จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 22-1 ปรองดองมีสุข
บุตรีตระกูลเซี่ยมีฐานะสูงศักดิ์ล้ำค่า หากเป็นไปได้ เซี่ยฟางหวาก็ไม่อยากให้เซี่ยอีต้องกระทำเรื่องน่าตื่นตะลึงเช่นนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งฉินอวี้
แต่พูดไปพูดมาแล้ว แม้บุตรีตระกูลเซี่ยมีฐานะสูงศักดิ์ แต่หากนำชื่อเสียงไปแลกเพื่อให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้ซึ่งเป็นที่รักมาตลอดสี่ปี ก็นับว่าคุ้มค่าเช่นกันกระมัง
คุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า ขึ้นอยู่กับจิตใจของผู้นั้นแล้ว
เหมือนอย่างจินเยี่ยน
เหมือนอย่างเซี่ยอี
ดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
ตัวพวกนางคิดว่าคุ้มค่า เช่นนั้นก็แปลว่าคุ้มค่าแล้ว
เซี่ยฟางหวาลอบคิดว่าฉินอวี้เป็นตัวก่อหายนะที่แท้จริง เทียบกับฉินเจิงแล้ว นางนึกถึงหลี่หรูปี้กับผู้ที่ต้องทนทุกข์มาไม่น้อยกว่าจะมีความสุขทุกวันนี้อย่างหลูเสวี่ยอิ๋ง…ช่วงเวลาที่เสาะหาความรักของทั้งสองนั้นช่างเทียบไม่ติด
หลังจากเซี่ยอีฟังเซี่ยฟางหวาแล้ว ก็ไม่เอ่ยคำใดเนิ่นนาน
เซี่ยฟางหวายืนนิ่งกับที่รออีกฝ่ายตัดสินใจ บนโลกนี้มีเส้นทางนับพันหมื่น แต่เดินได้เพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น เซี่ยอีเป็นบุตรีของครอบครัวหก ผู้ใดเห็นแล้วล้วนมองออกว่านางเป็นบุตรีที่ค่อนข้างโดดเด่นในตระกูลเซี่ย ด้วยฐานะและความฉลาดของนาง อย่าว่าแต่องค์ชายแปดฉินชิงมีใจให้เลย รอหลังจากที่นางถึงวัยปักปิ่นแล้ว คนมากน้อยเกรงว่าจะพากันไปเหยียบประตูจวนครอบครัวหก
ขอเพียงนางเต็มใจ สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้านางก็คือเส้นทางที่ปูด้วยผ้าไหมอันราบรื่น ออกเรือนกับฉินชิงก็ย่อมได้ หรือไม่ก็เลือกตระกูลอื่นสักตระกูลหนึ่ง
แต่หากนางเลือกฉินอวี้ เดาได้เลยว่าคงมีอุปสรรคทุกหนแห่ง แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก ฉินอวี้ยอมรับนางก็ดี แต่หากไม่ยอมรับ นางก็จะรับเอาถ้อยคำประณามและคำนินทาที่จินเยี่ยนได้รับตลอดหลายปีนี้เข้าสู่ตัวเอง อนุชนพันปีข้างหน้า ขอเพียงเอ่ยถึงฉินอวี้ ย่อมเอ่ยถึงชื่อของนางด้วย
ผ่านไปเนิ่นนาน เซี่ยอีก็พลันเงยหน้าขึ้น รวบรวมความกล้า “พี่ฟางหวา ข้าจะทำ”
เซี่ยฟางหวามองนาง มิได้เกินความคาดหมายที่อีกฝ่ายตัดสินใจเช่นนี้ สตรีเมื่อตกอยู่ในห้วงความรักแล้ว ก็จะเกิดความมุ่งมั่นที่เสมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่นางก็ยังถามย้ำ “วิธีการนี้มิใช่วิธีการที่ดีอะไร เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม ถึงชีวิตหลังจากนี้ของเจ้า”
เซี่ยอีพยักหน้า กล่าวด้วยความมุ่งมั่น “พี่ฟางหวา ข้าคิดว่ามิได้ร้ายแรงขนาดนั้น ข้าจะไปพบฝ่าบาท แม้เขาไม่ชอบข้า แต่อย่างน้อยก็ได้ทราบว่าข้าชอบเขา ถึงแม้วันนี้ข้าจะกระทำเรื่องสะเทือนฟ้าดินที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในประวัติศาสตร์ ถูกคนภายนอกถ่มน้ำลายใส่จนท่วม แต่แล้วอย่างไรเล่า ข้าเทหมดหน้าตักแล้ว มนุษย์เกิดมาชีวิตหนึ่ง ก็ต้องทำตามใจตัวเองบ้างสักเรื่องสองเรื่องใช่หรือไม่”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าเชื่องช้า
