จารใจรัก [ส่วนที่ 5] - ตอนที่ 9-2 คุยกันถูกคอ
ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ปรับสีหน้าจริงจัง มองทั้งคู่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ห้าวันก่อน ฮ่องเต้เป่ยฉีพาฮองเฮาไปพักฟื้นร่างกายที่ตำหนักราชนิเวศน์ และยกอำนาจบริหารปกครองเป่ยฉีทั้งหมดให้กับฉีเหยียนชิง เป็นการบริหารปกครอง มิใช่แค่ดูแลแทนชั่วคราว เรื่องนี้พวกเจ้าคงทราบแล้วกระมัง”
“ตอนลงเขามาได้ยินแล้ว” ฉินเจิงพยักหน้า
“เจ้า…” ฉินอวี้มองเขาด้วยความโกรธ “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเพิ่งทราบตอนลงเขามา หรือว่าหลายวันที่ผ่านมาเจ้าไม่สนใจข่าวคราวภายนอกเลย”
“ไม่ว่าง” ฉินเจิงตอบ
ฉินอวี้ถลึงตามองเขาด้วยความโหดเ**้ยม
เซี่ยฟางหวากลัวว่าทั้งสองจะทะเลาะกันขึ้นมาอีก จึงรีบเอ่ยขึ้น “ตอนเดินทางกลับเราได้หารือกันระหว่างทางว่า ให้กำจัดสายสอดแนมที่ฉีเหยียนชิงแอบวางกำลังไว้ทุกแห่งในหนานฉินก่อน แต่เพื่อป้องกันเขาตอบโต้ ควรถอนกำลังสายลับที่เป่ยฉีหรือหาที่ซ่อนตัวก่อนด้วยเช่นกัน”
ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา พยักหน้ารับ “ข้าก็คิดแบบนี้เช่นกัน วันนี้ได้รับรายงานลับ เกรงว่า
ฉีเหยียนชิงจะเคลื่อนไหวอีกในเวลาอันใกล้นี้ เพียงแต่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการเคลื่อนไหวใด แต่อย่างไรต้องโจมตีหนานฉินแน่”
“การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปได้แค่สามประการ ประการแรกก่อความไม่สงบในหนานฉิน ประการที่สองกำจัดสายสอดแนมของหนานฉินในเป่ยฉี ประการที่สามคือจัดวางกำลังทหารที่พรมแดนใหม่ วางแผนตีเมืองโดยเร็วที่สุด ไม่มอบโอกาสให้หนานฉินได้พักหายใจหายคอ” ฉินเจิงกล่าวเชื่องช้า
“ดังนั้นข้าถึงร้อนใจ เราต้องเป็นฝ่ายโจมตีก่อนให้เร็วที่สุด ทำให้เขาไม่มีเวลาว่างมาระดมกำลังรุกรานหนานฉินชั่วขณะหนึ่ง พวกเราจะได้มีเวลาเตรียมจัดกำลังคนเต็มที่” ฉินอวี้พยักหน้า
“เป่ยฉีวางแผนมากี่ปีแล้ว เตรียมตัวมากี่ปีแล้ว หนานฉินตั้งแต่ผู้เฒ่าโหวแห่งจวนจงหย่งโหวถอนตัวออกจากสนามรบ เลิกรับราชการทหาร เซี่ยเฟิ่งออกเรือนไปเป่ยฉี กี่ปีแล้วที่หนานฉินมิได้เตรียมตัวอย่างลับๆ เลย เป่ยฉีต้องให้เวลาหนานฉินนานเท่าไรเพื่อที่จะวางแผนได้เต็มที่” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
ฉินอวี้ชะงัก ใบหน้ามืดครึ้ม “ถึงเป็นเช่นนี้ ก็มิอาจสู้รบโดยไร้การเตรียมการ”
“ข้าคิดว่าสู้รบโดยไร้การเตรียมการดีกว่า” ฉินเจิงส่ายหน้า
“เจ้ามีแผนการแล้วหรือ” ฉินอวี้มองเขา
“หนานฉินถูกบังคับให้ประจันหน้ากับศัตรู เป่ยฉีเปิดศึกตามเดิม หนานฉินถูกบังคับให้ออกทัพ เป่ยฉีก็ออกทัพด้วย เจ้าว่าตอนนี้ฉีเหยียนชิงกลับเมืองแล้ว ระหว่างที่เขากำลังปรับตัวเพื่อควบคุมราชสำนัก หนานฉินควรปล่อยโอกาสนี้ไปหรือไม่” ฉินเจิงเลิกคิ้วถาม
“ที่เจ้าพูดมามีเหตุผล” ฉินอวี้ตรึกตรองตาม
“ม่อเป่ยมีทหารสามแสนนาย ก่อนหน้านี้เสียหายไปหลายหมื่นแล้วกระมัง หวางกุ้ยนำทัพไปสนับสนุนเพิ่มอีกสองแสนนาย ต่อมาก็ทำการรบอีกครั้งหนึ่ง แม้เป่ยฉีมิอาจได้เปรียบ แต่หนานฉินของเรายังคงเสียหายบ้างเช่นเดิม หลังฉีเหยียนชิงกลับเมืองได้มีการจัดวางกำลังที่พรมแดนไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้กำลังทหารเป่ยฉีที่อยู่ในพรมแดนมีเยอะกว่าหนานฉินมาก มิได้น้อยกว่าเลย ยามนี้ให้ฉินอี้ออกทัพก่อน หากไม่มีแผนการที่รัดกุมพอ ไม่แน่ว่าจะเป็นการดี” เซี่ยฟางหวาสมทบขึ้น
“ฉินอี้นำทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายไปยังพรมแดนแล้วมิใช่หรือ ทหารที่ว่านี้ฟังว่าชนะหนึ่งต่อสิบ”
ฉินเจิงกล่าว “พวกเขาไปถึงม่อเป่ยแล้ว หากซุ่มโจมตีเป่ยฉีก่อนอย่างเหนือความคาดหมาย เช่นนั้น ของขวัญต้อนรับตำแหน่งรัชทายาทของฉีเหยียนชิงคนนี้ อาจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรายการ”
“ตอนนี้ฉินอี้นำทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายไปสมทบ คำนวณวันดูน่าจะใกล้ถึงม่อเป่ยแล้ว” ฉินอวี้บอก
“เจ้าส่งข่าวบอกพี่ภรรยาเถอะ ใช้เหยี่ยวที่เร็วที่สุด หลังฉินอี้ไปถึงม่อเป่ยให้พักผ่อนหนึ่งวัน แล้วลอบโจมตีค่ายทหารของข้าศึกทันที” ฉินเจิงกล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ส่วนเรารีบกำจัดสายสอดแนมของเป่ยฉีในหนานฉินภายในสามวัน มอบเป็นของขวัญต้อนรับฉีเหยียนชิงด้วยกันเลย”
“ตกลง” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็มิได้เห็นต่าง หยิบแผนที่ซึ่งสอดอยู่ใต้สาส์นกราบทูลข้อราชการบนโต๊ะหยกมาส่งให้ฉินเจิง “นี่คือรายชื่อและฐานที่มั่นของสายสอดแนมเป่ยฉีที่ข้าตรวจสอบมาได้ พวกเจ้าควรตรวจสอบดูอีกแรง เผื่อตกหล่นไปจะได้เพิ่มเติมเข้ามา”
ฉินเจิงรับมาอ่านดูแวบหนึ่งแล้วส่งให้เซี่ยฟางหวา
หลังเซี่ยฟางหวาอ่านจบก็กล่าวกับเขา “ถึงอย่างไรเหยียนเฉินก็เป็นพระมาตุลาน้อยของเป่ยฉี สงครามระหว่างสองดินแดนไม่ควรพัวพันถึงเขาด้วย แม้เขามิได้มีความรู้สึกต่อเป่ยฉีมากเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแผ่นดินเกิดของเขา อีกอย่างฉีเหยียนชิงก็เป็นหลานเขาด้วย เรื่องนี้มิอาจให้สำนักเทียนจีเก๋อลงมือได้ คนที่ข้าพอจะโยกย้ายได้คือสายสอดแนมดูแลงานธุรการของตระกูลเซี่ย ข้าจะให้พวกเขาไปสืบหารายชื่อมา”
“ฉีอวิ๋นเสวี่ยยิ่งไม่มีความรู้สึกต่อเป่ยฉี ตอนนี้ไม่รู้ว่านางพาเหยียนเฉินไปที่ใดแล้ว ตราบใดที่พวกเขาเกี่ยวพันกัน เหยียนเฉินคงทำงานให้เจ้ามิได้ในเร็วๆ นี้ และยิ่งสนใจเป่ยฉีมิได้ เขามิอาจผละตัวออกมาได้ในเวลาอันสั้น” ฉินเจิงเอ่ยขึ้น
“เจ้ากับฉีอวิ๋นเสวี่ยตกลงอันใดกัน” เซี่ยฟางหวามองฉินเจิง “นางมิใช่สตรีที่จะใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นองค์หญิงเป่ยฉีด้วย”
“องค์หญิงเป่ยฉีเช่นนาง ไร้นามไปตั้งนานแล้ว” ฉินเจิงตอบอย่างเกียจคร้าน “นางเรียนวิชาล่อลวงจึงถูกวิชานั้นกักขัง ต้องทนทุกข์และถูกมันแว้งกัดตลอดมา พอดีว่าข้ามีคัมภีร์ชำระจิตอยู่เล่มหนึ่งจึงมอบให้นาง คัมภีร์ชำระจิตควบคุมวิชาล่อลวงได้พอดี หากเรียนควบคู่กันก็จะเข้าถึงแก่นสำคัญได้ ทำให้พลังของนางเพิ่มขึ้นอีกพันลี้”
“มิน่าเล่า” เซี่ยฟางหวากระจ่าง
“สายสอดแนมตระกูลเซี่ยก็มิอาจดูถูกได้เช่นกัน” ฉินอวี้คล้อยตาม “ขุดรากถอนโคนสายสอดแนมเป่ยฉีได้ย่อมดีที่สุด”
“ตระกูลเซี่ยวางรากฐานไว้ทั่วหนานฉิน ย่อมมีประโยชน์ในตัวมันเอง หลังท่านปู่กับท่านพี่มอบงานธุรการให้ข้า ข้าจัดการดูแลมันได้ไม่มาก หาก…” เซี่ยฟางหวาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “หากพี่อวิ๋นหลานอยู่ด้วยก็ดี เขารู้จักตระกูลเซี่ยลึกซึ้งกว่าข้ามาก”
“ข้ากำลังหาเขาอยู่ เขากับเซี่ยอวิ๋นจี้ขัดขวางคนของข้า จนป่านนี้ยังไม่กลับมา” ฉินอวี้มองนาง “ถ้าเจ้ามีวิธีหาเขาก็ดีมาก จวนแหล่งธัญพืชได้รับขนานนามว่าเป็นยุ้งฉางแห่งใต้หล้า ปีนี้เกิดอุทกภัยใหญ่ ฤดูเก็บเกี่ยวเกรงว่าคงมิสู้ปีก่อน การระดมกำลังจำต้องมีเสบียงทหารในปริมาณมากด้วย หากจวนแหล่งธัญพืชช่วยได้ ย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องเสบียงอาหาร”
“หากเป็นเมื่อก่อนข้าคงหาเขาได้ง่าย แต่ตอนนี้…” เซี่ยฟางหวามองไปยังฉินเจิง
“เซี่ยอวิ๋นจี้กับเซี่ยอวิ๋นหลานอยู่ด้วยกัน ทว่ามิได้กลับเมือง แล้วไปที่ใด” ฉินเจิงหรี่ตาลง
“คงมิได้กลับลำน้ำสวินสุ่ยกระมัง” เซี่ยฟางหวาคาดเดาเช่นกัน
“ที่แห่งนั้นมิได้น่าสนใจอีกแล้ว เขามีหรือจะอยู่ที่นั่นตลอดไป” ฉินเจิงส่ายหน้า ไตร่ตรองพักหนึ่งก็โบกมือปัด “เสบียงในท้องพระคลังยังเพียงพออีกระลอกหนึ่ง หากระดมกำลังยาวนานต้องพึ่งจวนแหล่งธัญพืช เรื่องนี้ยังไม่ต้องร้อนใจก่อน” พูดจบ เขาก็เก็บแผนที่ที่ฉินอวี้นำออกมาเข้าอกเสื้อ จากนั้นก็หยิบขนมมาป้อนใส่ปากเซี่ยฟางหวา แล้วกล่าวกับฉินอวี้ “ส่วนเรื่องกำจัดสายสอดแนมเป่ยฉีในหนานฉินยกให้ข้าจัดการเถอะ เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว เพียงนำเยว่ลั่วมาให้ข้ายืมตัวก่อนก็พอ”
“เจ้าสั่งงานเขาก็พอ” ฉินอวี้มิได้แย้ง
“สามวัน” ฉินเจิงกล่าวอีก “สายสอดแนมหนานฉินที่ถูกเผยตัวและซ่อนตัวอยู่ ที่ควรถอนตัวก็รีบถอนตัวออกมาโดยเร็ว ส่วนที่ถอนตัวกลับมามิได้ก็ซ่อนตัวให้มิดชิด หลบสายตาฉีเหยียนชิงกับตระกูลอวี้ได้ก็ไม่ต้องถอนตัวกลับ แต่ไม่ต้องเคลื่อนไหวชั่วคราว ภายภาคหน้าต้องได้ใช้ประโยชน์แน่”
ฉินอวี้พยักหน้า “ซ่อนตัวได้ย่อมดีมาก หากซ่อนมิได้ก็ไม่ควรตายที่เป่ยฉี” สิ้นเสียงก็ตรัสเพิ่ม “ถึงอย่างไรหนานฉินก็ปล่อยสายสอดแนมเป่ยฉีไว้มิได้ ต้องถอนรากถอนโคลนให้เกลี้ยง”
ฉินเจิงหัวเราะ “เจ้าควรขอบคุณรากฐานตระกูลเซี่ยที่ปกคลุมทั่วหนานฉิน แน่นอนว่าตระกูลเซี่ยก็ควรขอบคุณดาบที่แขวนอยู่เหนือศีรษะตลอดหลายปีมานี้ของเสด็จอาด้วยเช่นกัน อำนาจซ่อนเร้นได้อย่างลึกซึ้ง หากสายสอดแนมเป่ยฉีอยากซุ่มทำลายหนานฉิน เรื่องนี้มีตระกูลเซี่ยอยู่ก็มิใช่เรื่องยาก หลายปีนี้ตระกูลอวี้มัวจดจ่ออยู่กับการทหารและอำนาจการทหารของเป่ยฉี สำหรับการวางรากฐานและสายสอดแนมนั้น ด้อยกว่าตระกูลเซี่ยมิใช่แค่เล็กน้อย เจ้าวางใจได้”
ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจลง “เช่นนั้นก็สามวัน เจ้าจัดการให้ดีเล่า”
“ยังมีเรื่องอื่นหรือไม่” ฉินเจิงมองเขา
ฉินอวี้ส่ายหน้า “ใกล้บ่ายแล้ว อยู่กินข้าวในวังเถอะ”
ฉินเจิงดึงเซี่ยฟางหวาลุกขึ้น โบกมือปัดแล้วเดินไปข้างนอก
“เจ้าใช่ว่าไม่เคยกินข้าวในวังสักหน่อย รีบกลับไปไย” ฉินอวี้ขมวดคิ้ว
“เจ้าร้อนใจมิใช่รึ ข้าจะรีบกลับไปทุ่มเทกำลังทำงานให้เจ้า” ฉินเจิงพูดพลางก็พาเซี่ยฟางหวาออกจากห้องทรงอักษร
ฉินอวี้ชะงักงัน จ้องม่านมุกสั่นไหวพลางเงียบเสียงลง
เสี่ยวเฉวียนจื่อลอบเดินเข้ามาหา ทูลกล่าวเสียงเบาขอความเห็นจากฉินอวี้ “ฝ่าบาท ให้บ่าวไปส่งท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยกลับหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเขาไม่ต้องให้เจ้าส่ง” ฉินอวี้ตวัดมือ “เจ้าไปตำหนักเฟิ่งหลวน บอกเสด็จแม่ว่า ประเดี๋ยวข้าจะไปทานมื้อกลางวันกับพระนาง”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อวิ่งไปยังตำหนักเฟิ่งหลวนทันที
