จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 19-2 สนทนาลับในห้องหนังสือ
เรือนไม้อุ่นแบ่งเป็นส่วนภายในกับส่วนภายนอก ส่วนภายในมีไว้สำหรับฤดูหนาว ส่วนภายนอกไม่ต่างอันใดกับระเบียงห้องรับรอง ส่วนภายในยังมีห้องหนังสือเล็กอยู่ห้องหนึ่ง
เซี่ยฟางหวานำทางฮูหยินหมิงมายังห้องที่อยู่ลึกสุด กำชับซื่อฮว่ากับซื่อม่อเฝ้าประตูไว้
ฮูหยินหมิงสำรวจห้องหนังสือเล็ก บรรยากาศเงียบสงบ ทั้งภายในและภายนอกล้วนถูกห้องกั้นแยกเอาไว้ นับว่าเป็นสถานที่อันเหมาะสมที่จะสนทนากัน
“ท่านอาสะใภ้หก หากใช้สายลับตระกูลเซี่ยของเรา มีโอกาสจำกัดตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางได้ในคืนเดียวหรือไม่” เซี่ยฟางหวาเอ่ยเข้าประเด็นทันที
“ในคืนเดียว” ฮูหยินหมิงตกใจ
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฮูหยินหมิงครุ่นคิด ก่อนส่ายหน้าเชื่องช้า “เกรงว่ามิได้ ถึงอย่างไรตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็เป็นตระกูลเก่าแก่หลายร้อยปี เท่าที่ข้ารู้มา เมื่อเข้าสู่สิงหยาง เสมือนเข้าสู่อุโมงค์มังกรถ้ำเสือ ที่ผ่านมาไม่มีใครสนใจตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง อาณาเขตสิงหยางจึงเสมือนกับตาข่ายผืนหนึ่ง ปกป้องสิงหยางได้แน่นหนากว่าเมืองหลวงแห่งนี้เสียอีก”
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก
“ตระกูลเซี่ยของเราที่อยู่ในอาณาเขตสิงหยาง มีเพียงสายสอดแนมเท่านั้น หากจะทำลายตระกูลเจิ้งในเมืองสิงหยางภายในคืนเดียว ออกจะเป็นไปไม่ได้” ฮูหยินหมิงกล่าว
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ดูท่าคงได้แต่ต้องวางแผนไปช้าๆ แล้ว”
“หลายปีที่ผ่านมา โหวเหยียผู้เฒ่ายกสายสอดแนมตระกูลเซี่ยให้ข้าดูแล ข้ามีความสามารถเพียงรักษาเอาไว้ กลับมิอาจสังเกตเห็นตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง หากมิใช่ว่าครั้งนี้เจ้าให้ข้าตรวจสอบสายสอดแนมเป่ยฉี คงยังมิอาจสืบสาวตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่ซ่อนตัวอยู่ออกมาได้ วันนั้นตอนที่ข้าได้รับรายชื่อมา อ่านวิเคราะห์ดูแล้วก็แปลกใจอย่างยิ่ง ไม่นึกว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางจะเป็นสายสอดแนมขนาดใหญ่ที่สุดที่เป่ยฉีสร้างไว้ในหนานฉิน ไม่รู้ว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางยอมสิโรราบแก่เป่ยฉีตั้งแต่เมื่อไร” ฮูหยินหมิงก็ถอนหายใจแผ่วเบาเช่นกัน
เซี่ยฟางหวามองฮูหยินหมิงแล้วส่ายหน้า “นี่มิโทษท่านอาสะใภ้หกเช่นกัน ที่ผ่านมาราชสำนักจับตา
มองตระกูลเซี่ยมาโดยตลอด เบื้องหน้ากดขี่ลับหลังวางแผน การรับมือกับราชสำนักมิใช่เรื่องง่าย ตอนนี้สายสอดแนมตระกูลเซี่ยยังอยู่รอดปลอดภัยก็นับว่าเป็นคุณูปการของท่านเช่นกัน ท่านปู่ยกสายสอดแนมตระกูลเซี่ยให้ท่านนั้นถูกต้องแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ล่วงรู้ความลับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแล้ว หากรอจนเป่ยฉีกับหนานฉินเปิดฉากสงครามกันอีกครั้ง ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางฉวยโอกาสนี้ก่อเหตุใดขึ้นอีก เช่นนั้นต้องเป็นปัญหาอย่างแท้จริง บ้านเมืองถึงคราวล่มสลายในคืนเดียวแน่นอน”
“เจ้าพูดแบบนี้ข้าก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย โทษตัวเองน้อยลงแล้ว” ฮูหยินหมิงกุมมือเซี่ยฟางหวา “ที่ผ่านมาตระกูลเซี่ยยึดถือกฎระเบียบตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ งานธุรการทั้งหมดในตระกูลต้องมอบให้ซื่อจื่อ ส่วนสายสอดแนมตระกูลเซี่ยควรมอบให้บุตรีทายาทคนโตภายในจวน แต่ในรุ่นของเรานั้น ป้าเจ้ากลับออกเรือนไปเป่ยฉี เจ้าเองก็ยังไม่เกิด โหวเหยียผู้เฒ่าจึงได้แต่ต้องมอบสายสอดแนมตระกูลเซี่ยให้คนอื่น ตอนนั้นจึงเลือกข้าเข้า ถือว่าเป็นการแหกกฎ ตอนนี้เจ้าได้บรรลุนิติภาวะจนออกเรือนแล้ว ข้าควรคืนสายสอดแนมตระกูลเซี่ยให้เจ้า”
