จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 38-1 ขืนจุมพิต
ชอบอันใดกัน ถ้อยคำที่เหลือจุกในลำคอระหว่างที่ยังสะอึกเหล้าไม่เสร็จ
จินเยี่ยนมองเขาโดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน มิได้โกรธเคืองที่เขาจุมพิตหลังมือตนอย่างเสียมารยาท น้ำเสียงที่ใช้ถามเขานั้นนิ่งสงบ “เมาแล้วหรือไม่”
“คู่หมั้นของเจ้าดื่มพันจอกก็ไม่เมา นี่แค่ไม่กี่จอกเอง มีหรือจะทำข้าเมาได้” เจิ้งเซี่ยวหยางส่ายหน้า
“ถ้าไม่เมาก็ดีแล้ว เจ้าไปกับข้า” จินเยี่ยนหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
“ไปไหน” เจิ้งเซี่ยวหยางรั้งแขนนาง
“ไปวังหลวง” จินเยี่ยนตอบ
“ส่งตัวข้าให้ฝ่าบาทลงโทษ” เจิ้งเซี่ยวหยางเอียงศีรษะมองนาง
“เจ้ามิใช่อยากให้ฝ่าบาทลงโทษหรือ ข้าก็ช่วยให้เจ้าสมหวัง” จินเยี่ยนถลึงตามองแวบหนึ่ง
เจิ้งเซี่ยวหยางพลันยิ้มออกมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนบุปผาก็มิปาน ยกมือขึ้นแผ่วเบา ดึงข้อมือ
จินเยี่ยนเข้าหาอ้อมอกตน ลดศีรษะต่ำลงมองนาง น้ำเสียงทุ้มต่ำถึงที่สุด “ลือกันว่าเจ้าชอบฝ่าบาท”
จินเยี่ยนรู้สึกได้ว่าเขาเคลื่อนไหวเบายิ่ง ทว่ากลับตวัดมือขึ้นแผ่วเบา ดึงนางไปพิงข้อพับแขนเขาอย่างนุ่มนวล นางหรี่ตาลง “เมื่อก่อนเคยชอบ”
“ตอนนี้เล่า” เจิ้งเซี่ยวหยางมองนาง
“ไม่ชอบอีกแล้ว” จินเยี่ยนตอบ
เจิ้งเซี่ยวหยางยกยิ้มมุมปาก โน้มใบหน้าลงเชื่องช้า ประกบทับริมฝีปากนาง
จินเยี่ยนตัวแข็งค้างทันใด แต่กลับมิได้หลบเลี่ยง
เทียบกับสารรูปมอมแมมดูไม่ได้เมื่อวาน บนกายของเขาในวันนี้นอกจากอบอวลด้วยกลิ่นแป้งหอมสตรี ยังมีความหล่อเหลาล้ำเลิศที่โดดเด่นขึ้นเป็นกอง
จากเมื่อวานกระทั่งวันนี้ เจิ้งเซี่ยวหยางเปลี่ยนภาพลักษณ์ภายนอกถึงสองแบบภายในสองวัน
รูปลักษณ์เช่นนี้ย่อมสะดุดตาอย่างยิ่งภายในเมืองหลวงแห่งนี้ เมื่อครู่ตอนที่มารดานางถีบประตูเข้ามา นางเห็นชัดเจนว่าผู้เป็นมารดาแม้กำลังเดือดดาลแต่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แยกเจิ้งเซี่ยวหยางที่เมื่อวานมอมแมมเสียจนดูไม่ได้กับเจิ้งเซี่ยวหยางที่หล่อเหลาในวันนี้ออกจากกันโดยสิ้นเชิง
แต่เขาก็คือเจิ้งเซี่ยวหยาง
กลิ่นแป้งหอมสตรีอบอวลทั่วร่าง ยามนี้เขากำลังโอบกอดนางในแดนนุ่มนวลอ่อนละมุนอย่างหอนางโลมเช่นนี้ ยามมารดาตนเปิดประตูเข้ามา เขาถือว่าอับอายขายหน้าคนอื่นแล้วกระมัง แต่ว่า…นางกลับไม่รู้สึกแบบนั้น
หากชาตินี้มิอาจครองคู่กับฉินอวี้ซึ่งเป็นคนที่นางคะนึงหามาตั้งแต่เด็กได้ จะใครก็เหมือนกัน
เจิ้งเซี่ยวหยางแม้ดูแล้วน่ารังเกียจ แต่ก็มิได้ทำให้นางรังเกียจจนถึงขั้นทนไม่ไหว
