จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 32-2 เยือนจวนเสนาบดีกลางดึก
เขายืนนิ่งเป็นนาน กระทั่งเสี่ยวเฉวียนจื่อก้าวมาหา กระซิบว่า “ฝ่าบาท กลางคืนลมเย็น โปรดระวังสุขภาพด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เสี่ยวเฉวียนจื่อ เจ้าว่าเราไร้ประโยชน์มากหรือไม่” ฉินอวี้โพล่งเอ่ยขึ้น
เสี่ยวเฉวียนจื่อสะดุ้งโหยง “ฝ่าบาท ไปเอาคำพูดเหล่านี้มาจากไหนกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ฟางหวาร่างกายไม่แข็งแรง ชีวิตครึ่งหนึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย เรากลับช่วยอันใดมิได้ แถมยังต้องพึงพาฉินเจิงจัดการปัญหาในแผ่นดินหนานฉิน” ฉินอวี้เอ่ย “ตราบใดที่ถูกขังอยู่หลังกำแพงวัง ยิ่งรู้สึกว่าการเป็นจักรพรรดินั้นแสนยากเย็น”
เสี่ยวเฉวียนจื่อหน้าซีดขาว ทูลกล่าวขึ้นทันที “ฝ่าบาท เพราะท่านเป็นฝ่าบาทจึงต้องอยู่บัญชาการในเมืองหลวงแห่งนี้ ขอเพียงมีท่านอยู่ที่นี่ ถึงทำให้ราชสำนัก ประชาชน และขุนนางทั้งหมดมั่นคง สถานการณ์
ราชสำนักไม่สั่นคลอน แผ่นดินหนานฉินก็จะสืบทอดต่อไปอย่างมั่นคง ท่านอ๋องน้อยเจิงกับท่านมีฐานะต่างกัน ดังนั้นบางเรื่อง เขาไปทำได้ แต่ท่านมิอาจไปทำได้ นี่ล้วนเป็นโชคชะตา”
“ใช่โชคชะตาหรือไม่” ฉินอวี้ถาม
เสี่ยวเฉวียนจื่อพยักหน้า “เป็นโชคชะตา ท่านคือโชคชะตาของโอรสสวรรค์ ย่อมมิอาจเทียบกับท่านอ๋องน้อยได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอวี้หัวเราะ นวดหว่างคิ้วแผ่วเบา “ข้ายอมเป็นเขาแทน”
เสี่ยวเฉวียนจื่อเงียบเสียงลง ไม่เอ่ยคำใด บางสิ่งเขาพูดได้ บางสิ่งฝ่าบาทเอ่ยได้แต่เขาพูดมิได้
ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใดอีก ยืนนิ่งอีกพักหนึ่ง ก่อนถามเสี่ยวเฉวียนจื่อ “ไทเฮาเล่า”
“ตั้งแต่กลับจากจวนอิงชินอ๋องเมื่อบ่ายก็เสด็จกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักเลยพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อ
มองไปทางวังหลังแวบหนึ่ง “ในตำหนักไทเฮาคล้ายยังจุดโคมไฟสว่างอยู่ ดูท่ายังมิเข้าบรรทม คงพักผ่อนตอนบ่ายมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอวี้หมุนตัวกลับ เดินไปยังตำหนักไทเฮา “แวะไปที่ตำหนักไทเฮา อดีตฮ่องเต้จากไปแล้ว ไทเฮาก็คงเหงาเช่นกัน”
เสี่ยวเฉวียนจื่อตามฉินอวี้ไปทันที
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาออกจากวังหลวง พอขึ้นรถม้าแล้ว ฉินเจิงก็ออกคำสั่ง “ไปจวนเสนาบดีฝ่ายขวา”
เซี่ยฟางหวาชะงักไปครู่หนึ่ง ถามด้วยความสงสัย “ไปจวนเสนาบดีฝ่ายขวาทำไม”
ฉินเจิงมองนางแวบหนึ่ง “ดอกฉิงเหรินถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของจวนเสนาบดีฝ่ายขวา หลังข้ากลับมาไม่ควรไปดูซากที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวาหรือ”
เซี่ยฟางหวานึกถึงท่าทีที่ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาแสดงต่อนางวันนี้ ถอนหายใจออมา “จวนเสนาบดีฝ่ายขวาไม่แน่ว่าจะอยากต้อนรับเจ้า”
“ไม่ต้อนรับข้าแล้วข้าต้องไม่ไปหรือ” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
เซี่ยฟางหวามองเขาอย่างหมดคำพูด
ฉินเจิงหัวเราะ “ข้าจะไปดูล้อรถที่บดดอกฉิงเหรินเละนั่น”
เซี่ยฟางหวายิ่งหมดคำพูด
รถม้าแล่นไปตามบัญชาของฉินเจิง มิได้มุ่งกลับจวนอิงชินอ๋อง หากแต่มายังจวนเสนาบดีฝ่ายขวา
“ไปเคาะประตู” ฉินเจิงออกคำสั่งด้านนอก
คนขับรีบลงไปเคาะประตู
“ใครกัน” คนเฝ้าประตูชะโงกศีรษะออกมามอง
“ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยของบ้านข้า” คนขับตอบ
คนเฝ้าประตูสะดุ้งตกใจ มองท้องฟ้าแวบหนึ่ง แม้ยังไม่ดึกเต็มที่ แต่ก็ดึกมากแล้ว เขาไม่กล้าเมินเฉย จึงออกคำสั่งคนผู้หนึ่ง ผู้นั้นวิ่งไปรายงานในจวนทันที ส่วนเขาก็รีบเปิดประตูให้
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาลงจากรถม้า
คนเฝ้าประตูมองฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาอย่างระวัง หยั่งเชิงถามว่า “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย ดึกถึงเพียงนี้แล้ว ท่านสองคน…”
ฉินเจิงมองคนเฝ้าประตูแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร
คนเฝ้าประตูไม่กล้าส่งเสียงอีกเลย
ไม่นาน พ่อบ้านจวนเสนาบดีฝ่ายขวาที่ทราบข่าวแล้วก็กุลีกุจอออกมา หลังมาถึงก็ทำความเคารพทั้งคู่ “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย ดึกถึงเพียงนี้แล้ว ท่านทั้งสองมีธุระใดหรือขอรับ”
โดยปกติ ยามนี้แล้วล้วนไม่มีแขกมาเยือนโดยมิได้แจ้งก่อน
ฉินเจิงมองพ่อบ้านแวบหนึ่ง กล่าวอย่างเชื่องช้า “ข้าได้ยินว่า รถม้าของจวนเสนาบดีฝ่ายขวาบดดอกฉิงเหรินจนเสียหาย”
พ่อบ้านตกใจ
“ยกรถคันนั้นมาให้ข้าดู” ฉินเจิงมองเขา
“นี่…” พ่อบ้านมองเซี่ยฟางหวาที่อยู่ด้านข้าง ไม่เข้าใจความคิดฉินเจิง
เซี่ยฟางหวาไม่พูดอะไร ใบหน้าก็ไม่แสดงอารมณ์ใดเช่นกัน
“ยังไม่รีบไปอีก” ใบหน้าฉินเจิงเคร่งขรึมลง “ข้าแม้แต่จะดูก็ไม่ได้รึ ยังให้เจ้าไปรายงานเสนาบดีฝ่ายขวาก่อนหรือไม่”
พ่อบ้านรีบส่ายหน้า “ไม่ต้องขอรับ ไม่ต้อง ท่านอ๋องน้อยโปรดรอสักครู่ บ่าวจะให้คนไปยกรถคันนั้นมา”
ฉินเจิงไม่พูดอะไร
ผ่านไปพักหนึ่ง รถม้าคันนั้นยังไม่ทันถูกยกมา คนกลุ่มหนึ่งก็พากันเดินออกมาก่อน
เป็นเสนาบดีฝ่ายขวา ฮูหยิน เจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่มาอาศัยจวนเสนาบดีฝ่ายขวาในฐานะแขก รวมถึงหลี่มู่ชิงที่เดินรั้งท้ายตามออกมาอย่างเชื่องช้า
ฉินเจิงเลิกคิ้ว
เสนาบดีฝ่ายขวาเข้ามาใกล้ มองฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาด้วยความสงสัย “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย ดึกถึงเพียงนี้แล้ว มีเรื่องใดให้รับใช้หรือ”
“มาดูรถคันนั้น” ฉินเจิงตอบ
“รถอะไร” เสนาบดีฝ่ายขวาถาม
“รถคันนั้นที่บดดอกฉิงเหรินจนเละ” ฉินเจิงตอบ
เสนาบดีฝ่ายขวาชะงักไปครู่หนึ่ง
“ฉินเจิง เจ้าอย่ารังแกคนอื่นนักเลย มาวุ่นวายที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวายามดึกดื่นขนาดนี้ มาเพื่อดูรถ หรือเจ้ามาเพื่อหาเรื่องกันแน่” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเดือดดาล
ฉินเจิงเลิกคิ้วมองฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา กล่าวอย่างเฉยชา “ฮูหยินไฉนจึงตระหนกถึงเพียงนี้ ข้าไม่มีความแค้นกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาสักหน่อย ก่อเรื่องอันใดกัน ย่อมมาเพื่อดูรถอยู่แล้ว”
“แค่รถคันเดียวมีอะไรน่าดู” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวากล่าวด้วยโทสะ
“สำหรับท่านไม่มีอะไรน่าดูก็จริง แต่สำหรับข้าย่อมไม่เหมือนกัน” ฉินเจิงมองนางแล้วกล่าวต่อ “เพราะบดดอกฉิงเหรินที่ข้าต้องการจนเละ”
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวานิ่งชะงักไป ขณะจะระเบิดโทสะอีกหน เสนาบดีฝ่ายขวาก็ขวางนางไว้ ย่นหัวคิ้วกล่าวว่า “บอกเจ้าไม่ต้องตามมา เจ้ารั้นตามออกมาไม่ใช่แค่เรื่องรถคันเดียวแล้ว ท่านอ๋องน้อยเจิงมาเพื่อดูก็ให้เขาดู เจ้าจะตื่นตระหนกไปทำไม”
“นายท่านเสนาบดี เขามาเพื่อดูรถแน่หรือ เขามีเจตนาไม่ดี มาเพื่อเยาะเย้ยปี้เอ๋อร์ของเรา” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามีนัยน์ตาแดงก่ำอีกหน
เสนาบดีฝ่ายขวาเลิกสนใจนางด้วยความปวดหัว ออกคำสั่งพ่อบ้านว่า “ไปยกรถคันนั้นมา”
“บ่าวให้คนไปยกมาแล้วขอรับ” พ่อบ้านรีบตอบ “คงใกล้มาถึงแล้ว”
เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า
เวลานี้ เจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็ก้าวขึ้นมาทำความเคารพฉินเจิง “ที่แท้เป็นท่านอ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง ได้ยินชื่อเสียงท่านมานานแล้ว”
“ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางไม่มีคนอื่นแล้วหรือ ไฉนอายุปูนนี้แล้วถึงยังเข้าเมืองมาทำงานหนักอีก”
ฉินเจิงเลิกคิ้ว กล่าวอย่างไม่ไว้หน้า
เจิ้งอี้หน้าหงาย
เจิ้งเฉิงกระแอมขึ้น “ท่านอาไม่ได้เข้าเมืองมานานแล้ว จึงถือโอกาสมาเปิดหูเปิดตา”
ฉินเจิงร้อง “อ้อ” ก่อนกล่าวต่อ “ข้าได้ยินว่าวันนี้จวนเสนาบดีฝ่ายขวาคึกครื้นอย่างยิ่ง คุณชายใหญ่จากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลตอนนี้ ชื่อเสียงว่าปกป้องน้องชายอย่างมีคุณธรรมตรงไปตรงมา เกรงว่าคงเผยแพร่ออกไปนอกเมืองแล้ว อนาคตใต้หล้าคงให้การสรรเสริญ ไฉนถึงไม่เห็นเขา”
เจิ้งอี้ยังถูกประโยคเมื่อครู่ของฉินเจิงตอกหน้าหงายจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่เอ่ยคำใด
เจิ้งเฉิงมองเจิ้งอี้แวบหนึ่ง และมองไปยังเสนาบดีฝ่ายขวาแวบหนึ่งด้วย ก่อนตอบอย่างไตร่ตรอง “ลูกชายหัวแข็งมาก เพื่อรับผิดแทนลูกคนรอง ตอนนี้ยังคุกเข่าอยู่ไม่ยอมลุก กำลังวิงวอนให้คุณหนูหลี่ให้อภัย”
ฉินเจิงพยักหน้า กล่าวอย่างไม่เป็นไร “วันนี้ไม่ได้พบ วันหน้าไว้ชวนเขาไปดื่มเหล้า”
“ได้รับคำเชิญจากท่านอ๋องน้อย นับเป็นเกียรติของเขา” เจิ้งอี้กล่าวทันที
ฉินเจิงไม่พูดอะไร
เวลานี้หลี่มู่ชิงก็เดินมาถึง พินิจมองฉินเจิงตั้งแต่หัวจดเท้า ก่อนถามขึ้น “เพิ่งกลับจากวังหรือ”
“ข่าวเจ้าไวนัก” ฉินเจิงมองเขาแวบหนึ่ง
หลี่มู่ชิงก้าวขึ้นมา ตบบ่าเขาแผ่วเบา เลิกคิ้วถามว่า “มาดูรถคันนั้นรึ”
“มิอย่างนั้นเจ้าคิดว่ามาทำไมเล่า” ฉินเจิงเลิกคิ้วตอบ
หลี่มู่ชิงหัวเราะ “รถคันนั้นมิสู้ยกให้เจ้า”
“ข้าจะเอารถพังๆ คันหนึ่งไปทำไม” ฉินเจิงพูดด้วยความรังเกียจ
เวลานี้ มีคนยกรถคันนั้นออกมา วางลงหน้าประตูใหญ่
ฉินเจิงก้าวขึ้นมา เดินวนรอบรถ พิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่ง
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเดิมทีมีโทสะอยู่แล้ว อย่างไรก็ทนไม่ไหว เห็นฉินเจิงแล้วก็ยิ่งนึกถึงบุตรีอันเป็นที่รัก นางจึงกล่าวด้วยความโมโห “ท่านอ๋องน้อยเจิง ดูครึ่งวันแล้ว เจ้าเห็นอะไรบ้างหรือไม่”
ฉินเจิงพยักหน้า “มองออกแล้ว” หยุดชั่วครู่ก็แค่นหัวเราะขึ้นมาเสียงหนึ่ง “แต่ก็เป็นแค่รถม้าธรรมดาคันหนึ่งเท่านั้น จะบดดอกฉิงเหรินอันล้ำค่าในอ้อมอกคนอื่นได้หรือ ไฉนถึงไม่บดเจ้าของมันไปด้วยเล่า” พูดจบ เขาก็จูงเซี่ยฟางหวาออกไป ไม่สนใจทุกคนในจวนเสนาบดีฝ่ายขวาอีก “ไปเถอะ กลับจวนกัน”
เซี่ยฟางหวาถูกเขาดึงขึ้นรถม้า เขาปล่อยม่านลงอย่างรวดเร็ว คนขับตวัดแส้ครั้งหนึ่ง รถม้าแล่นออกจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวา
มาอย่างกะทันหัน กลับไปโดยทิ้งปริศนาไว้
ทุกคนหน้าประตูจวนเสนาบดีฝ่ายขวามองกันอย่างระแวดระวัง