จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 41-1 กลางวันแสกๆ
เซี่ยฟางหวาดื่มน้ำแก้วหนึ่ง รู้สึกว่าจิตใจดีขึ้นเล็กน้อย
พระชายาอิงชินอ๋องนั่งมองนางข้างกาย “หวาเอ๋อร์ เจ้ารีบตรวจชีพจรตัวเองดู แล้วเขียนเทียบยาบำรุงร่างกายเถอะ ใบหน้าเจ้าขาวซีดจนน่ากลัว” พูดจบก็กล่าวขึ้นอีก “ถ้าไม่อย่างนั้น ตามหมอหลวงหรือไม่”
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ท่านแม่ ไม่ต้องตรวจชีพจรหรอก ร่างกายข้าข้าย่อมรู้ดี กลับไปแล้วค่อยเขียนเทียบยา กินยาบำรุงร่างกายก็ดีขึ้นแล้ว” พูดจบ นางก็กล่าวต่อ “หมอหลวงตรวจชีพจรข้ามิได้หรอก ข้าตรวจเองดีกว่า”
พระชายาอิงชินอ๋องย่อมรู้ว่าตั้งแต่หมอหลวงซุนถูกสังหาร สำนักหมอหลวงก็ไม่มีหมอหลวงฝีมือดีอีก วิชาแพทย์ล้วนไม่เชี่ยวชาญ นางถอนหายใจออกมา “ต้องโทษข้าที่ให้เจ้ามาดูดอกไม้นั่น”
“โทษท่านได้อย่างไร ไม่มีใครคาดคิดทั้งนั้น ท่านอย่าโทษตัวเองเลย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“เมื่อครู่เจ้ากระอักเลือด ตอนนี้อ่อนแอขนาดนี้ ไม่ร้ายแรงจริงหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง “เรียกเจิงเอ๋อร์กลับมาดีกว่า สภาพเจ้าตอนนี้ ข้าเองก็ไม่รู้วิชาแพทย์ ทั้งยังไม่ตามหมอหลวงอีก ข้าเองก็ไม่รู้สภาพร่างกายเจ้า ข้าเป็นห่วง” พูดจบนางก็ทำท่าจะลุกขึ้น
เซี่ยฟางหวายกมือห้ามนางไว้ “ท่านแม่ ท่านอย่าบอกเขา เขาเดินทางไปครั้งนี้ได้แอบนำเจิ้งเซี่ยวหยางที่ถูกขังในคุกมืดไปด้วย เพื่อกำจัดตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางและสายสอดแนมเป่ยฉี สิ่งที่ต้องทำค่อนข้างเป็นความลับ ทั้งต้องลงมืออย่างว่องไวเด็ดขาด ห้ามมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย แม้มีเจิ้งเซี่ยวหยางช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างไรตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็มีรากฐานมาหลายยุคสมัย อีกอย่างเขาก็ไม่รู้วิชาแพทย์ กลับมาก็ทำได้แค่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กระวนกระวายใจเปล่าๆ”
“ต้องหาตัวคนก่อเหตุให้ได้ ถ้ามีเขาอยู่ในเมืองด้วย อยู่เคียงข้างกายเจ้า ข้าก็จะสงบใจกว่า” พระชายาอิงชินอ๋องบอก
เซี่ยฟางหวากุมมือนาง “พวกเราต้องสืบหาตัวจนเจอให้ได้ ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางกับสายสอดแนม
เป่ยฉีมิอาจถ่วงเวลายืดเยื้อไปนานกว่านี้ได้แล้ว ฉีเหยียนชิงได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท รับช่วงต่อการบริหารราชสำนัก หลังอยู่ตัวแล้วต้องยกทัพทันทีแน่นอน จำต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนเขาจะลงมือ”
พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา “เจ้านี่นะ เพื่อแผ่นดินหนานฉินจึงคิดเยอะเกินเหตุ ลำบากตัวเองแล้ว”
“ท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ครั้งนี้กระตุ้นเลือดหัวใจในกายข้าให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แค่ทำให้บาดแผลที่บำรุงรักษามายาวนานสูญเปล่าเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับเอาชีวิตข้า” เซี่ยฟางหวาบอก “และไม่ได้เอาชีวิตข้าได้ง่ายขนาดนั้น”
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ระงับความกังวลร้อนใจลง มองนาง “ก็ได้ เชื่อเจ้า ไม่เรียกเขากลับมาก็ได้”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เป็นฝีมือผู้ใดกันแน่ เช้าเมื่อวาน ข้ากับชุนหลันยกดอกไม้ออกไป มีคนเข้าออกเยอะถึงเพียงนั้น” พระชายาอิงชินอ๋องเม้มปาก “หรือว่าเป็นอุบายของคนในนี้จริงๆ นอกจากไทเฮา ฝ่าบาท ไท่เฟย องค์ชายแปด ฮูหยินคุณหนูคุณชายจากจวนต่างๆ คนที่จะมาจวนอิงชินอ๋องได้ล้วนเป็นคนที่มีการไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนม ไม่กล้าคิดเลยว่า นึกไม่ถึงว่าจะมีความคิดชั่วร้ายถึงเพียงนี้อยู่”
เซี่ยฟางหวาไม่พูดอะไร
“หวาเอ๋อร์ เจ้ามีแผนการใดในใจหรือยัง คิดว่าเป็นฝีมือของใคร” พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ท่านแม่ เมื่อวานที่ท่านกับป้าหลานยกดอกไม้กระถางนี้ออกไป มีใครเห็นมันหรือแตะต้องมันบ้างหรือไม่”
พระชายาอิงชินอ๋องนึกทบทวน “เมื่อวานจัดงานชมบุปผา แขกเข้าร่วมล้วนทยอยกันไปชมดอกไม้เหล่านั้น จะมีใครสังเกตว่าใครดูดอกไม้ใดบ้างเล่า”
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก “ดอกไม้เยอะถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงเลือกดอกจินอวี้หลานกัน”
พระชายาอิงชินอ๋องมึนงงไปครู่หนึ่ง “นั่นสิ ดอกไม้เยอะถึงเพียงนี้ หากบอกว่าดอกจินอวี้หลานเปราะบาง แต่มันก็ไม่ใช่ดอกไม้ที่เปราะบางที่สุด”
“เพราะตอนที่ท่านกับป้าหลานยกดอกจินอวี้หลานออกไป น่าจะดูแลมันเป็นพิเศษ ดังนั้นวันนี้พอเห็นมันจู่ๆ ก็ออกดอกผลิบาน จึงมั่นใจว่าแต่เดิมมันไม่ได้ออกดอกตูมอย่างแน่นอน ท่านแม้ดูแลเอาใจใส่ดอกไม้ทุกกระถาง แต่บางครั้งก็มีส่วนที่ละเลยไปด้วยเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรดอกไม้ก็มีเป็นร้อยกระถาง จู่ๆ ดอกใดก็แตกหน่ออ่อน จู่ๆ ก็ออกดอกผลิบาน ท่านก็ไม่แน่ว่าจะจำมันได้แม่นขนาดนั้นเช่นกัน” เซี่ยฟางหวาบอก
“ใช่ ไม่ผิด เป็นเช่นนี้” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
