จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 36-1 เกษียณและแต่งตั้ง
สิ้นเสียงเสนาบดีฝ่ายขวา ทุกคนก็ตกใจอีกหน
โดยเฉพาะเสนาบดีฝ่ายซ้าย ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขากับเสนาบดีฝ่ายขวามีความเห็นไม่ตรงกันบ่อยครั้งก็จริง ด้วยเหตุนี้จึงมีการต่อสู้ทั้งต่อหน้าลับหลัง เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าจู่ๆ วันหนึ่งเสนาบดีฝ่ายขวาก็เกษียณราชการ ยกอำนาจทั้งหมดของตำแหน่งมหาเสนาบดีให้เขา
เขาก้าวออกจากแถวทันใด กล่าวขึ้นว่า “ลบตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นเรื่องใหญ่ เสนาบดีฝ่ายขวาอย่าได้เอือมระอาราชสำนักเพราะปัญหาครอบครัว ตอนนี้ราชสำนักกำลังอยู่ในช่วงบริหารจัดการคน”
“มิผิด เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดมีเหตุผล” อิงชินอ๋องกล่าวขึ้นทันที
เหล่าขุนนางพากันแสดงความเห็นเกรียวกราวทันที
เสนาบดีฝ่ายขวาเงียบ ฟังทุกคนแสดงความเห็น ทว่าไม่ขยับเขยื้อน
ฉินอวี้ฟังขุนนางแสดงความเห็นพักหนึ่ง หลังจากเสียงค่อยๆ ลดลงแล้ว ก็เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ท่าทางเสนาบดีฝ่ายขวาคงตัดสินใจมาดีแล้ว”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมตัดสินใจดีแล้ว เมื่อมิอาจเป็นกำลังให้แผ่นดินหนานฉินได้อีก กระหม่อมย่อมควรเกษียณออกจากราชสำนัก” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว
ฉินอวี้พยักหน้า “เอาล่ะ เราอนุญาตคำขอของเสนาบดีฝ่ายขวา”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เสนาบดีฝ่ายขวาหมอบกราบ
“ฝ่าบาท ทรงทำเช่นนี้มิได้พ่ะย่ะค่ะ” อิงชินอ๋องกล่าวขึ้นทันที
“ฝ่าบาท ทรงไตร่ตรองก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ก้าวออกมา
ฉินอวี้โบกมือปรามอิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้าย เอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “ตั้งแต่เราราชาภิเษกมา หลี่มู่ชิงจวนเสนาบดีฝ่ายขวาก็เตรียมการเรื่องเสบียงทหารตลอดมา ผลงานเป็นที่ประจักษ์ แม้ยังมีประสบการณ์ในราชสำนักไม่มาก แต่หากได้รับการฝึกฝนขัดเกลา ย่อมรับหน้าที่ต่อได้” เว้นช่วงแล้วเอ่ยต่อ “นับจากวันนี้ไป ขอแต่งตั้งหลี่มู่ชิงเป็นผู้ช่วยมหาเสนาบดี งานในมือเขาทั้งหมดยกให้เยี่ยนถิงดูแลต่อ ส่วนเขาย้ายไปทำหน้าที่อื่น ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายร่วมดูแลบริหารงานราชสำนัก”
เหล่าขุนนางตกใจอีกหน
เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ตกใจเช่นกัน แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เสนาบดีฝ่ายขวาลาออกจากราชการ แล้วย้ายหลี่มู่ชิงบุตรชายของเขามาช่วยงานข้างกายตน นี่ถือเป็นการสืบทอดตระกูลเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วเช่นกัน อนาคตก็จะรับช่วงต่อในตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวา
เสนาบดีฝ่ายขวามีบุตรชายที่ประเสริฐ น่าเสียดายที่บุตรชายของตนไร้ความสามารถ รับช่วงต่อจากตำแหน่งตนมิได้
เห็นเสนาบดีฝ่ายขวาที่ได้รับการอนุญาตให้เกษียณแล้ว เขาก็ลอบถอนหายใจยาวเหยียด พลันเกิดความรู้สึกว่าแก่ลงแล้วจริงๆ ขึ้นมา
อดีตฮ่องเต้จากไป เสนาบดีฝ่ายขวาเกษียณ ลำดับต่อไปรุ่นอาวุโสในราชสำนักก็น่าจะทยอยลาออกกันทีละคน เสนาบดีฝ่ายขวาเป็นคนแรก ต่อไปก็ต้องมีคนที่สอง ที่สามตามมา…
โอรสสวรรค์องค์ใหม่ปกครองแผ่นดิน ย่อมควรมีกำลังหน้าใหม่เข้ามาในราชสำนัก
ฉินอวี้กวาดตามองเหล่าขุนนางเงียบๆ แวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นอีกว่า “ส่วนที่เสนาบดีฝ่ายขวาเสนอให้ลบตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวานั้น ยังไม่ขอพิจารณาตอนนี้ หลังเสนาบดีฝ่ายขวาเกษียณแล้ว งานทั้งหมดล้วนมอบให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายดูแล” หยุดชั่วครู่ เขาก็มองเสนาบดีฝ่ายซ้าย “เจ้าต้องลำบากเพิ่มแล้ว”
“กระหม่อมย่อมมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบแสดงท่าที
ฉินอวี้พยักหน้า เอ่ยกับเสนาบดีฝ่ายขวาที่คุกเข่าอยู่ “เจ้าลุกขึ้นเถิด หลี่มู่ชิงมีพรสวรรค์ และประพฤติตนเหมาะสม เรารู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก มีเขาในราชสำนักก็เสมือนเสนาบดีฝ่ายขวายังอยู่ เสนาบดีฝ่ายขวาทำใจให้สบาย ใช้ชีวิตวัยบั้นปลายอย่างมีความสุขเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เสนาบดีฝ่ายขวาลุกขึ้น มีบุตรชายสืบทอดวงศ์ตระกูล เขาย่อมปลื้มใจมากเช่นกัน
“เมื่อคืนคนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางพักที่จวนสบายดีหรือไม่” ฉินอวี้เอ่ยถามเสนาบดีฝ่ายขวาอีก
“ท่านปู่เจิ้งกับนายท่านใหญ่น่าจะหลับสบาย ส่วนคุณชายใหญ่ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน เฝ้าอยู่หน้าเรือนบุตรีพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวาทูลตอบอย่างระวัง
ฉินอวี้พยักหน้า “คุณชายใหญ่ก็เป็นคนเข้มแข็งตรงไปตรงมาเช่นกัน แต่หากคุณหนูหลี่ไม่ตกลงก็ไม่ต้องบังคับ การสมรสเดิมไม่ควรบังคับกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็คิดเช่นนี้” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวทันที
“ฮูหยินสบายดีหรือไม่” ฉินอวี้เอ่ยถามด้วยความใส่ใจอีก “ฟังว่าเมื่อวานฮูหยินเป็นลม เชิญหมอหลวงไปตรวจอาการ มีปัญหาร้ายแรงหรือไม่”
“เป็นโทสะโจมตีหัวใจ ร่างกายอ่อนแอ มิได้ร้ายแรงนัก ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง” เสนาบดีฝ่ายขวารีบทูลตอบ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ฉินอวี้พยักหน้า
