จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 25-2 คนจากตระกูลเจิ้ง
เซี่ยฟางหวากับจินเยี่ยนออกจากศาลาริมน้ำ เดินไปยังหน้าจวน
ฉินห้าว รวมถึงหัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่นกับเสี่ยวเฉวียนจื่อก็เดินออกมาต้อนรับทีหลัง
ระหว่างเดิน จินเยี่ยนก็พูดเสียงเบากับเซี่ยฟางหวา “ฉินห้าวเปลี่ยนไปเยอะมาก”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“หลูเสวี่ยอิ๋งทนทุกข์มาครั้งหนึ่ง วันนี้นับว่าความสุขมาเยือนแล้วเช่นกัน หากต่อไปฉินห้าวดีกับนางจริงๆ นางก็นับว่ามีความสุขในบั้นปลายชีวิตแล้ว” จินเยี่ยนกล่าว
“นางจะรับอนุแปดบ้านมาให้ฉินห้าว” เซี่ยฟางหวาลดเสียงลง
จินเยี่ยนสะดุ้งโหยง
“ยังต้องดูอนาคต เรื่องสามีภรรยาก็เหมือนคนดื่มน้ำ ร้อนเย็นรู้เอง” เซี่ยฟางหวายิ้ม
“ก็จริง” จินเยี่ยนพยักหน้า คล้องแขนนาง “เซี่ยอีจากครอบครัวหกทำให้คนมองนางใหม่แล้ว ตอนนี้เมื่อเทียบกัน ข้ายังไม่กล้าหาญได้สักครึ่งหนึ่งของนางเลย”
“วันนี้น้องอีก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน” เซี่ยฟางหวากล่าว
“ถึงแม้ไม่มีทางเลือก แต่โอกาสแบบนี้ ก็มิใช่ใครล้วนทำได้ อย่างน้อยด้านนี้ของข้าก็เทียบนางมิได้ วันข้างหน้าหากนางรอจนกว่าพี่ชายอวี้หันกลับมามองได้จริง ข้าเองก็อวยพรชื่นชมนาง” จินเยี่ยนกล่าว “นับจากนี้ บุตรีครอบครัวหกก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าแล้วเช่นกัน”
เซี่ยฟางหวาเห็นว่าจินเยี่ยนมิได้แสลงใจต่อเหตุการณ์วันนี้ กลับชื่นชมเซี่ยอี นางก็ไม่รู้ว่าควรเอ่ยคำใด
ระหว่างมนุษย์ไม่มีวิธีใดเปรียบเทียบกันได้อย่างแท้จริง
บางคนเฝ้าแสวงหาแต่มิได้มา บางคนกลับได้มาอย่างง่ายดาย
แม้เซี่ยอีก็มิใช่คนที่ได้มาอย่างง่ายดายเช่นกัน แต่เส้นทางที่จินเยี่ยนเลือกเดินหลังจากนี้นั้น ยากลำบากว่าเส้นทางของนางมากนัก ถึงอย่างไรตอนนี้คนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็เข้าเมืองมาแล้ว ใกล้ได้พบหน้ากันอย่างรวดเร็ว
เสียสละเพื่อคุณธรรม กี่คนกันจะทำได้
เซี่ยฟางหวากับจินเยี่ยนคุยกันจนมาถึงหน้าจวน คนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางยังมาไม่ถึง
ฉินห้าว เสี่ยวเฉวียนจื่อ และสี่ซุ่นมาถึง ยืนรอร่วมกับเซี่ยฟางหวาและจินเยี่ยนเช่นกัน
รอเป็นเวลาราวครึ่งถ้วยชา ม้าสามตัวก็มาถึงจวนอิงชินอ๋อง
คนนำหน้าเป็นผู้อาวุโสเคราขาวท่านหนึ่ง อายุราวเจ็ดสิบปี อีกท่านคือผู้อาวุโสวัยกลางคนที่อายุราวห้าสิบปี และคนสุดท้ายเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม รูปลักษณ์แม้มิอาจเรียกได้ว่างดงามไร้ที่ติ ทว่าก็เป็นบุรุษที่มองได้เพลินตาไม่น่าเบื่อ
ทั้งสามคนล้วนเนื้อตัวคลุกฝุ่น