“ดังนั้นท่านแม่ ท่านลองทบทวนดูว่า มีใครรู้หรือไม่ว่าเช้าเมื่อวานท่านดูแลดอกไม้กระถางนี้เป็นพิเศษ สังเกตแล้วสังเกตอีกอย่างถี่ถ้วน ถึงเลือกลงมือกับดอกไม้กระถางนี้เพื่อจงใจทำให้ท่านเห็น และชักจูงท่านกับข้าตกลงสู่หลุมพราง” เซี่ยฟางหวาถาม
พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง ลดเสียงต่ำลง “เจ้าหมายถึงชุนหลัน”
“ท่านแม่ ท่านไว้ใจป้าหลานหรือไม่” เซี่ยฟางหวามองนาง
พระชายาอิงชินอ๋องเม้มปาก ตรึกตรองพักหนึ่งแล้วพยักหน้า “นางเป็นสาวใช้ตามข้าออกเรือนมา หลังเข้ามาในจวนก็ออกเรือนกับสี่ซุ่นซึ่งอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ท่านอ๋องกับข้าไว้ใจพวกเขาสองสามีภรรยา มิฉะนั้นคงไม่ฝากฝังงานใดๆ ให้พวกเขาทั้งหมด”
“มิใช่ใครก็จะได้รับความไว้วางใจจากท่านแม่ สายตาของท่านแม่ข้าเองก็เชื่อถือเช่นกัน ข้าคิดว่าป้าหลานก็คงไม่คิดทำร้ายข้าด้วย” เซี่ยฟางหวาบอก “ท่านลองทบทวนอีกที นอกจากป้าหลาน ยังมีใครสังเกตมันอีกหรือไม่”
พระชายาอิงชินอ๋องก้มหน้าทบทวน สักพักใหญ่ถัดมานางก็นวดศีรษะ “ตั้งแต่เช้าเมื่อวานก็ยุ่งอยู่กับการจัดแจงดอกไม้ เด็กรับใช้ สาวใช้ทั้งในและนอกตลอดเวลา ไปมาเร่งรีบ นอกจากชุนหลัน ข้าก็จำไม่ได้แล้วว่าตอนที่ข้ากับชุนหลันดูดอกไม้กระถางนี้ ยังมีใครอยู่ด้วยหรือไม่”
“ท่านเรียกป้าหลานเข้ามาเถอะ” เซี่ยฟางหวาบอก “กำชับคนที่ท่านไว้ใจเฝ้าประตูไว้”
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วเดินออกไป พบชุนหลันเฝ้าประตูอยู่ก็เอ่ยขึ้น “เจ้าตามข้าเข้าไปข้างใน”
ชุนหลันเห็นว่าสีหน้าของพระชายาอิงชินอ๋องไม่น่ามองยิ่ง นางผงะตกใจ “พระชายา เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ”
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า ยกมือเคาะกรอบประตู ตะโกนบอกด้านนอก “ใครก็ได้”
“พระชายา” ชุ่ยเหอเดินมาที่ประตู
“เจ้าเฝ้าประตูไว้ ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด” พระชายาอิงชินอ๋องกำชับ
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเหอผงกศีรษะ
พระชายาอิงชินอ๋องนำชุนหลันเดินเข้ามาในห้องชั้นใน
ทันทีที่ชุนหลันเข้ามาก็เห็นกองเลือดบนพื้นหน้าโต๊ะ และเห็นเซี่ยฟางหวากำลังนั่งอยู่บนตั่งบุนวมด้วยใบหน้าขาวซีดและท่าทางอ่อนแรง นางสะดุ้งตกใจ “พระชายา นี่…พระชายาน้อยท่าน…นี่มัน…”
นางตกใจจนพูดติดๆ ขัดๆ
“ดอกไม้กระถางนั้นถูกคนวางพิษ กระตุ้นพิษในร่างกายหวาเอ๋อร์เข้า” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวสั้นๆ “เจ้าลองทบทวนดูว่าเมื่อวานตอนที่เจ้ากับข้าดูดอกไม้กระถางนี้ ยังมีใครอยู่ด้วยหรือไม่”
ชุนหลันมองไปยังเซี่ยฟางหวาด้วยใบหน้าซีดขาว เนิ่นนานกว่าจะระงับความตกใจได้ “ท่านหมายถึงดอกจินอวี้หลานกระถางนั้นหรือเจ้าคะ”
