จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 33-2 หากว่าเจ้าอาย
หลี่มู่ชิงเห็นมารดาหลับแล้วก็จัดกายนางสอดเข้าในผ้าห่ม นั่งต่ออีกพักหนึ่งแล้วออกมาจากห้อง
เขาออกจากเรือนของฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามายังห้องหนังสือ
ตะเกียงภายในห้องหนังสือยังสว่างอยู่ เสนาบดีฝ่ายขวานั่งบนเก้าอี้ พิงพนักพลางหลับตาลง ภายใต้แสงเหลืองนวลส่องสว่าง ใบหน้าชราของเขาเผยความเหนื่อยล้า ครั้นได้ยินเสียงเคาะประตูจากภายนอกก็เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “เข้ามา”
หลี่มู่ชิงผลักประตูแล้วเดินเข้ามา
“แม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เสนาบดีฝ่ายขวาลืมตามองเขา
“หมอมาตรวจแล้ว มิใช่เรื่องใหญ่ ดื่มยาเข้านอนแล้ว” หลี่มู่ชิงตอบ
เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า ถอนหายใจออกมา “ไม่โทษแม่เจ้าที่อดทนต่อเรื่องนี้มิได้ เจ้ากับปี้เอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของนาง สมปรารถนามาโดยตลอด หนึ่งปีมานี้นางเป็นห่วงน้องสาวเจ้า ยิ่งเกิดเรื่องขึ้นในวันนี้ สายธนูที่นางขึงเอาไว้ก็พลันขาดสะบั้นลงแล้ว”
หลี่มู่ชิงพยักหน้า
เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวอีก “ที่ผ่านมาจวนเสนาบดีฝ่ายขวาสงบสุขเกินไปแล้ว คลื่นลมเพียงเล็กน้อยมิใช่เพียงแค่แม่เจ้าที่ทนไม่ไหว แต่ข้าเองก็เช่นกัน หากมิใช่ว่าตอนนี้ราชสำนักกำลังอยู่ในระหว่างบริหารจัดการคน พรุ่งนี้พ่อก็อยากยื่นหนังสือลาออกเสีย” พูดจบ เขาก็ปลงตก “ล้วนแก่แล้ว”
หลี่มู่ชิงมองเสนาบดีฝ่ายขวา ไม่รู้เมื่อไรที่ขมับสองข้างถูกย้อมด้วยผมหงอก เขาพลันนึกได้ว่าอดีตฮ่องเต้ที่อายุเท่ากับบิดาตนนั้นจากไปแล้ว เขานวดหว่างคิ้ว ก่อนกล่าวเสียงทุ้ม “ท่านพ่อหากอยากลาออกก็ลาออกเถิด ตระกูลจวนเสนาบดีฝ่ายขวาข้าจะดูแลต่อเอง ราชสำนักแม้อยู่ในช่วงบริหารจัดการคน แต่ฝ่าบาทก็ทรงทราบสถานการณ์ของจวนเสนาบดีฝ่ายขวาในตอนนี้ดี คงอนุญาต”
เสนาบดีฝ่ายขวาแค่พูดออกไปตามใจปากเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าหลี่มู่ชิงจะเห็นด้วย เขาจึงเงยหน้ามองทันที “ชิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าตอนนี้พ่อลาออกได้จริงหรือ”
หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ “พอตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเข้ามาในเมือง จวนเสนาบดีฝ่ายขวาก็ถูกม้วนเข้าไปอยู่ในคลื่นลมนี้ แม้เกิดจากท่านแม่และน้อง แต่โจมตีจวนเสนาบดีฝ่ายขวาของท่าน หากท่านลาออกกะทันหัน น่าจะไม่ได้อยู่ในความคาดการณ์ของพวกเขา”
เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้น ประกายในแววตาก็ดับลง ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ที่ผ่านมา ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางทำอันใดลับหลังบ้าง แม้ข้าไม่เคยไปสืบหา แต่ก็พอรับรู้บ้างหลายส่วน เพียงแต่ไม่คิดว่าพวกเขาเพิ่งเข้ามาในเมืองก็เล็งมาที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวาแล้ว”
“ไม่แน่ว่าจะเพิ่งเล็งตอนเข้ามาในเมือง เมื่อก่อนฮูหยินหมิ่นครอบครัวลูกคนโตถูกอกถูกใจเจิ้งเซี่ยวฉุน แต่เนื่องจากครอบครัวลูกคนโตถูกเนรเทศไปยังเขตร้อนชื้นทางตอนใต้ของหลิงหนาน งานสมรสจึงถูกยกเลิก ต่อมาตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็เข้าตาท่านแม่ แต่น้องปฏิเสธ จึงถูกส่งต่อไปยังจวนองค์หญิงใหญ่ ยามนี้อ้อมไปวนมาก็กลับมาที่เราอีกครั้ง ท่านพ่อคิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่” หลี่มู่ชิงเลิกคิ้ว
เสนาบดีฝ่ายขวาเงียบลงพักหนึ่ง “ไหนเลยจะบังเอิญได้มากขนาดนั้น”
“ใช่แล้ว ไหนเลยจะบังเอิญได้มากขนาดนั้น” หลี่มู่ชิงสมทบ
“ตั้งแต่สิบปีก่อน เสนาบดีฝ่ายซ้ายจับตามองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ส่วนข้าจับตามองเสนาบดีฝ่ายซ้ายอีกที” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจออกมา “แต่หลายปีที่ผ่านมาล้วนไม่มีการเคลื่อนไหวใด วันนี้พอเข้ามาในเมือง ข้าก็ไม่คิดเลยว่าจะมุ่งมาที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวา” พูดจบ เขาก็โบกมือปัด “ช่างเถอะ คืนนี้ข้าจะร่าง
สาส์นกราบทูลข้อราชการ ไว้ยื่นตอนว่าราชการยามเช้าพรุ่งนี้ ข้าถอยออกมาแล้ว แม่เจ้ากับน้องสาวเจ้าจะได้ไม่ถูกใช้ประโยชน์”
“หากท่านพ่อยกจวนเสนาบดีฝ่ายขวาให้ข้า ข้าย่อมไม่ให้คนอื่นมาบ่อนทำลายสร้างปัญหา” หลี่มู่ชิงมีใบหน้ามืดครึ้ม พูดจบก็บอกเรื่องที่เตือนกับเจิ้งอี้และเจิ้งเฉิง
เสนาบดีฝ่ายขวาฟังจบก็พยักหน้า “ฝ่าบาทหากทรงอนุญาตให้ข้าลาออก ต่อไปจวนเสนาบดีฝ่ายขวาย่อมมอบให้เจ้าแล้ว หากสามวันให้หลังน้องสาวเจ้ายังไม่ตกลง รอจนแผลนางหายดีแล้ว ข้ากับแม่เจ้าจะพานางกลับบ้านเกิด ถือโอกาสที่นางยังไม่อยากออกเรือนกับใคร พวกเราเลี้ยงดูนางตลอดมา แต่ยังไม่เคยชดเชยให้นาง” พูดจบก็กล่าวอีก “จวนจงหย่งโหวตอนนี้เหลือเพียงจวนว่าง กลยุทธ์นี้เลี่ยงได้ยอดเยี่ยมนัก เมืองหลวงเมื่อก่อน คลื่นลมทั้งหมดล้วนพัดไปยังจวนจงหย่งโหว ยังเป็นผู้เฒ่าโหวที่ตาสว่างไวกว่าพวกเรา บอกว่าปล่อยวางก็ปล่อยวางทันที”
หลี่มู่ชิงพยักหน้า
สองพ่อลูกคุยเรื่องนี้จบลง เสนาบดีฝ่ายขวาก็ดูผ่อนคลายขึ้น ราวกับผมหงอกลดลงไม่น้อย
อุบายในราชสำนัก อำนาจการต่อสู้ ล้วนเป็นยาพิษของบุรุษ เสนาบดีฝ่ายขวาบอกว่าปล่อยวางก็ปล่อยวางลง ถือว่าเป็นผู้มีปัญญาเช่นกัน
ตั้งแต่รถม้าของฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาออกจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ก็ตรงกลับจวนอิงชินอ๋อง
ระหว่างทาง เซี่ยฟางหวาถามฉินเจิงด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเปิดโปงการกระทำของเจิ้งเซี่ยวหยางว่าตั้งใจเล็งมาที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวา จะดีหรือ”
“ไม่ดีตรงไหน” ฉินเจิงเลิกคิ้ว “คู่กรณีเกิดสับสน ผู้ชมข้างเคียงต้องชี้แนะ ตั้งแต่ปีก่อน เพราะหลี่หรูปี้คนเดียวทำให้จวนเสนาบดีฝ่ายขวาต้องไก่บินเตลิดสุนัขวิ่งพล่าน เสนาบดีฝ่ายขวากับฮูหยินล้วนเหนื่อยล้า หมดเรี่ยวแรงกำลัง ตั้งรับเรื่องภายในจวนเสนาบดีฝ่ายขวาไม่ไหว นับประสาอะไรกับราชสำนักเล่า”
เซี่ยฟางหวามองเขา “เจ้ากำลังเตือนให้เสนาบดีฝ่ายขวาควรถอยออกมา” พูดจบ นางก็ขมวดคิ้ว “แต่ตอนนี้ราชสำนักกำลังอยู่ในช่วงบริหารจัดการคน”