ด้านในตำหนักเฟิ่งหลวน ไทเฮาทรงทราบว่าฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวากลับเมืองมาแล้ว และได้ยินว่าฉินอวี้ส่งเสี่ยวเฉวียนจื่อไปเชิญทั้งคู่มา ชั่วเวลานั้นก็ทรงอกสั่นขวัญแขวน เดินไปเดินมาในตำหนักหลายรอบ ก่อนสั่งหรูอี้ไปสืบข่าวที่ห้องทรงอักษร
หรูอี้ได้รับคำสั่งจากไทเฮาก็เฝ้าด้านนอกห้องทรงอักษรอยู่มิใกล้มิไกลตลอดเวลา ครั้นเห็นว่าฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวากลับไปแล้ว ขณะจะกลับไปรายงานไทเฮา เสี่ยวเฉวียนจื่อก็รีบเดินมา พบหรูอี้เข้า ด้วยความฉลาดของเขาจึงเข้าใจโดยพลัน ยิ้มกล่าวขึ้น “ป้าหรูอี้ รีบกลับไปทูลบอกไทเฮาเถิด ฝ่าบาทตรัสว่าประเดี๋ยวจะไปเสวยอาหารกลางวันกับนาง”
หรูอี้ฟังแล้วก็ดีใจ สอบถามเสี่ยวเฉวียนจื่อ “วันนี้ฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง มิได้ทะเลาะกับท่านอ๋องน้อยใช่ไหม”
“เปล่า แต่คุยกันถูกคอ” เสี่ยวเฉวียนจื่อตอบ
“คุยกันถูกคอ ฝ่าบาทกับท่านอ๋องน้อยน่ะรึ” หรูอี้ชะงักงัน ค่อนข้างไม่อยากเชื่อ
เสี่ยวเฉวียนจื่อยิ้มออกมาทันที ขยับเข้าใกล้หรูอี้แล้วกระซิบบอก “หากมิใช่ว่าข้าเห็นกับตา ฟังคนอื่นพูดก็คงไม่เชื่อเช่นกัน แต่เป็นแบบนั้นจริงๆ ฝ่าบาทกับท่านอ๋องน้อยพูดคุยกันอย่างปรองดอง ฝ่าบาททรงเตะท่านอ๋องน้อยครั้งหนึ่ง ท่านอ๋องน้อยมิได้โกรธ และมิได้เตะกลับด้วย หลังหารือราชการจบ ฝ่าบาทก็ชวนทานมื้อกลางวัน แต่ท่านอ๋องน้อยเจิงรีบกลับไปทำธุระ จึงนำพระชายาน้อยกลับไปด้วย ฝ่าบาทจึงให้ข้าไปบอกไทเฮาว่าจะไปเสวยมื้อกลางวันกับไทเฮา”
“ดีเหลือเกิน แล้ว…พระชายาน้อยเล่า ฝ่าบาทเห็นนางแล้วเป็นเช่นไร” หรูอี้ถามอย่างระวัง
“ฝ่าบาทถามถึงสุขภาพพระชายาน้อย กำชับสองสามคำ พระชายาน้อยตำหนิว่าฝ่าบาทเป็นคนแก่ ท่านอ๋องน้อยก็คล้อยตาม ฝ่าบาททรงตำหนิพวกเขาว่ามิใช่ครอบครัวเดียวกันย่อมเข้ากันมิได้” เสี่ยวเฉวียนจื่อ
ลดเสียงลง “ฝ่าบาทดูท่าทรงทรงปล่อยวางได้แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” หรูอี้ผ่อนลมหายใจ “ครั้งนี้ไทเฮาก็ทรงสบายพระทัยได้แล้ว” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เจ้าไม่ต้องไปเองหรอก ข้าจะกลับไปทูลรายงานไทเฮา และถือโอกาสเตรียมมื้อกลางวันด้วยเลย”
เสี่ยวเฉวียนจื่อประหยัดแรงไปอีกคราย่อมดีใจไม่น้อย พยักหน้ารับแล้วกลับไปรอรับใช้นอกห้องทรงอักษรอีกหน
หรูอี้รีบกลับไปทูลรายงานไทเฮาที่ตำหนักเฟิ่งหลวน