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าทันใด “ท่านอาสะใภ้หก ข้าไม่ต้องการสายสอดแนมตระกูลเซี่ย”
ฮูหยินหมิงกล่าวขึ้นทันที “ได้อย่างไรเล่า ตอนนั้นการแหกกฎตระกูลเซี่ยเป็นสิ่งที่จำใจต้องทำ ตอนนี้เจ้ามีทั้งพรสวรรค์และความสามารถ เดิมควรรับช่วงต่อสายสอดแนมตระกูลเซี่ย” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่างข้าก็เป็นสตรีที่แต่งงานแล้วคนหนึ่ง เห็นโลกมาน้อย ความสามารถมีจำกัด ประคับประคองสายสอดแนมตระกูลเซี่ยมาได้หลายปีขนาดนั้นก็ถือว่าสุดขีดจำกัดแล้วเช่นกัน หากมิใช่เจ้ากลับมาจากเขาไร้นาม ผ่านความลำบากมานับไม่ถ้วน กะเทาะแผ่นน้ำแข็งสร้างความปรองดองกับราชสำนัก ตอนนี้เกรงว่าตระกูลเซี่ยคงล่มสลายลงในมือข้าแล้ว ข้าไหนเลยจะยังมีหน้าไปพบบรรพบุรุษตระกูลเซี่ยในปรโลกได้”
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า “ท่านอาสะใภ้หก ท่านทำได้ดีมากแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ราชสำนักกับตระกูลเซี่ยปะทะกันทั้งเบื้องหน้าและลับหลัง จนป่านนี้เกรงว่าแม้แต่ราชสำนักยังมิทราบว่าสายสอดแนมที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยนั้นอยู่ในมือของท่าน ระยะเวลาที่ปิดเป็นความลับนี้ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ ท่านเก็บเอาไว้เถิด”
“ข้าแก่แล้ว ตอนที่โหวเหยียผู้เฒ่ามอบสายสอดแนมตระกูลเซี่ยให้ข้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงข้าก็ต้องรับช่วงต่อโดยหลีกเลี่ยงมิได้ พริบตาก็ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้ทั้งความคิดและกำลังกายลดลง อยู่ในมือข้า สายสอดแนมตระกูลเซี่ยมิอาจแสดงศักยภาพได้เต็มที่ คืนให้เจ้าคงเหมาะสมกว่า เจ้าอย่าได้ปฏิเสธเลย ข้าเองก็ได้จะผ่อนคลายจิตใจที่ขึงตึงมาตลอดหลายปี” ฮูหยินหมิงส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวาเห็นฮูหยินหมิงมีท่าทางมุ่งมั่น นางถอนหายใจออกมา ก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านอาสะใภ้หก มิใช่ข้าไม่อยากรับ แต่ข้ามิอาจรับได้”
“เพราะเหตุใด หากเจ้ารับช่วงต่อ โหวเหยียผู้เฒ่าไม่คัดค้านแน่นอน” ฮูหยินหมิงมองนางอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่เกี่ยวกับท่านปู่หรอก” เซี่ยฟางหวามองนาง “เกรงว่าข้าจะอายุสั้น”
“เกิดอันใดขึ้น” ฮูหยินหมิงตกใจ
“ท่านรู้จักเผ่าภูตผี และคงรู้ว่าความจริงแม่ข้ามิได้เกิดมาในตระกูลชุยแห่งปั๋วหลิง หากแต่เกิดมาในเผ่าภูตผี เผ่าภูตผีมีกฎเหล็กประจำเผ่าว่า ผู้สืบทอดสายเลือดราชนิกุลต้องแต่งงานกับผู้สืบทอดสายเลือดหญิงพรหมจารี ถึงจะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย แต่ท่านแม่แต่งงานกับท่านพ่อ ข้าก็เลือกแต่งงานกับฉินเจิงอีก นับว่าเป็นการแหกกฎเหล็กของเผ่าภูตผี” เซี่ยฟางหวาค่อยๆ กล่าว “วิชาเผ่าภูตผีควบคุมทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิต แต่ถึงกระนั้นมีได้ก็ต้องมีเสีย เผ่าภูตผีย่อมมีกฎแห่งการอยู่รอดของมันเอง การแหกกฎจะต้องประสบความพิโรธของสวรรค์”
ฮูหยินหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป มองเซี่ยฟางหวาอย่างพูดไม่ออกชั่วขณะ