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นสิ่งที่นางเลือกเอง
นางหลับตาลงแผ่วเบา
เจิ้งเซี่ยวหยางคอยสังเกตมองจินเยี่ยนอยู่ตลอด เห็นนางอิงแอบในอ้อมอกตนอย่างว่าง่าย ถึงแม้เป็นสถานที่แบบนี้ แม้เขาล่วงละเมิดนาง นางก็ยังไม่แสดงท่าทางโกรธเคือง ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด และไม่พูดอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้เขาละเมิดตามอำเภอใจ เหมือนกับเมื่อวานที่พี่ใหญ่ตนทอดทิ้งไม่แต่งกับนาง ยกเลิกการหมั้น แล้วหันไปสู่ขอหลี่หรูปี้แทน นางก็ช่วยให้เขาสมปรารถนา แล้วหันมาขอร้องฝ่าบาทให้ได้หมั้นหมายกับตน มีความมุ่งมั่นแน่วแน่แบบเดียวกัน
ตัวนางเบายิ่ง ทรวดทรงบอบบาง ใบหน้างดงามวิจิตร คู่ควรกับฉายาโฉมสะคราญคู่แห่งเมืองหลวง
เทียบกับนางแล้ว นางมีฐานะบริสุทธิ์ล้ำค่าอันสูงส่ง หากแต่เขาเป็นเพียงธุลีบนกระเบื้อง ไม่มีอันใดกลมกลืนเลยแม้แต่น้อย
เขาเห็นนางหลับตาลงก็หัวเราะเสียงทุ้มแผ่วเบา ประกบทับริมฝีปากที่ปิดสนิทของนางอย่างไม่ลังเล ปลายลิ้นวาดไปตามกลีบริมฝีปากนางแผ่วเบา เห็นใบหน้านางแดงจัดแล้วขาวซีด ขาวซีดแล้วแดงจัดอีกหน ลมหายใจไม่มั่นคง สลับไปมาเช่นนี้ครู่หนึ่ง ครั้นแล้วค่อนผละกายออกจากนาง กล่าวด้วยรอยยิ้มกริ่มและทั้งอ่อนโยน “ริมฝีปากของท่านหญิงหอมหวานนัก วันนี้ข้ามิได้แตะต้องริมฝีปากสีชาดของหญิงงามที่นี่เลยสักคน ยืมเจ้ามาชดเชยแล้วกัน”
จินเยี่ยนตัวแข็งทื่อ หลับตาลง ขนตาไหวระริกอย่างรุนแรง
เจิ้งเซี่ยวหยางประคองนางให้ยืนตรง ก่อนดึงนางออกจากเรือนเฟิงเยว่ หว่านเสน่ห์เจ้าชู้ใส่แม่เล้าอย่างไม่จริงจังนัก “สุราที่นี่ช่างน่าพึงพอใจนัก ไว้วันหลังข้าจะมาใหม่”
แม่เล้าเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แต่เทียบมิได้กับการที่องค์หญิงใหญ่นำท่านหญิงบุกมาหาจวิ้นหม่าถึงที่อย่างน่าตกใจจนวิญญาณแตกกระเจิงเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขายังทำเรื่องเสียมารยาทกับท่านหญิงที่นี่ ทว่าท่านหญิงกลับเต็มใจ ทำให้นางตกใจจนพูดไม่ออก
ไม่ว่าสตรีคนใดเห็นคู่หมั้นที่เพิ่งได้รับสมรสพระราชทานมาเที่ยวหอนางโลม ล้วนทนมิได้กันทั้งนั้นกระมัง
ย่อมต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนองค์หญิงใหญ่เช่นนั้น
ทว่าท่านหญิงจินเยี่ยนกลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กลับปล่อยให้เขากระทำตามอำเภอใจ
ทำให้แม่เล้าที่ปกครองแดนประโลมโลกโดยไร้อุปสรรคตลอดหลายปีคาดไม่ถึงในชั่วขณะ
จินเยี่ยนลืมตาขึ้น หลังเดินตามเจิ้งเซี่ยวหยางไปหลายก้าวด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง ถึงเพิ่งหาความรู้สึกที่ปลายเท้าสัมผัสพื้นเจอ
ใบหน้านางเห่อร้อนอยู่บ้าง แต่มิได้ร้อนถึงขั้นเหมือนไฟลุกไหม้
หัวใจของนางมิได้เจ็บปวด เมื่อก่อนบ่อยครั้งที่นางมักคิดว่า หากพี่ชายอวี้ยอมรับนาง อ่อนโยนแย้มยิ้มกับนาง นางได้เป็นภรรยาของเขา ได้กอบกุมมือเขา ได้รับจุมพิตจากเขา ตอนนั้นนางคิดว่าคงรู้สึกคล้ายฟ้าดินล้วนเหมือนกับเตาไฟ เมื่อก่อนนางคิดว่าชาตินี้นางต้องเป็นของฉินอวี้เท่านั้น เป็นใครอื่นไปมิได้ นางจะไม่กระทำเรื่องใกล้ชิดสนิมสนมกับผู้ใดเป็นอันขาด ทว่าในวันนี้ก็ทำเช่นนี้ลงไปแล้ว
คนผู้นี้คือเจิ้งเซี่ยวหยาง
ลูกหลานเจ้าสำราญไม่เอาการเอางาน ไร้ประโยชน์ที่สุดในตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง
มารดานางเดือดดาลไม่พอใจกับการสมรสนี้อย่างยิ่ง
คู่หมั้นของนาง
คนที่นางจะออกเรือนด้วย
นางหลับตาลง จิตใจยังคงสงบนิ่งอยู่ นางคิดว่าที่แท้ก็ทำได้ คนที่จะสนิทสนมใกล้ชิดกับนาง มิใช่ฉินอวี้แต่เป็นคนอื่นก็ย่อมได้เช่นกัน
ออกมาจากหอหงซิ่ว เจิ้งเซี่ยวหยางหันมามองจินเยี่ยนแวบหนึ่ง “เจ้าว่าฝ่าบาทจะลงโทษข้าอย่างไร”
“เจ้าอยากให้ฝ่าบาทลงโทษอย่างไรเล่า” ความร้อนบนใบหน้าจินเยี่ยนลดลงบ้างแล้ว
เจิ้งเซี่ยวหยางเกาศีรษะ หันไปมองหอหงซิ่วแวบหนึ่ง ค่อนข้างอาวรณ์ไม่น้อย “ขังข้าเอาไว้ในห้อง ส่งหญิงงามกับสุรารสเลิศจำนวนมากให้ข้า ปล่อยให้เขาเมาตายในแดนนุ่มละมุน สำลักความสุขจนตาย”
จินเยี่ยนพยักหน้า “ข้าจะเสนอต่อฝ่าบาทให้”
เจิ้งเซี่ยวหยางสะดุ้งตกใจ “เจ้าทนเห็นข้าตายได้หรือ”
จินเยี่ยนพลันหันไปมองเขา หัวเราะออกมาแล้วกล่าวเสียงอ่อนโยน “เจ้าตายแล้ว ข้าจะอยู่เป็นม่าย ไม่ออกเรือนเป็นครั้งที่สองแล้ว”
เจิ้งเซี่ยวหยางร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง
จินเยี่ยนสะบัดมือเขาออก ก้าวขึ้นรถม้าแล้วบอกเขา “ขึ้นรถ”
เจิ้งเซี่ยวหยางเกาะล้อรถ เลิกม่านมองนาง พูดพลางยิ้มกริ่ม “แม้เจ้าจะอยู่เป็นม่ายเพื่อข้านั้นข้าดีใจมาก แต่ข้ายังไม่อยากตาย ถึงตอนนั้นแล้วท่านหญิงขอความเมตตาให้ด้วย”
จินเยี่ยนถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าเจ้ายังถ่วงเวลาไปมากกว่านี้ แม่ข้าเข้าวังไปแล้ว ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสำนักตรวจการยื่นมติไม่ไว้วางใจต่อเจ้า ผนวกกับแม่ข้ารบเร้าหาที่ตายอีกเสียง เจ้าว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”
เจิ้งเซี่ยวหยางกระแอมขึ้น “คงไม่ถึงกับสังหารข้าหรอกกระมัง”
จินเยี่ยนแค่นเสียงในลำคอ “คนก่อความวุ่นวายไม่กลัวเรื่องใหญ่หรอกใช่ไหม”
เจิ้งเซี่ยวหยางหัวเราะ กระโดดขึ้นรถแล้วดึงจินเยี่ยนเข้ามากอด “ท่านหญิงพูดถูกแล้ว ตกรางวัลให้เจ้า” พูดจบก็หอมแก้มนางฟอดหนึ่ง
จินเยี่ยนแม้ยังเยือกเย็น ไม่รู้สึกอันใดต่อเจิ้งเซี่ยวหยาง แต่ถูกเขาหยอกเย้าสองครั้งติดก็ทนไม่ไหวเช่นกัน ใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ก็มิได้ผลักเขาออก ปล่อยให้เขากอดต่อไป
เจิ้งเซี่ยวหยางกอดสตรีนุ่มละมุนในอ้อมอก กลิ่นแป้งหอมสตรีบนกายยังเทียบกับกลิ่นกล้วยไม้ล้ำค่าบนตัวจินเยี่ยนไม่ติด ชวนให้รู้สึกสงบ เขาเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี “ข้าร้องเพลงพื้นเมืองให้เจ้าฟังดีกว่า ท่านหญิงในวันนี้น่ารักกว่าเมื่อวาน ทำให้ข้ารู้สึกว่าแต่งกับเจ้านั้นดีมากเช่นกัน”
จินเยี่ยนไม่พูดอะไร ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
เจิ้งเซี่ยวหยางขับร้องท่วงทำนองเพลงพื้นเมืองของสิงหยาง
เบิกบานใจน่าปีติอย่างยิ่ง ความอิ่มใจลอยฟุ้ง
แรกเริ่มจินเยี่ยนมิได้ใส่ใจนัก แต่ภายหลังก็ค่อยๆ เพลิดเพลินร่วมด้วย
หนึ่งบทเพลงพื้นเมืองขับขาน รถม้าก็แล่นมาถึงวังหลวงแล้วเช่นกัน
คนขับหยุดรถม้า บอกคนด้านในอย่างเคารพ “ท่านหญิง ถึงวังหลวงแล้วขอรับ”
จินเยี่ยนถึงได้สติกลับคืนมา เก็บอารมณ์บนสีหน้าทั้งหมด ยกมือผลักเจิ้งเซี่ยวหยางออก
เจิ้งเซี่ยวหยางนั่งนิ่ง เอ่ยถามนาง “เพราะหรือไม่”
“เพราะกว่าเพลงพื้นเมืองในเมืองหลวง” จินเยี่ยนพยักหน้า
เจิ้งเซี่ยวหยางยิ้มอย่างมีความสุข หอมแก้มจินเยี่ยนอีกฟอดหนึ่ง “คราวหน้าข้าจะร้องให้เจ้าฟังบ่อยๆ” พูดจบก็อุ้มนางลงจากรถม้า
หัวใจของจินเยี่ยนเต้นช้าลงครู่หนึ่ง มองกำแพงวังหลวงอันสูงตระหง่าน พยักหน้ารับ “ตกลง”
เจิ้งเซี่ยวหยางจูงมือจินเยี่ยน สาวเท้าเข้าไปในวัง
บังเอิญพบเสี่ยวเฉวียนจื่อกำลังนำคนออกจากวังพอดี พอพบทั้งสอง เสี่ยวเฉวียนจื่อก็รีบทำความเคารพ “บ่าวทำความเคารพท่านหญิงและคุณชายรอง”
“เสี่ยวเฉวียนจื่อกงกง ฝ่าบาทเล่า” จินเยี่ยนถาม
“ฝ่าบาทอยู่ในห้องทรงอักษรขอรับ” เสี่ยวเฉวียนจื่อมองมือของทั้งคู่ที่กำลังกุมกัน กล่าวด้วยเสียงรื่นหู “ตอนนี้องค์หญิงใหญ่อยู่ในห้องทรงอักษร ใต้เท้าจากสำนักตรวจการจำนวนไม่น้อยก็อยู่ด้วยเช่นกัน ฝ่าบาททรงรับสั่งให้บ่าวมาเชิญคุณชายรองเข้าวัง ไม่นึกว่าท่านหญิงกับคุณชายรองจะไม่ต้องให้บ่าวไปเชิญ ก็พากันเข้าวังมาแล้ว”
จินเยี่ยนพยักหน้า “พวกเราจะไปพบฝ่าบาทที่ห้องทรงอักษร”
เสี่ยวเฉวียนจื่อพยักหน้าแล้วนำทางทันที