“หากเรื่องในวันนี้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าผลเป็นเช่นไร ข้าก็จะยอมรับมันแต่โดยดี ต่อให้ถูกถ่มน้ำลายใส่อีกมากเท่าไรก็มิอาจทำอันใดข้าได้ คำนินทาก็มิอาจทำร้ายเลือดเนื้อข้าได้ บันทึกพันปีจากนี้หากเอ่ยถึงฝ่าบาทก็เอ่ยถึงข้าด้วย ข้าควรดีใจสิถึงจะถูก เป็นสิ่งที่เฝ้าภาวนามาตลอดนี่นา ไม่เสียแรงที่ข้าชอบแล้ว” เซี่ยอีพูดพลาง ในดวงตาและใบหน้าล้วนเปล่งประกายเจิดจ้า “ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วเขาไม่ยอมรับข้า แล้วอย่างไรเล่า ขอเพียงตระกูลเซี่ยไม่คิดว่าข้าทำเรื่องน่าอับอาย ขับไล่ข้าออกจากตระกูล ข้าก็ยังเป็นเซี่ยอี”
เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม “หากบอกว่าอับอาย นี่ก็ไม่ถือเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอันใด คนที่เจ้าปรารถนามิใช่คนอื่น แต่เป็นถึงฝ่าบาทผู้มีฐานะสูงศักดิ์ที่สุดในหนานฉิน สตรีกี่มากน้อยใต้หล้าล้วนอยากบินลงจากกิ่งไม้ไปเป็นหงส์ หากแต่ไม่มีความกล้าหาญนั้น ในเมื่อเจ้ากล้า หากขุนนางบันทึกประวัติศาสตร์เรืองปัญญาจริงก็ควรสรรเสริญเจ้า”
“จริงหรือ” นัยน์ตาเซี่ยอีเป็นประกายยิ่งกว่าเดิม
“หากข้าเป็นคนบันทึก ข้าจะสรรเสริญเจ้า” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
เซี่ยอียิ้มออกมาทันที กอบกุมข้อมือนาง กระเง้ากระงอดว่า “พี่ฟางหวา หากเป็นท่านที่ต้องเผชิญเรื่องแบบในวันนี้แทน ท่านใช่ตัดสินใจเช่นนี้ด้วยหรือไม่ มิฉะนั้นท่านคงไม่คิดวิธีการนี้ออกมา”
เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ยื่นศีรษะเจอดาบ หดศีรษะก็เจอดาบเช่นกัน ในเมื่อเจ้าชอบเขามาสี่ปี ข้าคิดว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่ทำให้เขาจดจำได้ว่าเจ้าชอบเขา ก็ไม่เสียแรงที่ชอบมาแล้วเช่นกัน” พูดจบ นางก็กะพริบตามองด้วยความเจ้าเล่ห์ “ในทางกลับกัน ถึงแม้เขาจำไม่ได้ แต่คนใต้หล้าล้วนจำแทนเขาได้ ถึงแม้เขาอยากลืม แต่เหตุการณ์ในวันนี้ คนอื่นจะจดจำแทนเขาเช่นกัน ประชาชนใต้หล้า ผู้คนสัญจรขวักไขว่ โรงน้ำชา ร้านเหล้า ในเพลงพื้นบ้าน หรือนิทานเรื่องเล่า ล้วนมีเจ้าเซี่ยอีอยู่ในนั้นด้วย”
เซี่ยอีพลันดีใจยกใหญ่ “เช่นนั้นก็ทำแบบนี้”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ทันใดนั้นก็ถอนหายใจอีกหน “จินเยี่ยนชอบฉินอวี้เงียบๆ มาโดยตลอด กี่ปีที่ผ่านมาฉินอวี้ก็รับรู้ แต่ก็ยังไม่สมดั่งปรารถนา” พูดจบ นางก็กุมมืออีกฝ่าย “น้องอี ถึงกล้าหาญก็ต้องรักษาใจตัวเองด้วย เจ้ากล้าทำเรื่องขัดต่อประเพณีได้ แต่ก็ต้องตัดใจหันหลังกลับมาด้วยเช่นกัน หากไม่มีทางไปต่อ ถึงต้องเหยียบหนามก็ต้องเดินออกมา จงจำไว้ว่าอย่าได้พาตัวเองไปทรมานจนต้องบาดเจ็บหรือสูญเสียทุกสิ่งไป แบบนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย”