“ท่านอาสะใภ้หก ท่านดูแลสายสอดแนมตระกูลเซี่ยต่อไปเถิด วันข้างหน้าเกรงว่าท่ายังต้องประคับประคองตระกูลเซี่ยต่อไป ข้าจะพยายามหาหนทางให้ได้ ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาชีวิตนี้ไว้ แต่หากทำมิได้ ท่านก็อบรมสั่งสอนเซี่ยอีต่อไปเถิด มอบสายสอดแนมตระกูลเซี่ยให้นาง ข้าว่านางต้องแบกรับสิ่งนี้ได้” เซี่ย
ฟางหวากุมมือนาง
ฮูหยินหมิงอ้าปาก แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
“เพียงแต่ลำบากท่านแล้ว เซี่ยอีฉลาดและร่าเริง มีไหวพริบว่องไว หากมีคนที่เหมาะสมกว่านี้ ข้าก็ไม่อยากมอบภาระนี้ให้นาง แต่ตระกูลเซี่ยในตอนนี้ หาคนที่เหมาะสมยิ่งกว่านางไม่ได้แล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้มให้นาง
ฮูหยินหมิงถอนหายใจออกมา ดึงเซี่ยฟางหวาเข้ามากอด ขอบตาเปียกชื้น “เด็กผู้น่าสงสาร เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ชีวิตของเจ้าไฉนถึงทุกข์ระทมขนาดนี้ เทียบกับความลำบากที่ข้าได้รับ สายสอดแนมตระกูลเซี่ยนี้ยังไม่นับประสาอะไร…”
เซี่ยฟางหวาพิงอ้อมกอดนาง คิดในใจว่าแม้ตนมิได้รับความรักจากมารดาตอนเด็ก แต่พระชายาอิงชินอ๋องกับฮูหยินหมิงล้วนมอบความรักยิ่งกว่าแม่แท้ๆ ให้กับนาง
ผ่านไปพักหนึ่ง ฮูหยินหมิงก็ผละกายออก บอกนางว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าหาทางแก้ไขอย่างสบายใจเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ดูแลสายสอดแนมตระกูลเซี่ยมาหลายปีแล้ว ให้ดูแลต่อไปก็ย่อมได้ ในเมื่อเจ้าเห็นว่าอีเอ๋อร์เหมาะสม ข้าก็จะลองอบรมสั่งสอนนาง หวังว่านางจะรับหน้าที่นี้ได้จริงๆ มิอาจให้คนอื่นคิดว่าตระกูลเซี่ยของเราไม่มีบุตรีที่ใช้งานได้อีกแล้ว”
เซี่ยฟางหวายิ้มพลางพยักหน้าให้
“เรื่องตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง เจ้าบอกว่าค่อยๆ วางแผนไป จะวางแผนอย่างไรหรือ เจ้าบอกอามา ข้าจะทำให้” ฮูหยินหมิงกล่าวขึ้นอีก
“ดูท่ามีแต่ต้องช่วยให้งานสมรสของจินเยี่ยนกับเจิ้งเซี่ยวฉุนสำเร็จแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงทุ้มต่ำ
ฮูหยินหมิงได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้น “ข้าได้ยินเรื่องนี้แล้ว แต่หากท่านหญิงจินเยี่ยนแต่งเข้าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง วันหนึ่งหากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางถูกกำจัด ชีวิตของนางก็นับว่าถูกทำลายไปด้วย”
“นางตกลงแล้ว บอกว่าถึงแม้เป็นเช่นนี้ก็จะยังแต่งเข้าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ค่อยๆ วางแผนการกำจัดทิ้ง เพื่อแผ่นดินหนานฉิน เพื่อ…ฝ่าบาท โดยไม่เสียดายอันใดทั้งนั้น” เซี่ยฟางหวาถอนหายใจ
ฮูหยินหมิงได้ยินเช่นนั้นก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง “องค์หญิงใหญ่ทราบหรือไม่ หรือนางเห็นด้วย”
“องค์หญิงใหญ่มิทราบ เรื่องตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมิอาจเผยแพร่ออกไปได้” เซี่ยฟางหวากล่าว
“จินเยี่ยนตัดสินใจด้วยตัวเอง”
ฮูหยินหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ทอดถอนใจ “ความรักหนุ่มสาว คุณธรรมเพื่อแผ่นดิน หากบอกให้แยกแยะหนักเบาก็เลือกได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ตอนนั้นป้าเจ้าก็เลือกคุณธรรมแล้วไปยังเป่ยฉีเช่นกัน ชั่วพริบตาก็มิได้พบนางหลายปีแล้ว ที่ผ่านมานางทำให้ฮ่องเต้เป่ยฉีไม่ระดมกำลัง ยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้มิง่ายเลย ปีนั้นองค์หญิงใหญ่มิได้ทำ ยามนี้บุตรีของนางกลับทำแทน เวรกรรมหมุนเวียน หากนางมารู้ทีหลัง ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร”