จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 8-2 กลับจวนเข้าวัง
พระชายาอิงชินอ๋องฟังจบก็ลูบหลังมือเซี่ยฟางหวา น้ำตาคลอหน่วยตา “เด็กคนนี้ แม่รู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมีความลำบากใจใดเป็นแน่ ตอนนั้นอวี้หวั่นกับพ่อเจ้าด่วนจากไป สิ่งที่นางทิ้งไว้เพื่อให้ข้ามอบให้เจ้านั้น ทำให้ข้าคิดว่ากฎของเผ่าภูตผีไม่ธรรมดา การสมรสของพวกเจ้าเกรงว่าต้องยากลำบากแน่นอน กลับไม่คิดว่า…”
เซี่ยฟางหวาเงียบ ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี ฉินเจิงจงใจปิดบังเรื่องระหว่างสองชาติ ขณะเดียวกันก็ทำให้นางลอบถอนใจโล่งอก ทั้งรู้สึกขอโทษต่อพระชายาอิงชินอ๋อง ถึงอย่างไรก็เป็นนางที่ดึงฉินเจิงมาพัวพันด้วย
หากฉินเจิงมิได้ชอบนาง มิได้อยากสมรสกับนาง เขาก็คงไม่ต้อง…
“พวกเจ้ารักกัน นี่เป็นวาสนาที่สวรรค์มอบให้แล้ว วาสนาลึกซึ้ง ถึงแยกจากก็มิอาจแยกได้” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวอีก “ต้องมีหนทางแน่ โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล เผ่าภูตผีเกิดขึ้นด้วยกฎแห่งสวรรค์ อย่างไรก็ต้องมีหนทางแก้ไข ตาเจ้ามิใช่ไปยังเผ่าภูตผีแล้วหรือ ในบางครั้ง มนุษย์ก็เอาชนะสวรรค์ได้”
เซี่ยฟางหวาอบอุ่นใจขึ้นมา พยักหน้ารับ
“พวกเจ้าระหกระเหินกลับมาคงเหนื่อยแล้วใช่ไหม รีบไปพักผ่อนเถอะ” พระชายาอิงชินอ๋องลูบปลอบ
“ไม่เหนื่อยเลย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ไม่เหนื่อยก็ต้องไปพักผ่อน” ฉินเจิงฉุดมือนางลุกขึ้น
เซี่ยฟางหวาจนปัญญา ได้แต่ลุกตามเขา
ทั้งคู่ออกมาจากเรือนหลักแล้วตรงไปยังเรือนลั่วเหมย ต้นไม้ทุกต้น ทิวทัศน์ทุกหนแห่งภายในจวนอ๋องยังคงเหมือนเดิม เซี่ยฟางหวาทอดถอนใจ กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจากไปวันนั้น คิดว่าจะมิได้กลับมาอีกแล้ว”
ฉินเจิงยื่นมือเคาะหน้าผากนาง “น่าตีนัก”
“น่าตีจริงๆ นั่นแหละ” เซี่ยฟางหวากุมมือเขาแน่น
ฝ่ามือของฉินเจิงกุมมืออันอบอุ่นของนางไว้ จับจูงกันกลับเรือนลั่วเหมย
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคน รวมถึงอวี้จั๋วและหลินชีต่างทราบข่าวแล้ว พากันมารอหน้าประตูเรือนลั่วเหมย เมื่อเห็นทั้งคู่กลับมาก็เข้ามารุมล้อมด้วยความดีใจ
ภายในเรือนลั่วเหมย สายลมเอื่อยพัดผ่าน กลีบดอกลั่วเหมยปลิวว่อน ดอกเดิมเ**่ยวเฉาโรยรา ดอกใหม่ผลิดอกเบ่งบาน ส่งกลิ่นหอมชวนให้สดชื่นเบิกบาน
ไป๋ชิงกับจื่อเย่ไม่รู้วิ่งออกมาจากไหน ตัวหนึ่งคลอเคลียชายเสื้อฉินเจิง ตัวหนึ่งคลอเคลียชายกระโปรงเซี่ยฟางหวา ถูไถไปมา ดูแล้วคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง
เซี่ยฟางหวาระบายยิ้มอบอุ่น
เรือนในหุบเขาลึกแม้เงียบสงบ แต่จวนอิงชินอ๋องซึ่งเป็นบ้านมีแต่ความอบอุ่นทุกหนแห่ง
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าสองตัวนี้จะอ้วนขนาดนี้” ฉินเจิงมองไป๋ชิงกับจื่อเย่พลางยิ้มกล่าว
“ท่านพี่ ท่านมิทราบ ตลอดหลายวันที่ท่านกับพี่สะใภ้ไม่อยู่ในเรือน หลินชีทำอาหารให้พวกท่านทุกวัน แต่นำทั้งหมดไปป้อนให้เจ้าสองตัวนี้แทน มีหรือจะไม่อ้วน” อวี้จั๋วเอ่ยขึ้นทันที
“มิน่าเล่า” ฉินเจิงผินหน้ามองหลินชี “หมายความว่า ฝีมือเจ้าก้าวหน้าแล้ว”
หลินชีเกาหัว หัวเราะแหะๆ “รอยามอู่ทำมื้อกลางวันให้ท่านกับพระชายาน้อยได้ชิม ดูว่าก้าวหน้าหรือไม่ขอรับ”
ฉินเจิงพยักหน้า
เซี่ยฟางหวาย่อตัวลง ลูบขนเจ้าตัวน้อยทั้งสองตัว ฉินเจิงยกเท้าเตะพวกมันออกไปแล้วจูงเซี่ยฟางหวาเข้าห้อง
ภายในห้อง ทุกสิ่งยังจัดวางเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
ทั้งคู่เพิ่งนั่งลง สี่ซุ่นก็กุลีกุจอวิ่งมาจากด้านนอก กล่าวรายงานว่า “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อง วังหลวงทราบข่าวว่าท่านสองคนกลับมาแล้ว ฝ่าบาททรงส่งคนมาเชิญ ขอให้ท่านทั้งสองรีบเข้าวังโดยด่วนขอรับ”
“เราเพิ่งกลับมา สะโพกยังไม่ทันแตะเก้าอี้ เขารีบร้อนไปไหนกัน” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“เสี่ยวเฉวียนจื่อกงกงมาเองขอรับ” สี่ซุ่นบอกเสียงเบา
ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ “ไปบอกเขา ข้าเหนื่อยแล้ว พักพอแล้วค่อยเข้าวัง”
สี่ซุ่นพยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกไปถ่ายทอดข้อความ
เสี่ยวเฉวียนจื่อรอหน้าประตูจวนอิงชินอ๋อง ได้ยินข้อความถ่ายทอดจากสี่ซุ่นก็รีบพยักหน้า ไม่กล้าเสียเวลาอยู่นานก็ย้อนหลับไปยังวังหลวง
ภายในห้องทรงอักษรแห่งวังหลวง ฉินอวี้ได้ยินข้อความถ่ายทอดจากเสี่ยวเฉวียนจื่อ จึงเอ่ยบอกเขาใบหน้าเคร่งขรึม “เจ้าไปจวนอิงชินอ๋องอีกรอบ บอกเขาว่ารอช้ากว่านี้มิได้แล้ว ให้เขากับฟางหวาเข้าวังมาตอนนี้”
เสี่ยวเฉวียนจื่อรับคำ ก่อนรีบวิ่งไปยังจวนอิงชินอ๋องอีกรอบ
สำหรับเสี่ยวเฉวียนจื่อมาจวนอิงชินอ๋องครั้งที่สองนั้น สี่ซุ่นงุนงง
เสี่ยวเฉวียนจื่อกวักมือเรียกสี่ซุ่นก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “หัวหน้าพ่อบ้าน ท่านพาข้าไปยังเรือนลั่วเหมยของท่านอ๋องน้อยดีกว่า ข้าจะบอกเขาเอง ทางฝ่าบาทมีเรื่องสำคัญเร่งด่วน หลายวันนี้ตั้งใจรอท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยกลับมาก่อน มัวเสียเวลาไปมากกว่านี้มิได้แล้ว”
“ตกลง” สี่ซุ่นพยักหน้า ก่อนนำทางเสี่ยวเฉวียนจื่อไปยังเรือนลั่วเหมย
หลังสี่ซุ่นกลับไป เซี่ยฟางหวาก็พูดกับฉินเจิง “ฝ่าบาทคงมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ มิฉะนั้นคงมิให้เราที่เพิ่งกลับมาถึง ก็ส่งคนมาตามแล้ว”
“ให้เขาร้อนใจไป” ฉินเจิงไม่ยี่หระ
“ประเดี๋ยวคงมีครั้งที่สอง” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก
“อยากเชิญข้ามิได้ง่ายขนาดนั้น” ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ
เซี่ยฟางหวายิ้มขำ “ช่างเถอะ เราไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าวังกันดีกว่า เดิมก็มิได้เหนื่อยอยู่แล้ว ตอนเย็นค่อยกลับมาพักผ่อนก็ได้ เรื่องระดมกำลังของเป่ยฉีสำคัญกว่า”
ฉินเจิงนั่งนิ่งไม่ไหวติง
เซี่ยฟางหวาดึงเขา
“ข้าอดทนมาหลายวันแล้ว ตอนค่ำเจ้าต้องปรนนิบัติข้า” ฉินเจิงมองนาง
“นี่เจ้ากำลังต่อรองกับข้าอยู่รึ” เซี่ยฟางหวาทั้งโมโหทั้งขำ
ฉินเจิงดึงนางเข้ามากอด “กอดเจ้ามาหลายวัน แต่สัมผัสมากกว่านั้นมิได้ ช่างทรมานยิ่ง”
“ขอเพียงวันนี้พวกเจ้าไม่ดูหมิ่นดูแคลนกัน กระทั่งถือกระบี่ชี้หน้ากัน ข้าก็จะตามใจเจ้า” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงทุ้ม
“เช่นนั้นก็ต้องดูท่าทีของเขาแล้ว” ฉินเจิงปล่อยนาง
เซี่ยฟางหวาหมุนตัวเดินไปหาเสื้อผ้าให้เขาที่ตู้เสื้อผ้า
ทั้งคู่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เสี่ยวเฉวียนจื่อก็วกกลับมาที่จวนใหม่ดังที่เซี่ยฟางหวาคาด
เสี่ยวเฉวียนจื่อบอกจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ พร้อมทั้งเอ่ยเพิ่มเติมอีกสองสามประโยค “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย หลายวันนี้ฝ่าบาทเพื่อเรื่องระดมกำลังของเป่ยฉี ตะเกียงในห้องทรงอักษรดับลงกลางดึกทุกคืน กลางคืนก็มิอาจบรรทมได้ ทรงทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง เฝ้ารอท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยกลับมาขอรับ”
ฉินเจิงเดินมาที่หน้าประตู มองเสี่ยวเฉวียนจื่อ เลิกคิ้วไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เจ้าช่างเป็นทาสรับใช้ที่ดีนัก”
“เพื่อทำงานให้ผู้เป็นนาย ย่อมต้องแบ่งเบาภาระให้เจ้านายอย่างเต็มที่ ท่านอ๋องน้อยรีบตามบ่าวไปที่วังหลวงเถิดขอรับ” เสี่ยวเฉวียนจื่อทำใจดีสู้เสือ
“ตอนนี้มีใครอยู่ในวังบ้าง” ฉินเจิงพิงกรอบประตูถาม
“มีเพียงฝ่าบาทที่อยู่ในห้องทรงอักษรขอรับ” เสี่ยวเฉวียนจื่อตอบ
“เหล่าขุนนางกินเงินเดือนเล่า อย่าบอกนะว่าไร้ประโยชน์” ฉินเจิงมิได้เร่งรีบจะออกไปแม้แต่น้อย
เสี่ยวเฉวียนจื่อทำหน้าสลด “บ่าวมิค่อยเข้าใจงานราชสำนัก ทราบเพียงแค่หลังเป่ยฉีเผยแพร่ข่าว
รัชทายาทบริหารปกครองเมืองแทน ขุนนางอาวุโสบางคนก็ล้มป่วยฉับพลัน…”
“สบายจนเคยตัว มีแต่พวกไร้ประโยชน์” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
เซี่ยฟางหวาเดินออกมาจากข้างใน จับมือฉินเจิงแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ไปกันเถอะ”
เสี่ยวเฉวียนจื่อเห็นเซี่ยฟางหวาก็กล่าวด้วยความดีใจทันที “พระชายาน้อย สีหน้าท่านดีมาก อาการป่วยคงหายดีแล้วกระมังขอรับ”
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้มรับ
คำพูดนี้ฉินเจิงเองก็ชอบฟังเช่นกัน ยกมือสั่งงานสี่ซุ่น “ไปเตรียมรถ”
สี่ซุ่นขานรับทันที แล้ววิ่งออกจากเรือนลั่วเหมยไปเตรียมรถ
ทั้งคู่ออกจากเรือนลั่วเหมยด้วยกัน
พระชายาอิงชินอ๋องทราบข่าวฉินอวี้ส่งคนมาเชิญทั้งคู่ถึงสองครั้งก็ไม่ค่อยสบายใจนัก ถึงอย่างไรข้อพิพาทเมื่อก่อนหน้านี้ก็ทำให้นางตื่นกลัวสุดขีด จึงรีบออกจากเรือนหลัก บังเอิญพบทั้งคู่พอดี จึงเอ่ยถามเสี่ยวเฉวียนจื่อ “ไฉนพวกเขาเพิ่งกลับมา ยังไม่ทันได้พักผ่อน ฝ่าบาทก็มาเชิญแล้ว”
เสี่ยวเฉวียนจื่อเข้าใจดี รีบตอบว่า “พระชายาวางใจเถิด ฝ่าบาทเชิญไปด้วยเรื่องระดมกำลังที่เป่ยฉีขอรับ” หยุดชั่วครู่ เขาลอบมองฉินเจิงแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างระวัง “ขอเพียงท่านอ๋องน้อยไม่…เอ่อ…ฝ่าบาทคงมิทำอันใดท่านอ๋องน้อยขอรับ”
ฉินเจิงแค่นเสียงเย็น
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจลงครึ่งหนึ่ง มองไปยังเซี่ยฟางหวา “หวาเอ๋อร์ก็ไปด้วยหรือ”
“พระชายาโปรดวางใจ ฝ่าบาทเชิญพระชายาน้อยไปด้วยก็เพราะเรื่องระดมกำลังที่เป่ยฉีเช่นกันขอรับ” เสี่ยวเฉวียนจื่อตอบทันที
“ท่านแม่วางใจเถิด ข้าไม่เหนื่อย กลับมาแล้วค่อยพักก็ได้” เซี่ยฟางหวากล่าวด้วยเสียงอบอุ่น
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า มองฉินเจิงแล้วกำชับ “ฝ่าบาทถึงอย่างไรก็เป็นฝ่าบาท ตอนนี้เจ้าได้ภรรยากลับคืนมาแล้ว ห้ามเจ้าทำตัวหยาบคายอีก”
“รู้แล้ว” ฉินเจิงกลอกตา
“เช่นนั้นรีบไปเถอะ” พระชายาอิงชินอ๋องโบกมือไล่
ครั้นฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวามาถึงหน้าจวน สี่ซุ่นก็สั่งให้คนจัดเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้ว ทั้งคู่จึงขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปวังหลวง