จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 30-1 รักจนวางไม่ลง
หน้าห้องรับแขกจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่เข็มหล่นก็ยังได้ยิน
จินเยี่ยนก้าวขึ้นมาสองก้าว หยุดตรงหน้าเซี่ยฟางหวา กล่าวว่า “มิใช่แม้แต่เจ้าก็คัดค้านหรอกใช่ไหม เจิ้งเซี่ยวหยางดูแล้วเลวร้ายไปสักหน่อย หรือออกเรือนด้วยมิได้จริงๆ หากข้าถูกเขารังแก มิใช่ยังมีเจ้ากับพี่ฉินเจิงหรือ พวกเจ้าจะปล่อยให้ข้าถูกเขารังแกหรือ”
เจิ้งเซี่ยวหยางได้ยินเช่นนั้นก็กลอกตาอีกหน ทันใดนั้นก็กล่าวด้วยท่าทีโหดร้าย “ข้าเสียใจทีหลังแล้ว ข้าบอกว่าไม่แต่งกับเจ้าแล้ว”
“เจ้าเห็นเมืองหลวงแห่งนี้ ใต้พระบาทโอรสสวรรค์ ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท เจ้านึกจะเปลี่ยนใจก็เปลี่ยนใจได้หรือ ถ้อยคำที่พูดออกไป น้ำที่สาดออกไปแล้ว มิอาจให้เจ้าเปลี่ยนใจได้ วันนี้ข้าต้องออกเรือนกับเจ้าแล้ว” จินเยี่ยนหันไปถลึงตามองเจิ้งเซี่ยวหยางแวบหนึ่ง ก่อนมองเซี่ยฟางหวา “เจ้าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกันแน่ พี่ชายอวี้ฟังเจ้า เจ้าพูดกับข้าสักประโยคสิ”
เซี่ยฟางหวาถอนหายใจอย่างจนปัญญา “งานสมรสของเจ้า เป็นเรื่องของชั่วชีวิต ข้าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยจะมีประโยชน์ใด”
“เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม นางไม่คัดค้าน รีบแก้ไขพระราชโองการให้ข้า” จินเยี่ยนหยิบพระราชโองการเดิมใต้แขนเสื้อมาส่งให้ฉินอวี้
“หากเจ้าออกเรือนกับเขา อย่ามาเรียกข้าว่าแม่อีก” องค์หญิงใหญ่มองจินเยี่ยนด้วยความโกรธ ก่อนลั่นวาจาโหดเ**้ยม
จินเยี่ยนพึมพำ “ประโยคนี้พูดมากี่ครั้งแล้ว ไม่เห็นว่าจะเคยได้ผลสักครั้ง” พูดจบ นางก็เร่งฉินอวี้ “คนเป็นฝ่าบาทนั้นชักช้าร่ำไรขนาดนี้เชียวหรือ ยังไม่รีบอีก”
องค์หญิงใหญ่โกรธจัด สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน รอเจิ้งเซี่ยวฉุนได้คำตอบจากคุณหนูหลี่ก่อนค่อยว่ากัน” ฉินอวี้มองจินเยี่ยน
“ถึงแม้หลี่หรูปี้ไม่ตกลง แล้วเกี่ยวอันใดกับข้าอีก ทอดทิ้งข้าไปสู่ขอคนอื่นอย่างง่ายดาย ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ตอนที่ข้าช่วยให้เขาปกป้องน้องชายได้สำเร็จนั้น ถือว่าข้าทอดทิ้งเขาแล้วเช่นกัน ถึงเขาทำเพื่อรับผิดแทนน้องชาย แต่ก็เป็นความสมัครใจของเขาเอง หรือก็คือเรื่องในวันนี้ ทั้งหมดเป็นเรื่องของเจิ้งเซี่ยวฉุน ไม่เกี่ยวข้องกับเจิ้งเซี่ยวหยาง เช่นนั้นงานสมรสของเราก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น ยังรอเขากลับมาทำไมอีก” จินเยี่ยนกล่าวขึ้นทันใด
“เจ้าแน่ใจ” ฉินอวี้มองนาง
“แน่ใจ” จินเยี่ยนพยักหน้าตอบอย่างมั่นใจ
“เช่นนั้นตกลง” ฉินอวี้พยักหน้าหยิบพระราชโองการที่จินเยี่ยนคืนมา หันไปสั่งงานเสี่ยวเฉวียนจื่อ “นำพระราชโองการนี้ไปทำลาย”
เสี่ยวเฉวียนจื่อรับคำว่า “พ่ะย่ะค่ะ” ก่อนนำพระราชโองการไปเผาทำลาย ณ ที่แห่งนี้
สมรสพระราชทานของเจิ้งเซี่ยวฉุนกับจินเยี่ยนเพิ่งถือเอาไว้เพียงครึ่งวัน ก็ถูกทำลายลงต่อสายตาทุกคนในชั่วพริบตา
เจิ้งเซี่ยวหยางมองดู หนังตากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อพระราชโองการถูกเผาลง ฉินอวี้ก็มีพระบัญชา “ร่างพระราชโองการใหม่ เราจะมอบสมรสพระราชทานให้ท่านหญิงจินเยี่ยนกับคุณชายรองเจิ้ง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เสี่ยวเฉวียนจื่อผงกศีรษะ
ขุนนางร่างพระราชโองการถูกเรียกตัวมาอย่างรวดเร็ว ร่างพระราชโองการ ณ ที่แห่งนี้
พระราชโองการร่างไปครึ่งหนึ่ง เจิ้งเซี่ยวหยางก็พลันโวยวายเสียงดัง “ไม่ได้ ข้าไม่ตกลง”
ฉินอวี้มองมาด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยเสียงเคร่งขรึม “เราอนุญาตให้เจ้าไม่เจียมตัวได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ตกลง”
เจิ้งเซี่ยวหยางชะงักนิ่ง ยืดคอตั้งตรงกล่าวว่า “สตรีผู้นี้ดุดันขนาดนี้ กระหม่อมยังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร”
“เจ้ารู้จักกลัวตาย ก็นับว่ายังเยียวยาได้” ฉินอวี้ละสายตากลับมา เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าแย่งดอกฉิงเหรินของฉินเจิงไป หากไม่อยากตายก็อ่านสถานการณ์หน่อย มิฉะนั้น นอกจากจินเยี่ยน ไม่มีใครปกป้องเจ้าได้แล้ว”
เจิ้งเซี่ยวหยางสะดุ้งโหยง “ทรงบอกว่าคนที่ไล่หลังกระหม่อมมาคือฉินเจิงหรือ”
“หากเป็นเขาไล่ตามเจ้า มีหรือจะตามเจ้าไม่ทัน” ฉินอวี้ไม่มองเขา
เจิ้งเซี่ยวหยางกระแอมขึ้น “กระหม่อมวิ่งม้าตายไปตั้งสามตัว”
“หากคนนั้นเป็นเขา ถึงเจ้าวิ่งม้าตายไปหนึ่งร้อยตัวก็ไม่มีประโยชน์” ฉินอวี้บอก
เจิ้งเซี่ยวหยางเกาศีรษะ ผมเผ้าที่เดิมทียุ่งเหยิงถูกเขาเกาจนกลายเป็นรังไก่ พักใหญ่ถัดมาก็เบะปากกล่าว “ก็ได้ แต่งก็แต่ง” พูดจบ เขาก็เตือนจินเยี่ยนว่า “ห้ามเจ้าเอะอะก็ฟ้องคนอื่น”
“ถ้าเจ้าไม่รังแกข้า ข้าย่อมไม่ทำ” จินเยี่ยนตอบ