“อืม” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “เจ้าทบทวนให้ละเอียด”
ชุนหลันก้มหน้าลง ตรึกตรองอย่างละเอียด “เมื่อวาน…ชายารองหลิว สาวใช้มีอายุกับเด็กรับใช้ในจวน นอกจากคนของเรือนลั่วเหมยแล้ว ล้วนมีการโยกย้ายทำงานทั้งหมด” พูดจบ นางก็กล่าวขึ้น “หรือชายารองหลิวเป็นคนวางพิษ”
พระชายาอิงชินอ๋องมีใบหน้าเยือกเย็นทันที
ชุนหลันกล่าวขึ้นอีกทันใด “ไม่ใช่สิ ท่านบอกว่าตอนที่พวกเราดูแลดอกจินอวี้หลานมีใครอยู่ด้วยหรือไม่ เช่นนั้นก็มิใช่ชายารองหลิว ตอนที่พวกเรากำลังดูแลดอกจินอวี้หลานกระถางนั้น ชายารองหลิวออกไปกำกับดูแลคนแล้ว” พูดจบ นางพลันนึกบางอย่างขึ้นได้ ตกใจไปครู่หนึ่ง “หรือว่า…เป็นไปไม่ได้หรอก…”
“ใคร” พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง
ชุนหลันชำเลืองมองด้านนอกแวบหนึ่ง ใบหน้าขาวซีด ลดเสียงต่ำลง “ท่านกับบ่าวคุยเรื่องดอกจินอวี้หลานกระถางนั้นจบ ก็สั่งให้ชุ่ยเหอยกออกไปเจ้าค่ะ”
พระชายาอิงชินอ๋องหันไปมองด้านนอกทันที
ประตูห้องชั้นในปิดสนิท ระดับเสียงที่พวกนางใช้คุยกันในห้องก็เบามาก ด้านนอกมีห้องหลายห้องและห้องรับรองกั้น หากเฝ้าหน้าประตูตามคำสั่งย่อมไม่ได้ยินเสียงใด
นางเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยถามเสียงทุ้ม “เจ้าแน่ใจหรือ”
“บ่าวแน่ใจเจ้าค่ะ หรือว่าเป็น…” ชุนหลันมองพระชายาอิงชินอ๋อง กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “นางเป็นสาวใช้ที่นอกจากบ่าวแล้วพระชายาไว้วางใจที่สุด พระชายาก็ได้เลือกบ้านสามีที่ดีให้แก่นาง เตรียมให้อิสระด้วยการออกเรือน อีกอย่างคุณชายของบ้านนั้นเป็นบัณฑิตจวี่เหริน*[1] ค่อนข้างมีพรสวรรค์ นางออกเรือนไปเป็นภรรยามิใช่อนุ นางเองก็ดูถูกใจมากเช่นกัน ไม่น่า…ไม่น่าจะทำร้ายพระชายาน้อยได้”
พระชายาอิงชินอ๋องไม่พูดจา
“แต่นอกจากบ่าวกับนาง ตอนนั้นบ่าวก็จำไม่ได้แล้วว่ายังมีใครอีก” ชุนหลันกล่าวต่อ
พระชายาอิงชินอ๋องผินหน้ามองไปทางเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าคนที่ชุนหลันเอ่ยถึงเป็นชุ่ยเหอ นางย่อมเป็นคนที่พระชายาไว้วางใจรองลงมาจากชุนหลัน งานหลายเรื่องล้วนมอบให้ชุ่ยเหอจัดการ บ่งบอกว่าพึ่งพาและไว้วางใจได้ เห็นพระชายาอิงชินอ๋องมองมาจึงเอ่ยขึ้น “ชุ่ยเหออยู่ด้านนอกใช่หรือไม่ ไฉนท่านแม่ไม่ลองเรียกนางเข้ามาถามดู”
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า บอกชุนหลัน “เจ้าออกไป แล้วเรียกนางเข้ามา”
“เจ้าค่ะ” ชุนหลันเดินออกไป
[1] *บัณฑิตจวี่เหริน ผู้สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตระดับชนบทในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง