จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 27-2 พี่รับโทษแทนน้อง
ภายในห้อง หลี่หรูปี้นั่งบนเตียง สีหน้าสงบนิ่ง ครึ่งใบหน้าเผยให้เห็นเลือดเนื้อคลุมเครือ
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวานั่งข้างนาง โกรธแค้นอย่างแสนสาหัส ถือผ้าเช็ดหน้าร้องไห้จนไม่เหลือเค้ามนุษย์ ปากเอาแต่พ่นคำบริภาษออกมาราวกับโกรธแค้นจนเสียสติไปแล้ว
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นสตรีผู้มีสติปัญญา งดงามเพียบพร้อมมาโดยตลอด ไม่เคยมีใครเห็นนางเป็นแบบนี้มาก่อน
บุตรีสุดที่รักถูกคนทำร้ายจนกลายเป็นแบบนี้ ทราบกันดีว่ารูปลักษณ์ของสตรีนั้นล้ำค่าที่สุด ทว่ากลับถูกทำร้ายจนอยู่ในสภาพนี้ คนเป็นมารดาคนใดมิอาจไม่สะทกสะท้านได้
หลี่มู่ชิงยืนด้านข้าง คิ้วผูกกันเป็นตัวอักษรชวน*[1]
หมอหลวงสองคนมีท่าทางราวกับอับจนหนทาง
เสนาบดีฝ่ายขวานำทางเซี่ยฟางหวากับพระชายาอิงชินอ๋องเข้ามา หลี่หรูปี้หันมามอง เสนาบดีฝ่ายขวากำลังจะอ้าปากกล่าว ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเห็นเซี่ยฟางหวาก็พลันเดือดดาล “เจ้ามาทำไม ออกไป”
เซี่ยฟางหวามึนงง ตวัดตามองฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา พบว่าใบหน้านางเต็มไปด้วยความโทสะ ดวงตาคู่นั้นมองมายังเซี่ยฟางหวาราวกับไฟที่ปะทุขึ้น
พระชายาอิงชินอ๋องขมวดคิ้วทันที กล่าวอย่างมีโทสะตาม “นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ หวาเอ๋อร์เป็น
ฝ่าบาทเชิญมาเพื่อรักษาคุณหนูหลี่ เจ้าไล่นางออกไปแล้ว ใครจะรักษาบุตรีให้เจ้า พวกเราเข้าใจความรู้สึกเจ้า แต่ถึงเสียสติและปวดใจเพียงใดก็ไม่ควรแว้งกัดผู้อื่น ถึงอย่างไรกรรมมีเหตุหนี้มีเจ้าของ”
เซี่ยฟางหวาไม่ส่งเสียง ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาไม่ชอบนาง รังเกียจนาง ตัวนางก็ทราบสาเหตุเช่นกัน น้ำแข็งเกาะตัวสามฉื่อมิอาจเกิดจากอากาศหนาวแค่วันเดียว
เสนาบดีฝ่ายขวาขมวดคิ้ว “ร้องไห้ทำไม ข้าว่าคนที่ควรออกไปเป็นเจ้ามากกว่า สภาพเจ้าตอนนี้มีแต่จะรบกวนการรักษา” พูดจบ เขาก็กล่าวอย่างมีโทสะ “ชิงเอ๋อร์ ประคองแม่เจ้าออกไปก่อน”
“ท่านแม่ ข้าประคองท่านออกไปก่อน ท่านต้องทำใจเย็นๆ” หลี่มู่ชิงเดินเข้าไปประคองฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา
“ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ดูการรักษาที่นี่ เป็นความผิดข้า หากข้าไม่เปิดหน้าต่างถามเจิ้งเซี่ยวหยางคนนั้น ปี้เอ๋อร์ก็ไม่ต้องมารับเคราะห์แทนข้า” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาร้องไห้พลางส่ายหน้า
“จนป่านนี้แล้วโทษตัวเองจะมีประโยชน์ใด เจ้าออกไปก่อน การรักษาสำคัญกว่า” เสนาบดีฝ่ายขวาหันมาประสานมือกล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ลำบากพระชายาน้อยแล้ว ฮูหยินร้อนใจจึงพลั้งปาก ขอเจ้ากับ
พระชายาอภัยให้ด้วย”
“ความรู้สึกของฮูหยินข้าเข้าใจได้ นายท่านเสนาบดีวางใจเถิด ข้าจะรักษาคุณหนูหลี่ก่อน ต้องทำสุดความสามารถแน่นอน” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเรียบ
เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้าให้อย่างซาบซึ้งใจ
เซี่ยฟางหวาเดินเข้ามาใกล้ ก่อนสั่งงานว่า “ไปนำน้ำสะอาดมากะละมังหนึ่ง”
มีคนออกไปทันที
เซี่ยฟางหวาสำรวจใบหน้าที่ถูกทำร้ายของหลี่หรูปี้อย่างละเอียด ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดในใจว่าเจิ้งเซี่ยวหยางลงมืออย่างโหดเ**้ยมนัก บาดแผลแบบนี้ ถึงแม้เป็นวิชาแพทย์ของเหยียนเฉิน เกรงว่าก็ต้องทิ้งแผลเป็นไว้เช่นกัน นอกเสียจาก…
นางกำลังครุ่นคิด หลี่หรูปี้พลันหันหน้ามา มองนางโดยตรง
เซี่ยฟางหวาสบกับแววตาเงียบสงบกระทั่งเย็นเยียบของนาง ชะงักไปเล็กน้อย ตวัดตามองนาง
หลี่หรูปี้มองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง พลันถามว่า “รักษาได้หรือไม่ คืนใบหน้าเดิมของข้าได้หรือไม่”
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด กล่าวอย่างไตร่ตรอง “บาดแผลลึกเกินไป เกรงว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นประทับไว้เล็กน้อย ฟื้นคืนได้แปดเก้าส่วน”
“หมายความว่าฟื้นคืนใบหน้าเดิมของข้าไม่ได้แล้ว” หลี่หรูปี้ถาม
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ไม่ง่ายขนาดนั้น”
“ทำไม่ได้แล้วหรือ” หลี่หรูปี้เค้นถาม
เซี่ยฟางหวาเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว”
“ตกลงว่าได้หรือไม่ได้กันแน่ เจ้าช่วยพูดให้ชัดเจน” หลี่หรูปี้มองนาง
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ต้องดูการฟื้นตัวของแผลเจ้า เรื่องนี้ข้ามิอาจรับรองได้ ต่อให้เป็นหมอคนใดก็มิอาจรับรองได้เช่นกัน แต่ด้วยวิชาแพทย์ของข้า ข้าทำให้ฟื้นกลับคืนมาได้แปดเก้าส่วน หากไม่ดูใกล้ๆ ย่อมมองไม่ออก”
หลี่หรูปี้ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวทันที “ในเมื่อฟื้นคืนใบหน้าเดิมมิได้ ก็ไม่ต้องรักษา”
“ปี้เอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ย่นหัวคิ้ว
“ท่านพ่อ ข้าไม่รักษาแล้ว ปล่อยไว้เช่นนี้เถิด ถึงอย่างไรสำหรับข้าแล้ว ใบหน้าดีหรือแย่ก็มิได้เป็นประโยชน์อะไร” หลี่หรูปี้ตอบ
“เหลวไหล” เสนาบดีฝ่ายขวาตำหนิด้วยโทสะ
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ลนลานแล้ว “ใบหน้าดีหรือร้ายสำหรับสตรีแล้ว มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใหญ่หลวง หากเจ้าไม่รักษาให้ดี ชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว” พูดจบ นางก็คลายโทสะก่อนหน้านี้ลง อ้อนวอนเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย อย่าฟังนาง รีบรักษานางเร็ว หากฟื้นใบหน้าคืนให้นางได้ บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของเจ้า จวนเสนาบดีฝ่ายขวาจะจดจำไปตลอดกาล”
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นกันก็หมดคำพูด
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า มีคนยกน้ำสะอาดเข้ามา นางขยับมือล้างแผลให้หลี่หรูปี้
หลี่หรูปี้หลบมือนาง กล่าวอย่างเด็ดขาด “ข้าไม่รักษา”
เซี่ยฟางหวาหันไปมองเสนาบดีฝ่ายขวา
“ไม่รักษาไม่ได้ ฟังข้า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะก่อเรื่อง” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อย่าทำให้พวกเรากังวลใจ”
“น้องฟังเถอะ โอกาสในการรักษามิอาจรอช้าได้” หลี่มู่ชิงก้าวขึ้นมา บอกนางด้วยเสียงอ่อนโยน “เด็กดี”
“ท่านพี่ ข้าไม่อยากรักษาแล้ว รักษาไม่หาย มิสู้ไม่รักษา” หลี่หรูปี้ส่ายหน้า
“ข้าบอกว่าไม่มั่นใจครบสิบส่วน แต่ไม่ได้บอกว่ารักษาไม่หาย” เซี่ยฟางหวาพูดขึ้น “ไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไร หากยังช้าไปกว่านี้ จะรักษาไม่หายจริงๆ แล้ว”
“ปี้เอ๋อร์ ฟังข้า” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาก็เข้ามาเกลี้ยกล่อม “เจ้ารักษาให้หายดี เจิ้งเซี่ยวหยางนั่น แม่ไม่ปล่อยให้เขาตายดีแน่นอน”
“พูดเหลวไหลอันใด ฝ่าบาททรงรออยู่ด้านนอก เรื่องนี้ย่อมมิใช่เราลงโทษ ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินพระทัย” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวด้วยโทสะ
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ร้องไห้ขึ้นมาอีกหน
“ร้องไห้อะไรนัก เจ้ารู้จักแต่ร้องไห้” ใบหน้าเสนาบดีฝ่ายขวาไม่น่ามองยิ่ง ทั้งปวดศีรษะ ทั้งจนปัญญา มองไปยังหลี่มู่ชิง
หลี่มู่ชิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตวัดฝ่ามือฟาดลงบนต้นคอหลี่หรูปี้แผ่วเบา หลี่หรูปี้หมดสติไปในทันที เขายื่นมือรับกายนางไว้ “มาอยู่ตรงนี้กันทำไมเยอะแยะ ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านออกไปก่อนเถิด ข้าจะอยู่ที่นี่ ช่วยพระชายาน้อยรักษานางเอง”
เสนาบดีฝ่ายขวาเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้า ส่งสายตาให้ฮูหยินตามตนออกไป
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาไม่อยากไป เสนาบดีฝ่ายขวาถลึงตามองนางอย่างน่ากลัว นางจึงตามออกไป
พระชายาอิงชินอ๋องกับองค์หญิงใหญ่มองหน้ากัน ก่อนถอยออกไปรอนอกห้องเช่นกัน
จินเยี่ยนมิได้ออกไปด้วย อยู่ต่อในห้อง
“ลงมือเถอะ” หลี่มู่ชิงบอกเซี่ยฟางหวา “ต้องการสิ่งใด ข้าจะเป็นผู้ช่วยให้”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า เดินเข้ามาใกล้ ทำความสะอาดบาดแผลให้หลี่หรูปี้ก่อน ขับพิษออก แล้วหยิบยาใส่แผลจินชวงกับไขหนิงจือลู่ออกมาจากอกเสื้อ ทาลงบนบริเวณแผล รอยแส้ลึกจนแทบเห็นกระดูก สุดท้ายนางก็พันแผลครึ่งใบหน้าให้ ล้างมือให้สะอาด แล้วเดินไปเขียนเทียบยาบนโต๊ะ ส่งให้หลี่มู่ชิง
หลี่มู่ชิงรับเทียบยา มองนางแล้วถามเสียงทุ้ม “แผลลึกขนาดนี้ ไม่มีทางรักษาให้หายจริงๆ ใช่ไหม”
เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่ง มิได้ตอบคำถาม ก่อนยื่นยาจินชวงกับไขหนิงจือลู่ในมือให้เขา พร้อมบอกว่า “ดูแลคุณหนูหลี่ให้ดี นี่เป็นยา เมื่อครู่ตอนข้าทายาเจ้าก็เห็นแล้ว ใส่ยาวันละสามครั้ง ห้ามโดนน้ำ สิบวันให้หลัง ดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากันอีกที”
หลี่มู่ชิงรับมาแล้วพยักหน้า