“รังแกผู้หญิงน่าภูมิใจตรงไหน ข้าไม่ทำหรอก” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าวทันที
“แล้วใครทำลายใบหน้าของสตรีกัน” จินเยี่ยนพูดแทงใจดำ
“ตอนนั้นไม่คิดว่าคนที่นั่งอยู่ในรถเป็นผู้หญิง ไม่ว่าใครทำดอกฉิงเหรินของข้าเสียหาย จะคนหรือผีข้าก็ต้องฟาดแส้ใส่สักครั้งเช่นกัน” เจิ้งเซี่ยวหยางแค่นเสียง
จินเยี่ยนโบกมือไล่เขา กล่าวด้วยความรังเกียจ “เจ้ารีบไสหัวไปล้างเนื้อล้างตัวเสีย สภาพดูไม่ได้มาก”
“ในเมืองหลวงข้าไม่รู้จักใครทั้งนั้น จะให้ไปล้างตัวที่ไหน หรือว่าไปจวนองค์หญิงใหญ่ของเจ้า องค์หญิงใหญ่จะไม่ไล่ฟาดข้าออกมารึ” เจิ้งเซี่ยวหยางถาม
จินเยี่ยนอึ้ง “ฟาดเจ้านับว่ายังเบา ระวังแม่ข้าเอาชีวิตเจ้า”
เจิ้งเซี่ยวหยางกุมศีรษะเดินไปมาสองรอบ ก่อนผายมือออก “แล้วทำอย่างไร” พูดจบ เขาก็หันไปถามเจิ้งเฉิง “ท่านพ่อ พวกท่านหาที่พักหรือยัง”
เจิ้งเฉิงไม่ได้ดั่งใจ ตอบด้วยโทสะ “หลังเข้าเมืองมา แม้แต่เท้ายังไม่ได้หยุด ไหนเลยจะหาที่พักไว้”
เจิ้งเซี่ยวหยางถอนหายใจ “ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางของเราใช้ไม่ได้เลยจริงๆ มีอิทธิพลแค่ในสิงหยางเท่านั้น ออกจากสิงหยาง ใต้พระบาทโอรสสวรรค์แห่งนี้ ดูท่ามิได้มีคุณค่าใด แม้แต่ที่พักยังไม่มี ข้าเดินกร่างในสิงหยางได้ มาถึงเมืองหลวงกลับถูกคนมัดตัวไป เสียอารมณ์จริงๆ”
“เจ้าสารเลวนี่ มิใช่เป็นเพราะเจ้าหาเรื่องรึ” เจิ้งอี้ทนฟังต่อไปไม่ไหว บริภาษด้วยความโมโห
“ท่านปู่ ท่านอายุปูนนี้แล้ว พักได้ก็พักเถอะ” เจิ้งเซี่ยวหยางโบกมือลา เดินออกไปข้างนอก “ข้าไปหาที่พักเองแล้วกัน” เดินไปได้สองก้าว พลันหันกลับมา แบมือยื่นไปทางเจิ้งเฉิง “ท่านพ่อ ข้าไม่มีเงินแล้ว”
“หลายวันนี้เจ้าใช้ชีวิตอยู่อย่างไร” เจิ้งเฉิงมองเขา คิดว่าวันนี้อับอายขายหน้าไปถึงตระกูลแล้ว
“ข้าออกจากบ้านพกเงินติดตัวไปด้วยห้าพันตำลึง ล้วนใช้จนเกลี้ยง มาถึงเมืองหลวงก็หมดพอดี” เจิ้งเซี่ยวหยางตอบ
“เจ้า…ห้าพันตำลึงเจ้าใช้แค่ครึ่งเดือนรึ” เจิ้งอี้มองเขา หนวดสองข้างกระตุก
“ทำกระต่ายตื่นตูมไปไย กล่าวกันว่าอยู่บ้านสะดวกสบาย ออกมาข้างนอกมีแต่ความลำบาก ไมใช้เงินแล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าว
เจิ้งเฉิงโกรธจนพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว หยิบถุงเงินออกมาจากอกเสื้อ ยัดใส่มือเขา
เจิ้งเซี่ยวหยางถือถุงเงินเดินออกไป
“เจ้าจะไปไหน” จินเยี่ยนตะโกนรั้ง
“ทำตามที่เจ้าบอก ไปล้างเนื้อล้างตัวอย่างไรล่ะ” เจิ้งเซี่ยวหยางตอบ
“เจ้ารอรับพระราชโองการสมรสพระราชทานก่อนค่อยไป” จินเยี่ยนบอก
“เจ้ารับแทนข้าก็ได้นี่” เจิ้งเซี่ยวหยางโบกมือลา
จินเยี่ยนขมวดคิ้ว จ้องเขาเขม็ง
เจิ้งเซี่ยวหยางท้อใจ “ก็ได้ ก็ได้” พูดจบ ก็เร่งขุนนางร่างพระราชโองการ “ครึ่งวันแล้ว ไฉนเจ้าถึงได้ยืดยาดขนาดนี้ ร่างพระราชโองการเสร็จหรือยัง”
“ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว” เม็ดเหงื่อบนหน้าผากขุนนางร่างพระราชโองการใกล้จะผุดร่วงลงมา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นสมรสพระราชทานแบบนี้มาก่อน ท่านอ๋องน้อยเจิงกับคุณหนูฟางหวาที่อดีตฮ่องเต้เคยมอบสมรสพระราชทานให้แล้วถอนหมั้นครั้งแล้วครั้งเล่านั้นทำให้ทุกคนเปิดประสบการณ์ใหม่แล้ว วันนี้เกิดเรื่องพี่น้องสลับคู่กันแต่งงานยิ่งทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องแปลกยากพานพบ
ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใดตลอดมา
พระชายาอิงชินอ๋องพลันยิ้มกล่าวขึ้น “เด็กคนนี้ช่างมีส่วนคล้ายกับลูกชายข้านัก หลายครั้งที่เขาไม่ยี่หระต่อสิ่งใดเหมือนเจ้าเช่นกัน ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง” หยุดชั่วครู่แล้วแย้มยิ้ม “แบบนี้แล้วกัน เจ้าไปที่จวน
อิงชินอ๋องกับข้าดีกว่า”
เจิ้งเซี่ยวหยางมองพระชายาอิงชินอ๋อง กะพริบตาปริบ “ความหมายของพระชายาคือให้ที่พักกับข้า”
“ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเข้าเมืองหลวงมาเพราะพระประสงค์ของฝ่าบาท ฝ่าบาทย่อมจัดแจงสถานที่ต้อนรับแล้ว แต่จวนอิงชินอ๋องของข้าก็มีเรือนไม่น้อย มีที่พักให้เจ้าเหลือเฟือ ในเมื่อเจ้าหมั้นหมายกับเยี่ยนเอ๋อร์แล้ว ก็นับว่าเป็นญาติกับจวนอิงชินอ๋องเช่นกัน” พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มกล่าว
“ขอบคุณพระชายามาก ฟังว่าจวนอิงชินอ๋องสูงศักดิ์ยิ่ง เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าวด้วยความดีใจทันที
พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มพลางพยักหน้า
ขุนนางร่างพระราชโองการเสร็จพอดี เสี่ยวเฉวียนจื่อใช้สองมือถือไว้ พูดเสียงดังว่า “ท่านหญิงจินเยี่ยน คุณชายรองเจิ้งโปรดรับพระราชโองการ”
จินเยี่ยนคุกเข่าลงกับพื้น เห็นเจิ้งเซี่ยวหยางไม่ตามมา นางก็เลิกคิ้ว
เจิ้งเซี่ยวหยางเดินมาทันที คุกเข่าลงข้างนาง “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฉินอวี้มองเจิ้งเซี่ยวหยาง เอ่ยเสียงเข้มว่า “พระราชโองการนี้ เราหวังว่าจะไม่ต้องเรียกมันคืนอีก”
เจิ้งเซี่ยวหยางเบะปาก “ขอเพียงนางทนรับอารมณ์กระหม่อมได้ กระหม่อมย่อมดูแลนางอย่างทั่วถึง”
ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใด โบกมือไล่
เจิ้งเซี่ยวหยางเก็บพระราชโองการในอกเสื้อ กล่าวกับพระชายาอิงชินอ๋องว่า “พระชายา ข้าล่วงหน้าไปจวนอิงชินอ๋องก่อนนะ”
พระชายาอิงชินอ๋องลุกขึ้น บอกกับเซี่ยฟางหวา “ตรงนี้ไม่มีธุระของเราแล้ว เรากลับจวนกันเถอะ”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ มองไปยังจินเยี่ยน
จินเยี่ยนถือพระราชโองการไว้ในมือ ยิ้มบอกนาง “ข้ากลับไปง้อท่านแม่ก่อน”
“เจ้าเด็กบ้า คนดีๆ มีไม่เลือก กลับเลือกเด็กบ้าคนนี้ วันข้างหน้าเจ้าต้องอดทนแล้ว ดีใจอะไรกัน”
พระชายาอิงชินอ๋องตำหนิติดตลกประโยคหนึ่ง “เจ้าทำให้แม่เจ้าโกรธถึงขนาดนั้น กลับไปง้อนางดีๆ”
“เข้าใจแล้ว ท่านป้าใหญ่” จินเยี่ยนถือพระราชโองการนำออกไปก่อน
เจิ้งเซี่ยวหยางเร่งฝีเท้าตามออกไปติดๆ
พระชายาอิงชินอ๋องจับมือเซี่ยฟางหวา ช้ากว่าสองคนนั้นก้าวหนึ่ง บอกลาทุกคนแล้วออกจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวา
หน้าประตูจวนเสนาบดีฝ่ายขวา จินเยี่ยนขึ้นรถม้าไปแล้ว เจิ้งเซี่ยวหยางเลิกม่านค้ำแอกรถ พลางคุยกับนางด้วยท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย
เซี่ยฟางหวาหูดียิ่ง ลอบฟังดูก็ได้ยินเจิ้งเซี่ยวหยางพูดว่า “ข้าล้างเนื้อล้างตัวเสร็จแล้วค่อยไปหาเจ้า”
“ช่างเถอะ เจ้ารอข้าที่จวนอิงชินอ๋องดีกว่า ท่านแม่คงยังไม่หายโกรธในเร็วๆ นี้ ยังต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง” จินเยี่ยนบอกเขา
“ข้าเป็นลูกเขย มิอาจไม่ไปเยี่ยมบ้านเลยได้” เจิ้งเซี่ยวหยางมองนาง
จินเยี่ยนถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง “มาเยี่ยมบ้านได้เมื่อไรข้าจะบอกเจ้าเอง แล้วเจ้าค่อยมาหา หากเจ้าไม่กลับสิงหยางเสียตอนนี้ ก็อยู่ที่จวนอิงชินอ๋องไปก่อน”
“ยังไม่ง้อแม่ยาย จะกลับสิงหยางได้อย่างไร” เจิ้งเซี่ยวหยางกะพริบตาปริบ
จินเยี่ยนปล่อยม่านลงดัง ‘พรึ่บ’ แล้วกล่าวต่อว่า “เจ้าคิดหาทางทำให้แม่ข้ายอมตกลงเถอะ มิฉะนั้นด้วยความโกรธของท่านแม่แล้ว เกรงว่าหลังจากนี้เจ้าจะใช้ชีวิตลำบาก วันๆ เอาแต่หาเรื่องเจ้า”
เจิ้งเซี่ยวหยางเศร้าใจ “ตอนนี้ข้าเสียใจนัก ตอนนั้นไฉนถึงได้ตะโกนรั้งเจ้าโดยไม่ทันคิด…”
จินเยี่ยนไม่ฟังเขาบ่นอีกต่อไป ออกคำสั่งคนขับ รถม้าแล่นออกจากหน้าประตูจวนเสนาบดีฝ่ายขวา