เสนาบดีฝ่ายขวาไม่พูดมากความ
“เมื่อวานคุณชายรองเจิ้งพักที่จวนอิงชินอ๋อง ได้สร้างปัญหาเพิ่มหรือไม่” ฉินอวี้หันไปหาอิงชินอ๋อง
อิงชินอ๋องสับสนไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉินอวี้ถึงถามไถ่สารทุกข์สุขดิบระหว่างว่าราชการยามเช้า แต่นึกถึงจดหมายที่ฉินเจิงฝากตนนำเข้ามาในวังวันนี้ได้ ก็กล่าวอย่างไตร่ตรอง “คุณชายรองคงเหนื่อยมาก เมื่อวานหลังตามพระชายากลับจวนไป พระชายาจัดแจงที่พักให้เขาก็พักผ่อนแต่หัววัน ฟังว่าตื่นแต่เช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ออกไปเดินเล่นในเมืองแล้ว”
ฉินอวี้พยักหน้า “เมื่อวานเรามอบสมรสพระราชทานให้ท่านหญิงจินเยี่ยนกับเขา ท่านป้าใหญ่โกรธมาก เมื่อวานเราทบทวนดูแล้ว คิดว่าจวิ้นหม่าไม่ควรไร้ความรู้ความสามารถ เพราะอนาคตจวิ้นหม่าก็เป็นหน้าเป็นตาให้ราชนิกุลเช่นกัน” เอ่ยจบ เขาก็สั่งงานเสี่ยวเฉวียนจื่อ “ร่างพระราชโองการ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปให้เจิ้งเซี่ยวหยางเข้าหอประวัติศาสตร์ ดำรงตำแหน่งอาลักษณ์ก็แล้วกัน”
เหล่าขุนนางได้ยินเช่นนี้ต่างผงะตกใจ
มหาอาลักษณ์คนหนึ่งก้าวออกจากแถว ประสานมือทูลกล่าวว่า “ฝ่าบาท อาลักษณ์แม้เป็นขุนนางตำแหน่งเล็ก แต่จำต้องมีคุณสมบัติเพียบพร้อม ควบคู่ด้วยศีลธรรม อาลักษณ์ต้องรับผิดชอบงานใหญ่หลวงคือ ‘บันทึกคุณูปการแก้ไขความผิดพลาด สรรเสริญสิ่งดีงามประณามสิ่งชั่วร้าย หากประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวลงในวันใด เกียรติยศแลความเสื่อมเสียนั้นคงอยู่ไปตลอดกาล’ จะให้คนไร้ความสามารถ ไม่ยี่หระสิ่งใด เจ้าสำราญไม่เอาการเอางานมาดำรงตำแหน่งได้อย่างไร เรื่องนี้มิอาจทำได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอวี้หัวเราะ “เพราะแบบนี้ เราถึงให้เจิ้งเซี่ยวหยางเป็นอาลักษณ์ เพื่อแก้ไขนิสัยเลวทรามของเขา เรียนรู้ ทำความรู้จัก รับฟัง และบันทึกประวัติศาสตร์ เพื่อบรรลุหลักการเหตุผล เข้าใจคุณธรรมอันยิ่งใหญ่”
“นี่…” มหาอาลักษณ์ยังคิดว่าไม่ควร จึงกล่าวอีก “อาลักษณ์มีหน้าที่ของอาลักษณ์ ต้องบันทึกประวัติศาสตร์อย่างเข้มงวด เคารพในหลักจรรยา บันทึกเรื่องนั้นๆ ตามความเป็นจริง ไม่ปิดบังบิดเบือนก่อให้เกิดมลทิน ถึงจะเป็นอาลักษณ์ที่แท้จริงได้ เขา…เพื่อที่จะแก้ไขพฤติกรรมของเขา ไหนเลยทำให้อาลักษณ์แปดเปื้อน เกรงว่าอาลักษณ์จะถูกราษฎรดูถูก เผยแพร่ออกไป เกรงว่าจะลุกลามมาถึงท่านว่าทรงปรีชาสามารถหากแต่ใช้คนไม่เป็นเอาได้ ฝ่าบาททรงทบทวนดูอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เราก็ทบทวนมาดีแล้วถึงตัดสินใจแบบนี้ เมื่อวานเราได้พบเจิ้งเซี่ยวหยาง แม้เจ้าสำราญไม่เอาการเอางาน แต่พูดจาก็ใช่ว่าไร้เหตุผลเสียทีเดียว นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ยอดเยี่ยมกว่าคนอื่น ลองให้เขาดำรงตำแหน่งอาลักษณ์ดูก็ไม่เสียหาย” ฉินอวี้ยิ้ม “สิ่งที่เจ้าพูดมาแม้มีเหตุผลเช่นกัน แต่ไม่ควรทึกทักเอาเองเกินเหตุ ไม่ต้องพูดมากแล้ว หากเขาแก้ไขพฤติกรรมมิได้ เราย่อมปลดเขาออกจากอาลักษณ์”
มหาอาลักษณ์เห็นฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแล้ว พระองค์เปล่งวาจาทัดทาน คิดหาทางหนีทีไล่เอาไว้ นับว่าเตรียมการไว้พร้อมแล้วเช่นกัน จึงได้แต่เลิกรา ถอยกลับเข้าไปในแถว
พวกเสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นเช่นนี้ก็ล้วนไม่แย้งขึ้นอีก
เสนาบดีฝ่ายขวาแม้ยังไม่ออกจากตำหนัก แต่ก็ได้รับอนุญาตให้เกษียณแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องให้ตนแสดงความคิดเห็น จึงไม่เอ่ยคำใดขึ้นเลย
สองเรื่องนี้จบลง ฉินอวี้ก็ถามเสียงอ่อนโยน “ทุกท่านยังมีใครมีเรื่องจะยื่นอีกหรือไม่”
ทุกคนถูกเรื่องเสนาบดีฝ่ายขวาลาออกจากตำแหน่ง กับเจิ้งเซี่ยวหยางได้รับการแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์ทำให้ตกใจจนลืมเรื่องอื่นไปแล้ว ล้วนส่ายหน้าพร้อมเพรียงกัน
ฉินอวี้โบกมือ สั่งเลิกว่าราชการยามเช้า
ครั้นฉินอวี้เสด็จกลับ ขุนนางที่มีไมตรีกับเสนาบดีฝ่ายขวาก็เข้ามารุมล้อมเสนาบดีฝ่ายขวา พากันพูดขึ้นทีละคน
“ท่านเสนาบดี ไฉนจู่ๆ ถึงได้ลาออกเล่า”
“ท่านเสนาบดี ท่านยังหนุ่ม อยู่ในราชสำนักต่ออีกสิบปีก็ยังไหว”
“ท่านเสนาบดี ท่านเตรียมตัวกลับบ้านเกิดจริงหรือ ไปจากเมืองหลวง”
“…”
เสนาบดีฝ่ายขวาประสานมือคำนับ ก่อนขอตัวออกจากตำหนัก เขาเองก็อาวรณ์ไม่น้อยเช่นกัน เมื่อคืนก็นอนไม่หลับ กว่าจะตัดสินใจอย่างยากลำบากนี้ได้ เขาตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าตนแก่แล้ว บุตรชายรับช่วงต่อวงศ์ตระกูลเสนาบดีฝ่ายขวาได้ ยามที่เสนาบดีฝ่ายขวาถูกม้วนเข้าไปสู่ความผันผวนปรวนแปร เขาก็ควรถอยออกมาเช่นกัน หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของหลี่มู่ชิงแล้ว
เขาเชื่อว่าบุตรชายตนเฉลียวฉลาด มีอุบาย และความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ดังที่ว่าศิษย์เก่งกว่าครู
ฮูหยินของเขาแม้ไม่น่าโปรดปราน แต่ก็ให้กำเนิดบุตรชายที่ประเสริฐแก่เขา
หลังอำลากันเสร็จ ทุกคนก็ถอนหายใจทยอยกันออกจากวังหลวง
หน้าประตูวัง หลังทุกคนแยกย้ายกลับกันหมดแล้ว เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมา ตบบ่าเสนาบดีฝ่ายขวาแผ่วเบา “ท่านพี่ เจ้านึกจะเกษียณก็เกษียณทันที กะทันหันเกินไปแล้ว ไม่มีโอกาสให้ข้าแม้แต่จะรู้สึกตัว เจ้าช่างเด็ดขาดนัก”
“กล่าวกันว่าเมื่อมิได้เป็นขุนนางก็สบายกาย ข้าเองก็หวังว่าตัวเองจะเอาเยี่ยงอย่างผู้เฒ่าโหวแห่งจวนจงหย่งโหว ใช้ชีวิตวัยบั้นปลายอย่างมีความสุข” เสนาบดีฝ่ายขวายิ้มอย่างคนหมดภาระ
