จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 38-2 ขืนจุมพิต
เจิ้งเซี่ยวหยางเดินอย่างวางก้าม มือที่จูงจินเยี่ยนยังมิได้คลายออก จินเยี่ยนเองก็มิได้สะบัดมือเขาออกเช่นกัน ทั้งสองจับจูงกันแบบนี้ไปยังห้องทรงอักษร ระหว่างทางพบนางข้าหลวงและขันทีกำลังกระซิบกระซิบเสียงเบาโดยอาศัยระยะห่างกั้น
“ท่านนั้นคือคุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางหรือไม่”
“ใช่กระมัง คุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่แท้ก็หล่อเหลาถึงเพียงนี้ด้วย”
“ได้ยินว่าวันนี้เขาไปเที่ยวหอหงซิ่ว”
“ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่โกรธจนแทบเสียสติแล้ว ท่านหญิงกับเขายังจูงมือกันอยู่เลย หากมีท่านหญิงปกป้อง องค์หญิงใหญ่ก็ไม่มีทางลงโทษเขาได้กระมัง”
“…”
จินเยี่ยนไม่มีวิทยายุทธ์ ย่อมไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทุ้มต่ำของเหล่านางข้าหลวงกับขันที
เจิ้งเซี่ยวหยางกระตุกมุมปาก กระซิบขึ้นว่า “คนในวังหลวงล้วนพูดจาเรื่อยเปื่อยแบบนี้หรือไม่”
จินเยี่ยนมองไปตามสายตาเขา มองเพียงแวบเดียว นางข้าหลวงและขันทีกลุ่มนั้นก็ถอยห่างด้วยความลนลาน แยกย้ายกันไปทำงาน นางฉลาด เดาได้ว่ากำลังพูดถึงนางกับเจิ้งเซี่ยวหยางอยู่ และคงไม่ใช่ในทางที่ดีด้วย นางเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้สวรรคต หลังฝ่าบาททรงราชาภิเษกก็สั่งย้ายวังหลังของอดีตฮ่องเต้ออกไป วังหลังแห่งนี้ นอกจากไทเฮาที่เป็นเจ้าของก็ไม่มีคนอื่นแล้ว ไทเฮาก็มิได้ดูแลอย่างเข้มงวดเหมือนเมื่อก่อนอีก”
“สนมนางกำนัลในของวังหลัง ฝ่าบาทสั่งโยกย้ายวังหลังของอดีตฮ่องเต้แบบนี้ ใช่เตรียมคัดเลือกนางในวัยเยาว์แล้วกระมัง พระองค์คงมิใช้คนที่อดีตฮ่องเต้ทรงทิ้งไว้” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก
จินเยี่ยนไม่พอใจทันที เตือนเขาเสียงทุ้มว่า “เจ้าอย่าพูดจาส่งเดช ฝ่าบาทมิได้ทรงกริ้วง่ายๆ ก็จริง เจ้าจะก่อเรื่องก็ย่อมได้ แต่อย่าได้แตะขีดกำจัดของพระองค์ มิฉะนั้นหากพระองค์ทรงอยากลงโทษเจ้าจริงๆ ใครก็ช่วยเจ้ามิได้ ที่นี่คือเมืองหลวง คือวังหลวง มิใช่อาณาเขตตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางของเจ้า”
“ข้าก็มิได้พูดผิดสักหน่อย” เจิ้งเซี่ยวหยางเบะปาก
“ยังพูดอีก” จินเยี่ยนขมวดคิ้ว
“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว” เจิ้งเซี่ยวหยางยกมือยอมจำนน
จินเยี่ยนเลิกสนใจเขา คิดในใจว่าต่อไปวังหลังอันยิ่งใหญ่แห่งนี้จะมีสนมนางกำนัลในจำนวนมากเข้ามาจริงหรือไม่
ทั้งสองเดินมาถึงห้องทรงอักษร
เสี่ยวเฉวียนจื่อรายงานต่อคนด้านในด้วยความระมัดระวัง “ฝ่าบาท ท่านหญิงกับคุณชายรองมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา” น้ำเสียงทุ้มต่ำของฉินอวี้ดังมาจากด้านใน ฟังไม่ออกว่ากำลังสุขหรือโกรธ