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าให้จินเยี่ยน จินเยี่ยนเดินออกไปพร้อมนาง
ออกมานอกห้อง ฉินอวี้ก็ถามเซี่ยฟางหวาเสียงอ่อนโยน “เป็นเช่นไร”
“ด้วยวิชาแพทย์ของข้า ฟื้นกลับมาได้แปดเก้าส่วน หากไม่ดูใกล้ๆ ก็มิได้แตกต่างจากเมื่อก่อน แต่หากมองใกล้ๆ ก็จะเห็นรอยแผลเป็นเล็กน้อย” เซี่ยฟางหวาตอบ “แผลลึกเกินไป เกือบจะเห็นกระดูกแล้ว”
ใบหน้าของฉินอวี้เคร่งขรึมเล็กน้อย
เสนาบดีฝ่ายขวาเองก็โกรธแค้นบ้างเช่นกัน มองคนจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแวบหนึ่ง ก่อนประสานมือกล่าวกับฉินอวี้ “ฝ่าบาท โปรดไปหารือกันที่ห้องรับแขก”
ฉินอวี้พยักพระพักตร์ เอ่ยกับพระชายาอิงชินอ๋องและเซี่ยฟางหวา “ท่านป้าใหญ่ ไปด้วยกันเถอะ”
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
ทุกคนเคลื่อนย้ายไปยังห้องรับแขกในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา
สามคนจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางล้วนมีใบหน้ากลัดกลุ้มมิเสื่อมคลาย แม้ในใจร้อนรนมาก แต่ก็มิได้ถามว่าเจิ้งเซี่ยวหยางถูกจวนเสนาบดีฝ่ายขวาจับไปไว้ที่ใด
เข้ามาในห้องรับแขก หลังทุกคนนั่งลงแล้ว ฉินอวี้ยังมิทันเอ่ยขึ้น ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาก็ร้องไห้โผเข้ามาคุกเข่าตรงพระพักตร์ฉินอวี้ “ฝ่าบาทโปรดตัดสินพระทัย หม่อมฉันกับปี้เอ๋อร์เดินอยู่ดีๆ เจิ้งเซี่ยวหยางคนนั้นจู่ๆ ก็ขี่ม้าพุ่งมา เกือบพลิกรถม้าคว่ำแล้ว หม่อมฉันจะถามดีๆ ว่าเป็นใครมาจากไหน เขาก็ตวัดแส้โจมตีกลับมา ตอนนี้ปี้เอ๋อร์อยู่ในสภาพนี้ พระองค์ก็ทรงทราบว่าใบหน้าของสตรีสำคัญที่สุด คนเถื่อนเช่นนี้ ขอให้ฝ่าบาททรงลงโทษตามกฎหมาย เชือดไก่ให้ลิงดู มิฉะนั้นวันหน้าหากมีคนเลียนแบบ ใต้พระบาทโอรสสวรรค์ ใช่ทุกคนสามารถทำร้ายผู้อื่นเสียโฉมโดยไร้เหตุผลก็ได้หรือไม่”
ฉินอวี้ข่มโทสะ เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “ฮูหยินลุกขึ้นก่อน ท่านปู่เจิ้ง นายท่านใหญ่ และคุณชายเจิ้งจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางล้วนอยู่ที่นี่แล้วย่อมมีคำอธิบายต่อจวนเสนาบดีฝ่ายขวาแน่นอน”
เสี่ยวเฉวียนจื่อก้าวขึ้นมาทันที ประคองฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาขึ้น “ฮูหยินรีบลุกขึ้นเถิด ท่านอย่าเพิ่งใจร้อน อย่าบอกว่าฝ่าบาทมิแยแสเลย ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเป็นตระกูลใหญ่เก่าแก่ที่มีการอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด กฎตระกูลล้วนมีจรรยาบรรณเทียมฟ้า ย่อมมีคำอธิบายต่อจวนเสนาบดีฝ่ายขวาแน่นอน”
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้น พยักหน้ารับ มองไปยังตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ส่งสายตาว่าหากวันนี้ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางไม่มีคำอธิบาย นางต้องสังหารเจิ้งเซี่ยวหยางเป็นแน่
เจิ้งอี้ได้ยินเช่นนั้น เคราขาวก็สั่นระริก
เจิ้งเฉิงระงับความกังวลลนลานภายในใจอย่างเต็มที่ ลุกขึ้นประสานมือต่อฉินอวี้และเสนาบดีฝ่ายขวา กล่าวอย่างทั้งโกรธและโมโห “ผู้น้อยมิทราบว่าเจ้าลูกชายจะแอบตามเข้าเมืองมา ทั้งทำร้ายคุณหนูหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา เขาไม่มีมารดามาตั้งแต่เด็ก ล้วนเป็นผู้น้อยที่ตามใจเขาจนเสียคน ทำให้เขาโตมาเป็น…”
“อย่าพูดแต่สิ่งที่ไร้ประโยชน์ ไม่สั่งสอนลูกชายให้ดีเป็นความรับผิดชอบของเจ้า พูดออกมาให้ใครฟังกัน เจ้าแค่บอกข้ามา เจ้าจะชดใช้คืนความยุติธรรมให้จวนเสนาบดีฝ่ายขวาของพวกเราอย่างไร” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาลั่นวาจาโหดเ**้ยม “บุตรีซึ่งเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของข้า ถูกทำร้ายเสียโฉมแบบนี้ หากเจ้าไม่มีคำอธิบาย ข้าจะให้คนเฉือนเนื้อเจิ้งเซี่ยวหยางที่ไร้ความเป็นมนุษย์คนนี้”
เจิ้งเฉิงตกใจ นิ่งค้างไปทันที ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรชั่วขณะ
เจิ้งเซี่ยวฉุนลุกขึ้น ประสานมือต่อเสนาบดีฝ่ายขวาและฮูหยินอย่างถ่อมตัว “น้องชายข้าเจ้าสำราญ เป็นความผิดของท่านพ่อกับข้าซึ่งเป็นพี่คนโตที่ละเลยการอบรมสั่งสอน ก่อให้เกิดหายนะในครั้งนี้” หยุดชั่วครู่ เขาคุกเข่าลงกับพื้น “เซี่ยวฉุนเต็มใจรับโทษแทนเขา ยอมให้จวนเสนาบดีฝ่ายขวาเฉือนเนื้อลงโทษ”
“เจ้าก็คือเจ้า น้องชายก็คือน้องชายเจ้า เจ้ามารับการเฉือนเนื้อแทนเขาแบบนี้ คิดว่ารับผิดแทนเขาที่ก่อหายนะได้แล้วหรือ” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวากล่าวด้วยโทสะ
“ที่ผ่านมาเป็นข้าที่สั่งสอนเขาข้างกาย น้องทำผิด พี่ชายก็ย่อมมีส่วน” เจิ้งเซี่ยวฉุนกล่าว “ขอให้นายท่านเสนาบดีกับฮูหยินลงโทษ เซี่ยวฉุนยินดีรับผิดแทนเต็มที่”
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเดือดจัด “เช่นนั้นก็ได้ ในเมื่อเจ้าเต็มใจรับโทษแทนเขา เป็นเจ้าที่รนหาที่เอง” พูดจบ นางก็กล่าวกับฉินอวี้ “ฝ่าบาท ทรงได้ยินแล้ว เจิ้งเซี่ยวฉุนเต็มใจรับโทษแทนน้องชายเขา ใบหน้าของลูกสาวหม่อมฉันมิอาจกลับเป็นเช่นเดิมได้ พระองค์ต้องทรงมอบโทษสถานหนักให้เขานะเพคะ”
ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็มองเจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิง “ท่านปู่เจิ้ง นายท่านใหญ่ พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
ท่านปู่เจิ้งถอนหายใจ “เรื่องนี้เป็นตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางของข้าทำผิด เป็นเจิ้งเฉิงสั่งสอนบุตรมาแบบผิดวิธี เป็นเซี่ยวฉุนมีส่วนในการสั่งสอนน้องชาย แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท ฝ่าบาทเห็นควรจัดการเช่นไร ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็ไม่ขอคัดค้าน”
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเจิ้งอี้แวบหนึ่ง มองผู้นำตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางคนนี้ต่างจากเดิม เป็นการตัดสินใจโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
[1] *อักษรชวน (川)