“ถอนตัวออกมาแต่เนิ่นๆ ย่อมเป็นผู้มีปัญญา” เสนาบดีฝ่ายซ้ายปลงตกอย่างนับถือ “ข้ากลับทิ้งอำนาจนี้ไม่ลง ทิ้งองค์ชายสี่กลายเป็นรัชทายาท รัชทายาทเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่อันรักษาไว้อย่างยากลำบากมิได้ ตราบใดที่ราชสำนักยังไม่มั่นคง หากข้ายังมีกำลังเหลืออยู่ ข้าก็เกษียณไม่ลงเช่นกัน”
เสนาบดีฝ่ายขวาหัวเราะใหญ่ “เจ้าไม่เหมือนข้า แม้เจ้าอายุไล่เลี่ยกับข้าก็จริง แต่ปณิธานของเจ้าไม่เคยสูญสิ้น ข้ากลับแก่แล้ว ทำสิ่งใดมิได้ตามใจนึก” พูดจบ เขาก็ตบบ่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายเช่นกัน “น้องชาย หลังจากนี้ลูกชายข้าฝากให้เจ้าช่วยดูแลแล้ว”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้าพัลวัน “คุณชายหลี่มีพรสวรรค์ มีสติปัญญาควบคู่ความกล้าหาญ เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ มีไมตรีอันดีงามกับฝ่าบาท ท่านอ๋องน้อยเจิง และท่านโหวน้อยเยี่ยน ข้ามิกล้าบอกว่าจะดูแลคุณชาย
หลี่หรอก เกรงว่าหลังจากนี้เป็นคุณชายหลี่เสียอีกที่ต้องดูแลข้า” พูดจบก็บอกเสนาบดีฝ่ายขวา “เจ้ามีบุตรชายแสนประเสริฐ เท่านี้ก็น่าอิจฉาแล้ว”
เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “หวังว่าลูกชายจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
อิงชินอ๋องเดินเข้ามาสมทบ ตบบ่าเสนาบดีฝ่ายขวาแผ่วเบา “กล่าวกันว่าขุนนางซื่อสัตย์ยากตัดปัญหาครอบครัว เจ้าออกจากราชสำนัก ข้าเองก็เสียดายจริงๆ”
“ถึงมีตำแหน่งสูงเพียงใด ปัญหาครอบครัวก็เป็นปัญหาราชสำนักเช่นกัน มิอาจทำให้แผ่นดินมีภัยเพราะครอบครัวได้” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวทันที
อิงชินอ๋องผงกศีรษะ “เป็นเจ้าที่อ่านสถานการณ์ได้ปรุโปร่ง” พูดจบก็เอ่ยถาม “หลังจากนี้วางแผนจะกลับบ้านเกิดหรือ ไม่อยู่ในเมืองแล้ว”
“ตั้งใจไว้เช่นนี้” เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ
“กำหนดไว้เมื่อไร บาดแผลของคุณหนูหลี่ยังต้องดูแลอย่างรอบคอบ อย่าได้รีบร้อน” อิงชินอ๋องกล่าว
เสนาบดีฝ่ายขวาตอบ “รอปี้เอ๋อร์หายดีแล้วค่อยว่ากันอีกที” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “แค่ปัญหาครอบครัวในจวนก็พอให้เขายุ่งไปอีกหลายวัน” พูดจบก็เสริมว่า “วันหน้าหากมีเวลาว่าง เชิญท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้าย และนายท่านโหวดื่มสุรา”
อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้าย และหย่งคังโหวพยักหน้าพร้อมกัน
ทั้งสามคนเป็นขุนนางในราชสำนักมากว่ายี่สิบสามสิบปี ยามนี้จู่ๆ เสนาบดีฝ่ายขวาก็ขอเกษียณจึงสร้างแรงโจมตีต่อพวกเขาไม่น้อย ต่างทอดถอนใจกันชั่วเวลาหนึ่ง