เซี่ยฟางหวาทอดถอนใจ ผู้อาวุโสอายุเจ็ดสิบที่เคราขาวท่านนั้นคงจะเป็นผู้นำตระกูลเจิ้งอี้ อายุปูนนี้แล้วกลับยังต้องขี่ม้าห้อตะบึงมา ดูท่าร่างกายคงแข็งแรงยิ่ง ชวนให้น่านับถือเรื่องพื้นฐานร่างกายแล้ว
ผู้อาวุโสวัยกลางคนที่อายุครึ่งร้อยอีกท่านหนึ่ง คงจะเป็นนายท่านใหญ่เจิ้งเฉิง บิดาของเจิ้งเซี่ยวฉุน
ส่วนบุรุษหนุ่มเพียงคนเดียวนั้น ไม่ต้องเดาก็น่าจะเป็นเจิ้งเซี่ยวฉุน
ทั้งสามลงจากม้า พบว่าหน้าจวนมีคนรออยู่กลุ่มหนึ่ง นำหน้าโดยหนึ่งบุรุษและสองสตรี บุรุษนั้นรูปงาม ส่วนสองสตรีนั้นคนหนึ่งงดงามดุจภาพวาด คนหนึ่งแลดูอ่อนช้อยใบหน้าดั่งหยก ที่เหลือเป็นท่านหนึ่งที่ห้อยป้ายหัวหน้าพ่อบ้านประจำจวน อีกท่านหนึ่งห้อยป้ายหัวหน้าดูแลในวังหลวง
ในคนเหล่านี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดาสามัญ
ผู้อาวุโสก้าวขึ้นหน้า “ผู้น้อยเจิ้งอี้แห่งตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง นำบุตรชายเจิ้งเฉิง และหลานชายเจิ้งเซี่ยวฉุนมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทุกท่านคือ”
ฉินห้าวประสานมือ “คารวะท่านปู่เจิ้ง ผู้น้อยฉินห้าว” พูดจบก็ผายมือไปยังเซี่ยฟางหวา “ท่านนี้คือน้องสะใภ้เซี่ยฟางหวา” พูดจบก็ผายมือไปยังจินเยี่ยน “ส่วนท่านนี้คือท่านหญิงจินเยี่ยนแห่งจวนองค์หญิงใหญ่”
คนจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ
ผู้อาวุโสทั้งสองหยุดสายตาลงบนกายเซี่ยฟางหวาทันใด
เจิ้งเซี่ยวฉุนชะงักครู่หนึ่ง ตวัดตามองจินเยี่ยนอย่างตั้งใจ
สายตาของจินเยี่ยนกับเจิ้งเซี่ยวฉุนประสานกัน นางย่อเข่าทำความเคารพเขา
เจิ้งเซี่ยวฉุนรีบทำความเคารพกลับ
ทั้งสองพบกัน ใช้ธรรมเนียมเป็นการทักทาย
อีกด้านหนึ่ง เจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงก้าวขึ้นมาทำความเคารพฉินห้าวกับเซี่ยฟางหวา “ที่แท้เป็นคุณชายใหญ่และพระชายาน้อย เสียมารยาทแล้ว” พูดจบ ก็อมยิ้มอ่อนโยนกล่าวกับจินเยี่ยน “ท่านหญิงจินเยี่ยน”
จินเยี่ยนย่อเข่าทำความเคารพทั้งสอง
“พวกท่านปู่เจิ้งเดินทางมาไกลจากสิงหยาง ลำบากแล้ว ฝ่าบาท ไทเฮา พระชายา และองค์หญิงใหญ่ล้วนรอทุกท่านอยู่ในเรือน เชิญเข้าข้างในเถิด” เซี่ยฟางหวาแย้มยิ้มบาง
เจิ้งอี้และเจิ้งเฉิงก็กล่าวขึ้นเช่นกันว่า “เชิญ” ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินเข้าไปข้างใน
ระหว่างทาง เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะถาม “ท่านปู่เจิ้งคงมีร่างกายแข็งแรงมาก เท่าที่ข้าทราบมา ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางอยู่ห่างจากเมืองหลวงนัก อย่างเร็วที่สุดพวกเจ้าน่าจะมาถึงในเย็นวันนี้มิใช่หรือ”