เซี่ยอีพยักหน้ารับความด้วยหนักแน่น “พี่ฟางหวา วางใจเถิด เมื่อก่อนข้าคิดแค่รอเพียงวันคัดเลือกนางในก็พอแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ยืนอยู่สูงและห่างไกลจากข้า แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาอยู่ที่จวนอิงชินอ๋องแห่งนี้ วันนี้เป็นโอกาสอันเหมาะสม ข้าพบว่าเพียงพริบตาก็อยู่ใกล้กับเขามาก ข้ารู้จักหนักเบาของตนเองดี”
เซี่ยฟางหวายิ้มพลางพยักหน้า
เซี่ยอีดึงเซี่ยฟางหวาเดินกลับไปที่ศาลาริมน้ำ “พี่ฟางหวา ไปกันเถิด เรากลับไปหาฝ่าบาทกัน” พูดจบ เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ปล่อยมือออก “ไม่ได้ ข้ามิอาจทำให้ท่านลำบากด้วยได้ เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะวิ่งไปก่อน ท่านค่อยตามออกไปแล้วกัน” พูดจบ นางก็ยกกระโปรงแล้ววิ่งกลับไปที่ศาลาริมน้ำสุดฝีเท้า
เซี่ยฟางหวามองเรือนร่างอ่อนช้อยของเซี่ยอีที่วิ่งหายไปเพียงพริบตา นางทั้งยิ้มขำ และทั้งทอดถอนใจ
สตรีที่ทั้งเยาว์วัย กระตือรือร้น ฉลาด และร่าเริงอย่างเซี่ยอี ไม่รู้ว่ากำแพงวังจะมอบโอกาสให้นางหรือไม่
แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็คิดว่าเซี่ยอีไม่ใช่จินเยี่ยน อย่างน้อยเนื้อแท้นางก็มองโลกในแง่ดีและแสวงหาความก้าวหน้า คงไม่เดินเข้าหาทางตันเพียงเพราะไม่สมหวังเป็นแน่
แต่ทางฝั่งท่านอาสะใภ้หกกับฮูหยินผู้เฒ่าหกจะรับเรื่องสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ได้หรือไม่นั้นยากบอกได้ ฮูหยินหมิงน่าจะไม่อยากให้เซี่ยอีแต่งเข้าวังหลวง แรกเริ่มยามได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ากับหลินไท่เฟยหารือเรื่องสมรสระหว่างฉินชิงกับเซี่ยซี ฮูหยินหมิงก็ไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้บุตรีแต่งเข้าวังหลวงเท่าไรนัก
เซี่ยฟางหวาเดินกลับไปทีละก้าวเชื่องช้า นางไม่รู้ว่าเมื่อเซี่ยอีไปหาฉินอวี้ บอกเขาต่อหน้าว่าชอบ ฉินอวี้จะแสดงสีหน้าอย่างไร และก็ไม่รู้เช่นกันว่าพระชายาอิงชินอ๋องกับฮูหยินหมิงจะแสดงสีหน้าอย่างไร และยิ่งไม่รู้ว่าเหล่าฮูหยินและคุณหนูจะแสดงสีหน้าอย่างไร โดยเฉพาะจินเยี่ยน จะรู้สึกแบบใด
หากเป็นนางในชาติก่อนก็จะทำเหมือนเซี่ยอีแน่นอน รวบรวมความกล้าบินเข้ากองไฟ
ชาตินี้ กำลังทั้งหมดของนางราวกับใช้หมดไปในชาติก่อนแล้ว แต่โชคดียังมีฉินเจิง เขาใช้กำลังสองเท่ากระทั่งมากกว่านั้นหลายเท่าเพื่อสานต่อการสมรสนี้ให้สมหวังดังปรารถนา
ขณะที่นางกำลังคิด พลันมีเงาคนซัดฝ่ามือโจมตีใส่นางมาจากด้านหลัง
เซี่ยฟางหวาผงะตกใจ พริบตาก็ก้าวเท้าหลุดจากตำแหน่ง ซัดฝ่ามือโจมตีกลับ
หลังนางซัดฝ่ามือกลับไปก็ได้ยินเสียง “ไอ้หยา” ดังขึ้น ร่างที่เพิ่งทรงตัวมั่นคงเซถอยไปหลายก้าว
เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงคุ้นเคยจึงตวัดตามอง พบว่าเป็นเยี่ยนถิง เขาถือกรงไว้ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างกุมแขนข้างนั้นที่ถือกรงเอาไว้ และกำลังมองมายังนางด้วยใบหน้าตกใจ นางถามด้วยความโมโห “เจ้าซุ่มโจมตีข้าทำไม”
“อาการบาดเจ็บเจ้ายังไม่หายดีไม่ใช่รึ” เยี่ยนถิงมองนาง
“ข้ายังไม่หายดี เจ้าก็เลยซุ่มโจมตีข้า” เซี่ยฟางหวาถลึงตามองเขา
เยี่ยนถิงอึ้งไป “ข้าแค่ทดสอบเจ้า ซุ่มโจมตีเจ้าจริงๆ ที่ไหนกัน”
“อาการบาดเจ็บข้าดีขึ้นมากแล้ว โชคดีที่ใช้แรงไปแค่เจ็ดส่วน มิฉะนั้นแขนเจ้าคงขาดไปแล้ว” เซี่ย
ฟางหวามองเขา
เยี่ยนถิงอุทานเสียงหนึ่ง มองกรงในมือแล้วถอนหายใจยาวเหยียด “โชคดีที่จิ้งหรีดสองตัวนี้ไม่เป็นไร มิฉะนั้นฉินชิงต้องกินหัวข้าแน่”
เซี่ยฟางหวาเห็นกรงในมือเขาก่อนแล้ว จึงเอ่ยถาม “เจ้าแย่งจิ้งหรีดคนอื่นไปทำไม”
“แค่แกล้งเขาเท่านั้น” เยี่ยนถิงกะพริบตา
เซี่ยฟางหวาหมดคำพูด “เจ้ามาถึงจวนอิงชินอ๋องตั้งนานแล้ว ไปอยู่ไหนมา”
เยี่ยนถิงมองไปยังเรือนลั่วเหมยแวบหนึ่ง ตอบเต็มปากเต็มคำ “ไปหาผิ่นจู๋ที่เรือนลั่วเหมยของเจ้า”
เซี่ยฟางหวายิ้มขำ “พบนางแล้วหรือ”
เยี่ยนถิงตอบ “อืม” ก่อนพยักหน้าแล้วพูดว่า “นางก็ยังไม่ตกลงอยู่ดี” พูดจบ เขาก็เอ่ยถาม “ฝ่าบาทมาแล้วหรือ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ฉินชิงเล่า ยังอยู่หรือไม่ ข้าจะเอาจิ้งหรีดไปคืนเขา” เยี่ยนถิงกล่าว
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “กลับจวนไปเชิญหลินไท่เฟยแล้ว”
เยี่ยนถิงกะพริบตาปริบ “ไปนานเท่าไรแล้ว”
“สักพักแล้ว” เซี่ยฟางหวามองฟ้า
“เข้าไม่อยู่แค่ครู่เดียว เกิดเรื่องใดขึ้น” เยี่ยนถิงถามอีก
เซี่ยฟางหวาเล่าเรื่องฉินชิงไปสู่ขอเซี่ยอีต่อหน้าฮูหยินหมิงให้เขาฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง
เยี่ยนถิงกล่าวขึ้นทันที “คนพี่ชอบฉินชิง แต่ฉินชิงมาสู่ขอคนน้อง ก่อนหน้านี้หลินไท่เฟยกับท่านยายอาวุโสชักใยไม่สำเร็จ ยามนี้ก็มีหวังขึ้นแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนผักในน้ำแกงเท่านั้น” พูดจบ เยี่ยนถิงก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “เช่นนั้นมีการแสดงให้ชมแล้ว ไปกันเถอะ เรารีบไปดูการแสดงกัน”
เซี่ยฟางหวาคิดในใจว่ามิใช่การแสดงแค่ฉากเดียว แต่ยังมีการแสดงอื่นผสมโรงด้วย เพียงแต่นางมิได้บอกเยี่ยนถิงเท่านั้น
เยี่ยนถิงถือกรงเดินออกไปไม่กี่ก้าว พบว่าเซี่ยฟางหวาเดินตามมาอย่างเชื่องช้า เขาก็เอ่ยเร่ง “ไฉนเจ้าถึงเดินช้าขนาดนี้ มัวอืดอาดยืดยาดอยู่ทำไม ยังไม่รีบเดินอีก”
“เจ้าก็เดินเร็วไปสิ สนใจข้าทำไม” เซี่ยฟางหวาปรายตามอง
เยี่ยนถิงกลอกตา “เจ้าไม่ชอบประสมโรงด้วยหรือ”
“ไม่ชอบ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
เยี่ยนถิงแค่นหัวเราะ ก่อนหมุนตัวสาวเท้าเดินตรงกลับไป
เซี่ยฟางหวาคิดในใจว่าเยี่ยนถิงเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาไปพบผิ่นจู๋ที่เรือนลั่วเหมยเป็นเช่นไรบ้าง
ก่อนหน้านี้ตอนที่เซี่ยอีดึงเซี่ยฟางหวาออกมา ทั้งสองเดิมมิได้เดินออกมาไกลนัก ตอนนี้แม้เซี่ยฟางหวาเดินช้าเพียงใด แต่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชาก็กลับมาถึงศาลาริมน้ำแล้ว