จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 32-1 เยือนจวนเสนาบดีกลางดึก
รถม้าแล่นมาถึงหน้าประตูวัง องครักษ์ประจำการเห็นฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวา ก็เปิดประตูวังให้ทันที
ทั้งคู่เพิ่งเข้ามาในเขตวังหลวง ก็พบเสี่ยวเฉวียนจื่อสาวเท้าออกมา พอเข้ามาใกล้ก็ทำความเคารพ
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวา “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย ในที่สุดท่านสองคนก็มาเสียที หากยังไม่เข้าวังอีก ฝ่าบาทก็จะเสด็จไปจวนอิงชินอ๋องเองแล้ว”
“พอเป็นฮ่องเต้แล้วไม่มีความอดทนเหมือนตอนเป็นรัชทายาทรึ” ฉินเจิงแค่นหัวเราะเหยียดหยาม
เสี่ยวเฉวียนจื่อยิ้มเข้าสู้ “ตอนนี้มิใช่มีแต่เรื่องน่ากังวลหรือ ฝ่าบาทก็ทรงมิกล้าเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ระมัดระวังทุกจุด เพื่อมิให้ละอายต่อบรรพชน”
ฉินเจิงแค่นเสียงเย็น “เขามีมาดฮ่องเต้บ้างแล้ว”
ครั้งนี้เสี่ยวเฉวียนจื่อไม่พูดคำใดต่อ
เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงแวบหนึ่ง นิสัยที่ถูกปลูกฝังให้แข่งขันกันและกันมาตั้งแต่เด็กนั้น เกรงว่าชีวิตนี้คงแก้มิหายแล้ว ต่อให้ฉินอวี้กลายเป็นฮ่องเต้ ฉินเจิงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็คงเหมือนกัน
“ตั้งแต่ฝ่าบาทเสด็จกลับจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาก็อยู่ในห้องทรงอักษรตลอด ยังมิได้เสวยมื้อเย็น ทราบว่าท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยน่าจะยังมิได้ทานมื้อเย็นเช่นกัน จึงให้บ่าวสั่งคนยกสำรับมื้อเย็นไปในห้องทรงอักษรแล้วขอรับ” เสี่ยวเฉวียนจื่อทำใจดีสู้เสือ
“ข้ากำลังหิวพอดี ดีเหมือนกัน” สีหน้าฉินเจิงปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อย
ครั้นมาถึงห้องทรงอักษร เสี่ยวเฉวียนจื่อก็รายงานต่อคนข้างในโดยเว้นระยะห่างพอควร “ฝ่าบาท ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา” เสียงฉินอวี้ดังออกมา
สิ้นเสียงอีกฝ่าย ฉินเจิงก็จูงเซี่ยฟางหวาเข้าไปในห้องทรงอักษร
กลิ่นอาหารหอมโชยปะทะใบหน้า สำรับอาหารถูกวางบนตั่งตรงกลาง ฉินอวี้ยังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร วางพระกรข้างหนึ่งบนโต๊ะ อีกข้างก็ทรงอักษรอย่างว่องไว
ฉินเจิงมองเขาแวบหนึ่ง สายตาหยุดลงบนกายเขา แววตาพลันดุดันขึ้นหลายส่วน
เซี่ยฟางหวาเห็นว่าหลังฉินอวี้เสด็จกลับวังแล้วก็ยังมิได้เปลี่ยนชุดที่สวมใส่มาจากจวนอิงชินอ๋อง จึงยันหน้าผากอย่างหมดคำพูด
“มีเรื่องอะไรกัน” ฉินเจิงผินหน้าถามเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาจึงเล่าเรื่องสุรากระเซ็นใส่ชุดของฉินอวี้ ซื่อฮว่าจึงนำทางเขาไปเปลี่ยนชุดที่เรือนลั่วเหมยให้ฟังอย่างจำใจ