เจิ้งอี้หัวเราะใหญ่ “ร่างกายข้ายังนับว่าแข็งแรง พระชายาน้อยพูดถูกแล้ว ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางอยู่ห่างจากเมืองหลวงนัก อย่างเร็วที่สุดควรมาถึงในเย็นวันนี้ ข้ากับเจิ้งเฉิงออกมานอกเมืองด้วยกันพอดี ได้ยินว่าฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า จึงไปสมทบกับเซี่ยวฉุนแล้วออกเดินทาง ถ้ามิอย่างนั้นข้าอายุปูนนี้แล้ว รีบเร่งเดินทางมา ถึงเย็นพรุ่งนี้ก็ไม่เลวแล้ว เซี่ยวฉุนรีบเดินทางมาจากสิงหยาง ลำบากกว่าเยอะ”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” เซี่ยฟางหวายิ้ม หันไปกล่าวกับเจิ้งเซี่ยวฉุน “ลำบากคุณชายเจิ้งแล้ว”
“ฝ่าบาททรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า ย่อมต้องเข้าเมืองทันที มิลำบาก” เจิ้งเซี่ยวฉุนตอบทันที
เซี่ยฟางหวายิ้มมองจินเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยหยอกล้อเจิ้งเซี่ยวฉุน “คุณชายเจิ้งเห็นท่านหญิงจินเยี่ยนชัดแล้วใช่ไหม ตอนนี้รู้จักและจดจำได้แล้วกระมัง ประเดี๋ยวพอไปถึงศาลาริมน้ำแล้ว คุณหนูจากหลากจวนอยู่กันเยอะแยะ เจ้าเห็นทุกคนแล้วอย่าจำผิดคนเล่า”
เจิ้งเซี่ยวฉุนไม่นึกว่าเซี่ยฟางหวาจะหยอกล้อเขา ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย เงยหน้ามองจินเยี่ยนอีกครั้งทันใด ก่อนส่ายหน้าตอบ “ผู้น้อยจำได้แล้ว รู้จักท่านหญิงจินเยี่ยนแล้ว ไม่มีวันจำผิดคนโดยเด็ดขาด”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เซี่ยฟางหวาพิจารณาจากสีหน้าเขาหลังได้ยินประโยคนี้ บุรุษที่เขินอายเป็น โดยทั่วไปค่อนข้างมีจิตใจถูกทำนองคลองธรรม อุปนิสัยล้วนไม่เลว เห็นครั้งแรกสุภาพเรียบร้อย สร้างความประทับใจอันดีงามแก่คนมอง มิน่าเล่าฮูหยินหมิ่น ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา และองค์หญิงใหญ่ล้วนถูกใจเขา
จินเยี่ยนใช้แขนแตะเซี่ยฟางหวาเล็กน้อย กระซิบกล่าวว่า “หากเจ้าทำเขาตกใจจนหนีไป ทำข้าเสียเรื่อง ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้า”
เซี่ยฟางหวาบีบมือนาง ยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถิด คุณชายเจิ้งไหนเลยจะตกใจจนหนีไปง่ายขนาดนั้น”
ประโยคนั้นของจินเยี่ยนเบามาก ใช้เสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยินกล่าว แต่เซี่ยฟางหวากลับตั้งใจพูดเสียงดังหยอกล้อขึ้นมา จงใจให้เจิ้งเซี่ยวฉุนได้ยิน
ใบหน้าจินเยี่ยนแดงจัดทันที ตวัดฝ่ามือตีนาง
เซี่ยฟางหวาหลบทันใด ขณะเดียวกันก็ยิ้มกล่าว “ท่านหญิงจินเยี่ยน โปรดระวังกิริยาด้วย ระวังคุณชายเจิ้งมิได้ตกใจจนหนีไปเพราะข้า แต่ตกใจหนีเพราะท่าทางโวยวายของท่านแทน”
จินเยี่ยนหยุดมือทันที มองเจิ้งเซี่ยวฉุนด้วยใบหน้าแดงระเรื่อหาได้ยาก
เจิ้งเซี่ยวฉุนมองมาที่ทั้งสอง ใบหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม แย้มยิ้มค่อนข้างขลาดอายให้แก่ทั้งสอง กระแอมไอเสียงหนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “ผู้น้อยมาเพื่อสู่ขอ ย่อมไม่…ไม่ตกใจจนหนีไป…”
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มขำ คิดในใจว่าเจิ้งเซี่ยวฉุนช่างน่าสนใจ ใบหน้าบางอย่างยิ่ง
จินเยี่ยนทราบว่าเซี่ยฟางหวาคงมีเป้าหมายที่หยอกล้อเจิ้งเซี่ยวฉุนเพื่อสังเกตนิสัย แต่ก็ถูกแกล้งจนอายแล้ว จึงแสร้งตีนางด้วยความโกรธ ทั้งเขินทั้งโมโหว่า “รอข้าบอกพี่เจิงให้จัดการเจ้า”
“ข้าไม่แกล้งคุณชายเจิ้งแล้วก็ได้ ท่านอย่าบอกฉินเจิงพญายมน้อยนั่นนะ” เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าเว้าวอนทันที
จินเยี่ยนหลุดหัวเราะอย่างพึงพอใจ “สุภาษิตว่าของสิ่งหนึ่งพิชิตของอีกอย่างหนึ่ง เป็นจริงดังที่ว่าไว้ มีคนที่เจ้ากลัวบ้างก็ดี เจ้าจะได้ไม่เอาแต่แกล้งข้า แต่ข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้”
เซี่ยฟางหวาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกัน ไร้ซึ่งความเคร่งครัดในประเพณีหรือระมัดระวังตัวเกินไปอย่างที่คุณหนูตระกูลใหญ่ควรมี ทำให้เจิ้งเซี่ยวฉุนค่อนข้างแปลกใจ
ส่วนเจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงเห็นทั้งสองเป็นแบบนี้ก็มองหน้ากัน สื่อสารบางอย่างผ่านทางสายตา ก่อนแย้มยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน
เซี่ยฟางหวามองเห็นชัดเจน แต่ยิ้มโดยไม่ส่งเสียงใด
ทั้งหมดเดินมาถึงเรือนด้านใน
เวลานี้ เรือนด้านในเปลี่ยนการจัดที่นั่งแล้ว
ฉินอวี้ ไทเฮา พระชายาอิงชินอ๋อง และองค์หญิงใหญ่ล้วนมานั่งบริเวณแขกที่นั่งบุรุษ ส่วนหลี่มู่ชิง
เยี่ยนถิง เฉิงหมิง และซ่งฟางนั่งอยู่รอบนอก
เจิ้งอี้ เจิ้งเฉิง และเจิ้งเซี่ยวฉุนมาถึง ก็ถวายบังคมหมอบกราบฝ่าบาท
ฉินอวี้ลุกขึ้น ประคองเจิ้งอี้ที่อายุเจ็ดสิบกว่าขึ้นมา ยิ้มด้วยความอ่อนโยน “ท่านปู่เจิ้งอายุมากแล้ว ต่อไปเวลาพบเราไม่ต้องทำความเคารพ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา แต่ร่างกายข้ายังแข็งแรงดี พบฝ่าบาทแล้วก็ต้องหมอบกราบเป็นธรรมดา มิอาจละเลยประเพณีได้” เจิ้งอี้ทูลกล่าวทันใด
“เสด็จแม่ ท่านป้าใหญ่ และท่านป้าเพิ่งคุยกันว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางอบรมเรื่องมารยาทมาเป็นอย่างดี ยิ่งกว่าตระกูลเก่าแก่เสียอีก ดูท่าคงเป็นความจริง” ฉินอวี้ยิ้ม
เจิ้งอี้กล่าวว่า “มิบังอาจ” ก่อนพาเจิ้งเฉิงกับเจิ้งเซี่ยวฉุนไปถวายบังคมไทเฮา รวมถึงทำความเคารพ
พระชายาอิงชินอ๋องและองค์หญิงใหญ่
“ท่านปู่เจิ้งตามสบาย” ไทเฮายิ้มเอ่ย
พระชายาอิงชินอ๋องกับองค์หญิงใหญ่ล้วนหยุดสายตาบนกายเจิ้งเซี่ยวฉุน หลังทั้งสองพินิจดูแล้ว
พระชายาอิงชินอ๋องก็ยิ้มกล่าวขึ้น “ท่านนี้คือคุณชายเจิ้งใช่ไหม สมกับที่ร่ำลือกัน รูปงามดังคาด”
องค์หญิงใหญ่ก็พยักหน้าอย่างพอใจด้วย เหล่มองบุตรีตนแวบหนึ่ง พบว่าจินเยี่ยนมิได้แสดงออกว่าไม่พอใจ จึงลอบถอนหายใจโล่งอก