“หลายปีที่ผ่านมา คนรุ่นอาวุโสล้วนจับตามองจวนจงหย่งโหวกับตระกูลเซี่ยร่วมกับราชสำนัก คิดแต่การใหญ่เพื่อกำจัดให้สิ้น การต่อสู้ภายในแต่ละครั้งล้วนเหนือชั้น แต่ตอนนี้สิ่งที่หนานฉินเผชิญมิใช่แค่การต่อสู้ภายในเท่านั้น ยังมีการรุกรานจากภายนอก และแผนการที่วางไว้นานแล้ว ถึงแม้ราชสำนักกำลังอยู่ในช่วงบริหารจัดการคน แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่คงตำแหน่งไว้ให้ครบองค์เท่านั้น หากก้าวพลาดแล้วถูกใช้ประโยชน์กลับ มิสู้เกษียณออกไปเสีย ให้กำลังหลักในราชสำนักจะได้ผลัดเปลี่ยนเข้ามา” ฉินเจิงกล่าว
“ที่เจ้าพูดมาแม้มีเหตุผล แต่คนรุ่นใหม่มีกี่คนกันที่เหมือนเจ้า มีความรู้ลึกซึ้งและมองทะลุปรุโปร่ง”
เซี่ยฟางหวาบอก
ฉินเจิงยื่นมือเกี่ยวเส้นผมนาง นัยน์ตาพลันอ่อนโยนขึ้น “ในใจเจ้า ข้าดีขนาดนั้นเชียว ใครก็เทียบไม่ได้”
เซี่ยฟางหวายิ้ม ก่อนปัดมือเขาออก “กำลังคุยเรื่องจริงจังอยู่”
ฉินเจิงดึงนางเข้ามากอด ก่อนก้มหน้าจุมพิตนาง “แล้วข้าไม่จริงจังตรงไหน”
เซี่ยฟางหวาหลบเขาทว่าไม่พ้น ถูกเขาจุมพิต ถ้อยคำที่จะแย้งก็พูดไม่ออกแล้ว
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินเจิงก็ขบต้นคอและกระดูกไหปลาร้านางด้วยแรงอารมณ์ น้ำเสียงแหบพร่า “ข้าทนไม่ไหวแล้ว ทำอย่างไรดี”
เซี่ยฟางหวามิกล้าส่งเสียง แม้ถูกเขาก่อกวนรังแกก็ได้แต่กลั้นเอาไว้ ได้ยินเช่นนั้นก็หอบหายใจแผ่วเบา ดันตัวเขาออก “คืนนี้เจ้ามิใช่ว่าต้องไปพบเจิ้งเซี่ยวหยางหรือ”
“เวลาแบบนี้ ข้าไหนเลยยังมีเวลาไปสนใจเขา” ฉินเจิงก้มหน้าจุมพิตนางอีกครั้ง ขณะเดียวกันฝ่ามือก็ปลดสายคาดเอวนางออกอย่างแผ่วเบา ก่อนออกคำสั่งคนขับด้านนอก “เจ้ากลับจวนไปก่อน ไม่ต้องขับรถแล้ว”
คนขับได้ยินแบบนั้นย่อมมิกล้าถามถึงสาเหตุ รีบขานรับว่า “ขอรับ” ก่อนกระโดดลงจากรถม้า แล้ววิ่งหายไปจนไม่เหลือแม้แต่เงา
เซี่ยฟางหวาตื่นตระหนก เบิกตากว้างมองฉินเจิง “เจ้าไล่คนขับไปทำไม”
ตามมาด้วยอาภรณ์ที่ร่วงหล่นลง ฝ่ามือของฉินเจิงลูบไล้เรือนร่างอันอ่อนนุ่มดุจผ้าดิ้นเงินดิ้นทองก็มิปานของนางด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างดี กดน้ำเสียงชวนให้หลงใหล “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า หืม”
เซี่ยฟางหวาเจียดลมหายใจเยือกเย็นออกมา หยุดฝ่ามือเขาทันใด “ไม่ได้”
ฉินเจิงก้มหน้าจุมพิตนาง “ข้าเป็นคนกำหนด เจ้าพูดไม่นับ”
เซี่ยฟางหวาคราง “อื้อ” พูดคำใดไม่ออก ทว่าก็ออกแรงส่งไปที่ฝ่ามือเพื่อหยุดมือเขาอย่างเต็มที่ ส่ายศีรษะบ่ายเบี่ยงอย่างแน่วแน่
ฉินเจิงมองนางที่แสดงท่าทางราวกับหากเจ้ากล้าเรื่องทำพรรค์นั้นตรงนี้ ข้ามิสู้ตายไปเสียยังดีกว่า จึงขบกัดแผ่วเบาด้วยความหยอกล้อ น้ำเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำ “ตอนนี้ดึกมากแล้ว บนถนนไม่มีคนแม้แต่ครึ่งเงา ถึงแม้คนตีเคาะบอกยามผ่านมาเห็นรถม้าของเรา หลังจากเห็นป้ายทะเบียนชัดแล้วก็หลบออกไปให้ห่าง เจ้ากลัวอะไร”
“ข้า…”
“หากว่าเจ้าอาย…” ฉินเจิงปิดริมฝีปากนางอีกครั้ง และอุดคำพูดทั้งหมดของนางด้วย “ก็อดทนเอาไว้ อย่าได้ส่งเสียงออกมา”