ฉินเจิงฟังจบแล้วก็มองฉินอวี้ด้วยแววตาเยือกเย็น กล่าวเสียงเย็นว่า “หากเจ้าไม่อยากให้สุรากระเซ็นโดนตัว ต่อให้มีสุราสิบไหก็ไม่กระเซ็นมาโดน”
ฉินอวี้เงยหน้าขึ้น ผงกพระเศียรตอบ “เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าตั้งใจเอง”
“เจ้าอยากตายรึ” ฉินเจิงจ้องเขา
ฉินอวี้วางพู่กันลง ทันใดนั้นก็ยิ้ม “สตรีของเจ้าผูกด้ายแดงให้ข้า คุณหนูรองของครอบครัวหกตระกูลเซี่ยบอกชอบข้า ป่าวประกาศจนรู้กันทั่วหล้า หรือว่าข้าไม่ควรได้รับการชดเชยสักหน่อย”
“ผูกด้ายแดง” ฉินเจิงหรี่ตาลง
“เจ้าถามนางดูสิ” ฉินอวี้ปิดสาส์นกราบทูลข้อราชการแล้วลุกขึ้นยืน
เซี่ยฟางหวายิ่งปวดหัว คิดอยู่แล้วว่าฉินอวี้ต้องรู้ ถึงอย่างไรเซี่ยอีก็ยังเด็ก แม้สถานการณ์ในตอนนั้นมิได้วุ่นวาย ถ้อยคำเหล่านั้นที่พูดออกไปล้วนปิดบังคนอื่นได้ แต่ย่อมปิดบังฉินอวี้มิได้ ลำพังแค่เซี่ยอีคนเดียว หากไม่มีนางช่วยออกความเห็น เซี่ยอีย่อมมิกล้า และไม่คิดทำเช่นนั้นแน่
เห็นฉินเจิงหันมามอง นางจึงเล่าเรื่องที่ฉินชิงบังคับเซี่ยอี แต่เซี่ยอีไม่ชอบฉินชิง กลับชอบฉินอวี้ นางจึงออกความเห็นให้อย่างจนปัญญาให้ฉินเจิงฟังรอบหนึ่ง
ถึงอย่างไรฉินอวี้ก็เดาได้อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะได้ยินอีก
ฉินเจิงฟังจบ โทสะก็หายไปโดยพลัน ยิ้มกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเรื่องนี้เจ้าไม่ได้ทำผิด เขาควรมีสตรีสักคนได้แล้ว”
“ดูแลสตรีของเจ้าให้ดีเถอะ จะรักษาชีวิตได้หรือไม่นั้นยังไม่แน่นอน ยังว่างมาผูกด้ายแดงให้คนอื่นอีก” ฉินอวี้มีหน้าเคร่งขรึม
“สตรีของข้า ข้าย่อมดูแลอยู่แล้ว” ฉินเจิงดึงเซี่ยฟางหวานั่งลง มองชุดบนกายฉินอวี้ ขอบคอเสื้อโผล่ออกมาให้เห็น เขาถามขึ้นทันที “เสื้อตัวในก็ด้วย”
ฉินอวี้เลิกคิ้ว ยิ้มอย่างลำพองใจ “สายตาเจ้าเฉียบแหลมนัก”
ฉินเจิงแค่นเสียงเย็น ก่อนหันกลับมามองเซี่ยฟางหวา “กลับไปค่อยจัดการเจ้า”
เซี่ยฟางหวาปวดหัว เปลี่ยนเรื่องทันที “เสื้อตัวในนี้มิใช่เสื้อตัวในทั่วไป”
ฉินอวี้หนังตากระตุกเล็กน้อย อุทานว่า “โอ้”
“เจ้าอย่าบอกข้าว่าไม่สังเกตเห็น” เซี่ยฟางหวามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“แน่นอนว่าเห็นแล้ว แดดตอนเที่ยงแรงขนาดนั้น จะไม่เห็นได้อย่างไร” ฉินอวี้หัวเราะ
“มีอะไรกัน” ฉินเจิงถาม
เซี่ยฟางหวาลดเสียงต่ำลง บอกความลับเรื่องเสื้อตัวในนี้
ฉินเจิงฟังจบก็เอ่ยถาม “เจ้าไปได้มาจากไหน”
เซี่ยฟางหวามองฉินอวี้แวบหนึ่ง คิดในใจว่าเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ง่ายเช่นกัน ในเมื่อเขามิได้บอกฉินอวี้ แต่มอบให้นาง นางก็ไม่ควรเปิดโปงความจริงข้อนี้ “อย่าถามข้าว่าได้มาจากไหน มีประโยชน์ก็พอแล้ว”
ฉินเจิงเบือนหน้า กล่าวกับฉินอวี้อย่างเย็นชา “เจ้าเต็มใจใส่แล้ว กลับไปข้าจะเอาผ้าส่วนที่เหลือมาส่งให้เจ้า”
“เจ้ากำลังบอกข้าว่า หลังมอบให้แล้ว เจ้าก็จะไม่สนใจตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางอีก” ฉินอวี้มองเขา
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ
ฉินอวี้ส่ายหน้า “ถึงข้าถอดคืนให้เจ้าตอนนี้ เจ้ายังต้องการมันหรือไม่”
“เอาไปเผาทิ้ง” ฉินเจิงมองเขาด้วยแววตารังเกียจ
ฉินอวี้ยกมือรวบปกเสื้อตัวนอก เอ่ยเชื่องช้า “ใจแคบไปไหน แค่ชุดชุดเดียวไม่ใช่หรือ เราทุกข์ใจเรื่องสตรีของเจ้าไปไม่น้อย แค่สวมชุดที่นางทำเองกับมือเจ้าก็ทนไม่ไหวแล้ว หรือว่าอนาคตถ้าลูกเจ้ากำเนิดมา จะไม่ให้เขาเรียกข้าว่าอาแล้ว เจ้าจะตัดขาดความสัมพันธ์นี้หรือ”
ฉินเจิงกลอกตา กล่าวด้วยท่าทีโหดร้าย “แค่ครั้งนี้เท่านั้น หากมีครั้งต่อไป ข้าจะถลกหนังเจ้า”
“ชุดเดียวก็พอแล้ว ครั้งหน้าถึงให้ข้าก็ไม่เอา” ฉินอวี้เอ่ยจบก็โบกมือ “กินข้าวเถอะ อิ่มแล้วค่อยคุยกัน”
ฉินเจิงก็หิวแล้วเช่นกัน จึงหยุดบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้
เซี่ยฟางหวาทานมื้อเที่ยงไปไม่มาก จึงเริ่มหิวแล้วเช่นกัน ฉินอวี้ก็มิได้ต่างอันใดกับเซี่ยฟางหวา ดังนั้นทั้งสามคนต่างไม่พูดจากันชั่วขณะ นั่งทานมื้อเย็นอย่างสงบ
หลังทานเสร็จ ฉินเจิงดันถ้วยกับตะเกียบออก ก่อนเล่าเรื่องออกไปกำจัดสายสอดแนมเป่ยฉี ความเกี่ยวพันถึงตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง รวมถึงเจิ้งเซี่ยวหยางให้ฟัง
ฉินอวี้ฟังจบก็วางถ้วยกับตะเกียบลง “เจิ้งเซี่ยวหยางคนนี้มีพรสวรรค์ ก่อนหน้านี้เหตุใดถึงไม่เคยรู้ว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางยังมีเขาด้วย”
“เมื่อก่อนใครสนใจตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางกัน อย่าว่าแต่เจิ้งเซี่ยวหยางเลย” ฉินเจิงบอก
“ความจริง แรกเริ่มฮูหยินหมิ่นเรือนใหญ่เลือกคู่หมั้นให้บุตรี รอบเมืองหลวงไม่หา กลับเลือกเจิ้งเซี่ยวฉุนจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง พวกเราควรสังเกตเห็นปัญญาจากตรงกลางแล้ว เพียงแต่ครอบครัวลูกคนโตเหยียบย่ำจวนจงหย่งโหวทุกก้าว สายตาล้วนถูกเบนไปยังครอบครัวลูกคนโตต้องการแย่งอำนาจ กับความขัดแย้งระหว่างจวนจงหย่งโหวกับราชสำนัก จึงมองข้ามตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่มีส่วนได้เปรียบในเรื่องนี้ไป” ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา
“เจ้ายังจำเหตุเพลิงไหม้ที่วัดฝ่าฝอซื่อได้หรือไม่” ฉินเจิงถาม
ฉินอวี้พยักหน้า “ตอนนั้นข้ายังไม่กลับมา เจ้าคิดว่าคนวางเพลิงคือข้า”
“ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเจ้า แต่ต่อมาก็คิดว่าไม่ใช่เจ้า หากเป็นเจ้า คงไม่ฉวยโอกาสนั้นคิดสังหารข้า”
ฉินเจิงตอบ “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นเจ้ายังไม่กลับมา”
ฉินอวี้พยักหน้า “มิผิด เจ้ากับข้าแม้ต่างไม่ถูกชะตากัน แต่ก็ไม่ขัดแย้งกันถึงขั้นเอาชีวิต ข้าไม่เคยคิดเอาชีวิตเจ้า เอาชีวิตเจ้าแล้วไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับข้า”
“เหตุเพลิงไหม้วัดฝ่าฝอซื่อครั้งนั้น เกี่ยวข้องกับครอบครัวลูกคนโตและจวนหย่งคังโหว แต่ระหว่างที่ยังหาไข่มุกดำไม่เจอ รวมถึงศพอู๋ว่างไต้ซือหายสาบสูญไป เรื่องนี้ก็ถูกพักเอาไว้ก่อน ต่อมาพอเสด็จอาจัดการครอบครัวลูกคนโต เรื่องนี้ก็ไม่ถูกเอ่ยถึงอีกเลย” ฉินเจิงกล่าว
“คดีฆาตกรรมต่อเนื่องในเมือง ทั้งหมอหลวงซุน ใต้เท้าหานก็ถูกสังหารติดต่อกัน” ฉินอวี้เอ่ย “เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปในตอนนี้ ด้านนอกล้วนลือกันว่าอาจจบลงดื้อๆ”
“อันใดคือจบลง” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “เรื่องทั้งหมดยังไม่นับว่าสิ้นสุดลง”
ฉินอวี้มองเขา
“ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ซ่อนไว้อย่างลึกนัก” ฉินเจิงกล่าวเสียงเย็น
“เจ้ามีความคิดดีๆ อะไร” ฉินอวี้เอ่ยถามเขา
ฉินเจิงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา โคลงมันอย่างเชื่องช้า น้ำชาในถ้วยถูกโคลงจนปรากฏลายก้นหอยทางหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็กระดกน้ำชาดื่มในรวดเดียว ก่อนวางถ้วยชาลง กล่าวกับฉินอวี้ “ไปพบเจิ้งเซี่ยวหยางคืนนี้”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่จวนอิงชินอ๋อง หากคนนั้นไม่ใช่เขา มีหรือจะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น” ฉินอวี้มองเขา
“เจ้าคิดว่าถึงไม่แหวกหญ้า งูจะไม่ตกใจหรือ” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
ฉินอวี้นวดหว่างคิ้ว เงียบลงพักหนึ่ง “ช่างเถอะ แล้วแต่เจ้าแล้วกัน”
ฉินเจิงลุกขึ้น ดึงเซี่ยฟางหวาขึ้นมา “ไปเถอะ กลับจวนกัน”
เซี่ยฟางหวามองเขา เดิมคิดว่าทั้งสองมีเรื่องต้องคุยกันไม่น้อย แต่กลับตัดบทเสียดื้อๆ แบบนี้หรือ
“ไม่อยากกลับรึ” ฉินเจิงเห็นเซี่ยฟางหวาไม่ขยับจึงหันไปมอง
“ใครไม่อยากกลับกัน” เซี่ยฟางหวาถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง
“ไม่อยากกลับ จะอยู่ในวังต่อก็ย่อมได้” ยามนี้ฉินอวี้ก็เอ่ยขึ้น
“เจ้าฝันต่อไปเถอะ” ฉินเจิงจูงเซี่ยฟางหวาออกจากห้องทรงอักษร
ฉินอวี้เดินตามออกมา เอ่ยกับฉินเจิง “จากนี้เจ้าไม่ได้วางแผนออกไปไหนแล้วใช่ไหม”
“ดูสถานการณ์ก่อน” ฉินเจิงตอบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใด มองส่งทั้งคู่เดินฝ่ารัตติกาลออกจากวัง