยคุณหนูเอาไว้ ฮูหยินยังมิได้ขอบคุณท่านเลย” ป้าจางยิ้มกล่าว “พระชายาน้อยอย่าปฏิเสธเลย นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของฮูหยิน” พูดจบก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำเพิ่มเติม “นายท่านเสนาบดีเคยผ่านตามาก่อนแล้ว”
ประโยคสุดท้ายแฝงความหมายลึกซึ้ง
เซี่ยฟางหวาเข้าใจ พยักหน้ารับแล้วมองซื่อฮว่าแวบหนึ่ง ซื่อฮว่าก้าวขึ้นมารับแทน กล่าวขอบคุณป้าจาง แล้วเชิญป้าจางเข้าไปในเรือน
ป้าจางส่ายหน้า “บ่าวยังต้องกลับจวนเสนาบดีอีกรอบเพื่อรายงานฮูหยินให้ทราบ ยังมีบางสิ่งในจวนที่ยังมิได้เก็บมาด้วย มิอาจอยู่นานได้เจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวาได้ยินแบบนั้นก็มิได้รั้ง บอกซื่อม่อไปส่งป้าจาง ส่วนตัวเองก็ยกเท้าเข้าไปในเรือนลั่วเหมย