จินเยี่ยนมองเจิ้งเซี่ยวหยางแวบหนึ่ง พบว่าเขาไร้ซึ่งความกลัว เหมือนกับตอนก่อความวุ่นวายที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวาเมื่อวานมิผิด นางกับเขายังกุมมือกันไม่ปล่อย เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน
ด้านในห้องทรงอักษร ฉินอวี้นั่งหน้าโต๊ะทรงอักษรหยก เบื้องหน้ามีสาส์นกราบทูลกองหนึ่งวางอยู่
องค์หญิงใหญ่ได้รับพระราชทานที่นั่ง นั่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะทรงอักษรหยกของฉินอวี้เท่าไรนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ เห็นจินเยี่ยนกับเจิ้งเซี่ยวหยางที่นึกไม่ถึงว่าจะกุมมือกันเข้ามา นางก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าเขียวคล้ำ ชี้หน้าจินเยี่ยน “กับคนพรรค์นี้ นึกไม่ถึงว่าเจ้า…นึกไม่ถึงว่ายัง…”
จินเยี่ยนถวายบังคมฉินอวี้ ฉินอวี้โบกมือ มองนางกับเจิ้งเซี่ยวหยางแวบหนึ่ง ไม่เอ่ยคำใด
จินเยี่ยนหันไปมององค์หญิงใหญ่ที่ถูกความโกรธครอบงำจนดูมิได้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้ากับเขาถึงอย่างไรก็ได้รับสมรสพระราชทานด้วยกัน เขาเลวทรามมิใช่คน ค่อยๆ สั่งสอนเคี่ยวเข็ญไปก็พอแล้ว ท่านอย่าโกรธเลย พาลจะทำร้ายร่างกายเปล่าๆ”
“สมรสพระราชทานกลายเป็นยันต์คุ้มกายของเขาแล้ว จึงกำเริบเสิบสานอย่างไรก็ได้ ข้าจะขอให้
ฝ่าบาทยกเลิกการหมั้นเสียประเดี๋ยวนี้” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยความโกรธ
จินเยี่ยนส่ายหน้า กล่าวอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่ตกลง”
“เจ้าเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่ เมื่อครู่ที่หอหงซิ่ว เขาอยู่ในสภาพใด เจ้าก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ ยังอยากออกเรือนกับเขาอีก” องค์หญิงใหญ่โกรธจนตัวสั่น “เจ้าอยากให้แม่โมโหจนตายเลยใช่หรือไม่”
“ท่านแม่ ไฉนท่านถึงต้องโกรธด้วยเล่า ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าเมื่อเลือกเขาแล้ว อนาคตหลังจากนี้เป็นเช่นไรก็จะไม่เสียใจทีหลัง” จินเยี่ยนมองนาง
“แค่เจ้าไม่เสียใจทีหลังก็พอแล้วรึ เจ้าเคยคิดถึงข้าหรือไม่ ข้าเป็นแม่เจ้า ทะนุถนอมเจ้ามาตั้งแต่เด็ก มีหรือจะยอมให้คนอื่นมาหยามเกียรติเจ้า” องค์หญิงใหญ่ก้าวขึ้นมา เงื้อมือหมายทำร้ายเจิ้งเซี่ยวหยาง “เจ้าไอ้สารเลว ยังไม่ปล่อยมือนางอีก”
นางเพิ่งยกมือขึ้นก็ถูกจินเยี่ยนขวางไว้ กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ท่านแม่ ข้าตัดสินใจมาดีแล้ว หากท่านไม่ตกลง ใช่อยากบังคับลูกให้ได้เลยหรือไม่”
องค์หญิงใหญ่โกรธจนเนื้อตัวสั่นเทา ยิ่งเห็นจินเยี่ยนมีท่าทีแน่วแน่ เจิ้งเซี่ยวหยางกลับยืนเอ้อระเหยลอยชายอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้น น่าเสียดายรูปลักษณ์โดยแท้ นางหันหน้าไปกล่าวกับฉินอวี้ “ฝ่าบาท วันนี้เจ้าไม่ยกเลิกการหมั้นก็ได้ แต่อย่าได้ให้อภัยเจ้าสารเลวคนนี้”
ฉินอวี้พยักหน้า วางพู่กันลง มองมายังเจิ้งเซี่ยวหยางแล้วเอ่ยว่า “เราเพิ่งแต่งตั้งเจ้าเป็นอาลักษณ์ เจ้ากลับต้องให้เราเรียกองค์หญิงใหญ่กับใต้เท้าทุกท่านในสำนักตรวจการมา เจ้าว่าเราจะลงโทษเจ้าอย่างไร ถึงพอจะดับโทสะขององค์หญิงใหญ่ได้ ถึงทำให้ผู้ตรวจการคิดว่าเราเป็นจักรพรรดิที่มีความสามารถ”
เจิ้งเซี่ยวหยางเลิกคิ้ว ทันใดนั้นก็โอบกอดจินเยี่ยน “ลงโทษด้วยการขังข้ากับท่านหญิงในห้องมืดเล็กๆ ก็พอแล้ว ขังไว้สักครึ่งปี ให้พวกเราได้ทบทวนตัวเอง”
“สารเลว” องค์หญิงใหญ่เดือดดาลขึ้นอีก
ฉินอวี้มิได้สนใจองค์หญิงใหญ่ หากแต่หันไปถามจินเยี่ยน “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
จินเยี่ยนก้มหน้าลง “งานราชการเทียบกับปัญหาส่วนตัวแล้ว ย่อมเห็นแผ่นดินมาก่อนครอบครัว เขาไปหอหงซิ่ว ในฐานะของขุนนาง ถือว่ามีความผิดด้านศีลธรรม ฝ่าบาททรงจัดการอย่างไร จินเยี่ยนล้วนไม่มีข้อโต้แย้ง”
“หืม” ฉินอวี้มองนาง “ที่เราถามหมายถึงตัวเจ้า”
จินเยี่ยนส่ายหน้า “ข้าคิดว่า บุรุษไม่เจ้าชู้ก็เสียแรงที่เกิดมาเป็นบุรุษ เกิดมาเป็นบุรุษทั้งที ที่กล่าวกันว่าอันแดนอ่อนโยนนุ่มละมุนคือสุสานของวีรบุรุษ ก็ไม่ผิดเช่นกัน”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า” องค์หญิงใหญ่โมโหจนแทบสลบไป
“ข้าหมายความเช่นนี้ ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเถิด แม้พวกเรายังมิได้สมรสกัน แต่เนื่องด้วยมีการหมั้นหมายเป็นพันธะ ข้ายินดียอมรับโทษร่วมกับเขา” จินเยี่ยนบออก
องค์หญิงใหญ่หายใจไม่ทันชั่วขณะ เบื้องหน้าพลันดับวูบ หมดสติลงไปกับพื้น
นี่คือบุตรีที่นางเฝ้าทะนุถนอมมา โดยเฉพาะขุมนรกอย่างตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเป็นตระกูลที่นางเลือกให้บุตรีเอง นางจะไม่โกรธไม่โมโหเลยได้อย่างไร
จินเยี่ยนรีบก้าวขึ้นมาประคององค์หญิงใหญ่เอาไว้ เรียกมารดาด้วยความลนลาน “ท่านแม่”
ฉินอวี้เองก็ลุกขึ้นเช่นกัน เดินเข้ามาตรวจชีพจรให้องค์หญิงใหญ่ ผ่านไปพักหนึ่งก็เอ่ยบอกจินเยี่ยน “เป็นไฟโทสะโจมตีหัวใจ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง” เอ่ยจบ เขาก็สั่งงานเสี่ยวเฉวียนจื่อ “นำท่านป้าใหญ่ไปส่งที่ตำหนักไทเฮาก่อน แล้วตามหมอหลวงไปตรวจอาการที่ตำหนักไทเฮา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อรีบนำคนมายกองค์หญิงใหญ่ออกไป
จินเยี่ยนมององค์หญิงใหญ่ แล้วมองฉินอวี้อีกครั้ง
“ถ้าเจ้าเป็นห่วงท่านป้าใหญ่ก็ตามไปดูเถอะ” ฉินอวี้โบกมือ
จินเยี่ยนมองเจิ้งเซี่ยวหยางแวบหนึ่ง มิได้เดินออกไป ส่ายหน้ากล่าว “ฝ่าบาทเอ่ยว่าท่านแม่ไม่เป็นไร เช่นนั้นนางก็ไม่น่าเป็นห่วง ถึงนางฟื้นมาก็คงไม่ยากพบข้า”
เวลานี้เจิ้งเซี่ยวหยางก้าวขึ้นมา มองนางแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านหญิงคงมิได้อาวรณ์ข้าหรอกกระมัง กลัวว่าข้าจะถูกฝ่าบาทลงโทษสถานหนักใช่หรือไม่”
จินเยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดคำใด
“มีเจ้าอยู่ด้วย ข้าก็สบายใจแล้ว” เจิ้งเซี่ยวหยางยิ้มพลางหันกลับมากล่าวกับฉินอวี้ “ฝ่าบาท ใช้มีดอ่อนทรมานคนนั้นเป็นทุกข์ที่สุด เจ้าใช้มีดแข็งอย่างตรงไปตรงมาเถอะ”
ฉินอวี้หรี่ตาลง “ในเมื่อเจ้าเต็มใจถูกขังในห้องมืด เราก็จะช่วยให้เจ้าสมหวัง” เอ่ยจบ เขาก็สั่งงาน “ใครก็ได้ นำเจิ้งเซี่ยวหยางไปขังในคุกมืด ให้เขาทบทวนตัวเอง”
“แล้วท่านหญิงเล่า” เจิ้งเซี่ยวหยางถามทันที
ฉินอวี้เงียบ
ด้านนอกมีทหารองครักษ์เข้ามา คุมตัวเจิ้งเซี่ยวหยางทันที
จินเยี่ยนก้าวขึ้นมา “ฝ่าบาท ข้า…”
“เราไม่ต้องการชีวิตเขา เจ้าสบายใจได้” ฉินอวี้โบกมือ
เจิ้งเซี่ยวหยางถูกคุมตัวออกไป
หลังถูกคุมตัวออกจากห้องทรงอักษร เจิ้งเซี่ยวหยางก็ตะโกนลั่น “ฝ่าบาท เจ้ามิให้ท่านหญิงมากับข้าด้วย เช่นนั้นก็หาหญิงงามมาให้ข้าสักสองคนเถิด ยังมีสุรารสเลิศ ไหนจะอาหาร…”
เสียงค่อยๆ ดังห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
ใต้เท้าทุกท่านจากสำนักตรวจการต่างทอดถอนใจพร้อมกัน คิดในใจว่าคุกมืดนั้นน่ากลัวว่าคุกบนดินนัก อย่าว่าแต่มืดจนมองไม่เห็นแสงตะวันเลย ทั้งอับชื้น มืดครึ้ม และหนาวเย็น เป็นสถานที่ที่น้ำเย็นและสกปรก คิดในใจว่าเจิ้งเซี่ยวหยางถูกนำไปขังในคุกมืดที่น่ากลัวว่าคุกบนดินแล้ว ไม่รู้ว่าต้องขังไว้นานเท่าไร คนทั่วไปอย่างดีสามวันก็ทนไม่ไหวแล้ว
ฝ่าบาทมิได้ปลดตำแหน่งที่เพิ่งแต่งตั้งเขา กลับนำเขาไปขังในคุกมืด ดูท่าก็เพื่อท่านหญิงจินเยี่ยน ลงโทษด้วยการดัดนิสัยเขาแทน
แต่การลงโทษครั้งนี้ก็ถือว่าค่อนข้างหนักเช่นกัน
ส่งคนเข้าคุกมืดแล้ว ผู้ตรวจการอย่างพวกเขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ต่างขอตัวลา
ฉินอวี้โบกมือ หลังทุกคนออกไปแล้ว เขาก็มองจินเยี่ยน เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “หากตอนนี้เจ้านึกเสียใจทีหลัง เรายังอนุญาตเจ้า เรียกพระราชโองการคืน ยกเลิกการหมั้นระหว่างเจ้ากับเจิ้งเซี่ยวหยาง”
จินเยี่ยนส่ายหน้า “ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ให้สมรสพระราชทานกับฉินเจิงและเซี่ยฟางหวาแล้วถอนหมั้นหลายครั้ง เรื่องนี้ถูกบันทึกลงไปประวัติศาสตร์แล้ว ถูกมองว่าจักรพรรดินั้นเล่นแบบเด็กๆ ฝ่าบาทเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ มิควรเลียนแบบอดีตฮ่องเต้ อนาคตจะถูกคนประณามเอา” พูดจบ นางก็ทำความเคารพขอตัวลา กล่าวด้วยความแน่วแน่ “ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีทางเสียใจทีหลังเด็ดขาด ขอออกเรือนกับเจิ้งเซี่ยวหยางเท่านั้น ถึงเขาตายไป ข้าก็จะอยู่เป็นม่ายเพื่อเขา”
ฉินอวี้มองนางเดินออกไป ครั้นประตูห้องทรงอักษรปิดลง เขาทรงพระสรวลเสียงเรียบครู่หนึ่ง ก่อนหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนวิจารณ์สาส์นกราบทูลข้อราชการต่อ