จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 118-4 เรื่องงุ่มง่ามในงานแต่ง หลานเขยพึ่งพาไม่ได้
รอจนกระทั่งนางอาบน้ำแล้วเสร็จ ก็มีนางกำนัลชั้นสูงผู้เปี่ยมด้วยความรู้และประสบการณ์มาช่วยนางแต่งองค์ทรงเครื่อง
เพื่องานแต่งงานของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับเชื้อเชิญฮูหยินแห่งมู่กั๋วกง ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยคุณธรรมและบารมีสูงส่งมาเพื่อเกล้าผมให้กับอวี้เฟยเยียนโดยเฉพาะ
ฮูหยินท่านี้มิเพียงครองรักกับผู้เป็นสามียาวนาน มีลูกหลานเต็มบ้านแล้ว
ที่หายากยิ่งกว่านั้นนั่นก็คือ ลูกชายหลานชายของนางทุกคนล้วนแต่เก่งกาจและกตัญญู มู่กั๋วกงเองก็มีฮูหยินเพียงคนเดียว แม้แต่บ้านเล็กเมียรองก็ไม่มีสักคน คนทั้งสองจึงถูกยกย่องให้เป็นคู่รักเทพสวรรค์
“ใต้เท้าอวี้หลัวซ่า งดงามยิ่งนัก!”
มู่กั๋วกงฮูหยิน ‘กัวซี’ เพิ่งเคยได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอวี้เฟยเยียนเป็นครั้งแรก นางถึงกับมือไม้สั่น หวีในมือแทบจับไม่อยู่
ส่วนเรื่องสัญญาการแต่งงานระหว่างอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวหนานนั้น นางเองก็รู้มาบ้าง
เมื่อนึกถึงซย่าโหวหนานที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย กัวซีก็คิดว่าเขานั้นมีตาหามีแววไม่ ไร้วาสนา
ผู้หญิงที่ดีถึงเพียงนี้ เขากลับไม่รู้จักทะนุถนอม ถึงกับหลั่งเลือดสาบานขอยกเลิกงานแต่งงานได้ เลอะเลือนเสียจริงๆ! ดังนั้นถึงได้รับผลกรรมเช่นนี้!
กัวซีไม่รู้สึกเห็นใจเขาเลยแม้แต่น้อย
นางกลับเอาใจช่วยซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียน หนุ่มหล่อสาวงาม เหมาะสมกันอย่างที่สุด
ได้รับคำชมจากฮูหยินแห่งมู่กั๋วกง อวี้เฟยเยียนก็เขินอายจนเอาแต่ก้มหน้างุด แก้มแดงปลั่ง
ยิ่งนางเขินอายเช่นนี้ ยิ่งทำให้มู่กั๋วกงฮูหยินรู้สึกว่า อวี้หลัวซ่าก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาเท่านั้นเอง จึงนึกเอ็นดูเด็กสาวผู้นี้มากยิ่งขึ้นไปอีก
“หวีครั้งที่หนึ่งจรดศีรษะ ให้ร่ำรวยเงินทองไม่ขัดสน หวีครั้งที่สองจรดศีรษะ ไร้โรคไร้ภัยไร้กังวล หวีครั้งที่สามจรดศีรษะ ลูกหลานเต็มบ้านอายุยืนนาน หวีจรดปลาย ให้สามีภรรยาปรองดอง เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน หวีครั้งที่สองหวีจรดปลาย ให้ครองคู่รักกันมั่นคงเคียงบ่าเคียงไหล่ หวีครั้งที่สามหวีจรดปลาย ให้หัวใจทั้งสองดวงผูกพันรักกันมิเสื่อมคลาย ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร กระทำสิ่งใดให้เพียรพยายามจนถึงที่สุด ให้สุขศรีสมบูรณ์พูลสุขชั่วชีวิต”
กัวซีค่อยๆ บรรจงหวีผมให้กับอวี้เฟยเยียนช้าๆ ปากก็อวยพรไปด้วย
น้ำเสียงของนางนุ่มนวลอ่อนโยน ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสบาย
ในขณะที่กล่าวนั้น หางตาและมุมปากของกัวซีก็เจือเอาไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นหญิงที่เปี่ยมล้นด้วยความสุขในชีวิต!
ทำเอาอวี้เฟยเยียนใบหน้าแดงระเรื่อ มือก็กำแอปเปิลสีแดงในมือแน่น
ถึงแม้นางจะเคยเข้าร่วมงานแต่งงาน เคยเป็นเพื่อนเจ้าสาวมาก่อน แต่ที่ได้เป็นเจ้าสาวเสียเอง ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
มองออกว่าอวี้เฟยเยียนตื่นเต้น มู่กั๋วกงฮูหยินก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยว่า
“ใต้เท้าอวี่หลัว ผ่อนคลายนะคะ! หากว่าตื่นเต้นจนเหงื่อออก เดี๋ยวเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าจะละลายเอาได้!”
“อื้ม”
อวี้เฟยเยียนหน้าแดงระเรื่อ รู้ดีว่ากัวซีกำลังปลอบใจนาง
คิ้วและดวงตาของนางบางเบาดูราวกับภาพวาด จึงไม่จำเป็นต้องวาดด้วยซ้ำ ใบหน้าของนางก็มิได้ประโคมเครื่องประทินโฉมใดๆ แล้วจะละลายได้อย่างไรกัน!
กัวซีฝีมือประณีต เพียงไม่นานก็เกล้าผมให้กับอวี้เฟยเยียนจนเสร็จ
จนกระทั่งนางกำนัลเปิดกล่องเครื่องประดับออก เมื่อกัวซีเหลือบเห็นมงกุฎประดับศีรษะลายหงส์เก้าแฉกเข้า มือของนางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
‘มงกุฎประดับศีรษะลายหงส์เก้าแฉก’
นี่คือมงกุฎประดับศีรษะที่ฮองเฮาหรือพระชายาขององค์รัชทายาทเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้สวมมิใช่หรือ
เมื่อครู่นางกำนัลก็กล่าวออกมาอย่างชัดเจนว่า มงกุฎนี้ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ช่างทำขึ้นด้วยพระองค์เอง
หรือว่าฝ่าบาทจะทรงมอบราชบัลลังก์ให้กับหลินเจียงอ๋อง…
กัวซีคือฮูหยินแห่งมู่กั๋วกง นางเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาจนเคยชินเสียแล้ว วินาทีถัดมานางจึงสงบสติอารมณ์ลง แล้วหยิบมงกุฎหงส์เก้าแฉกประดับบนศีรษะของอวี้เฟยเยียน
อวี้เฟยเยียนกำลังแต่งองค์ทรงเครื่อง ขณะเดียวกันซย่าโหวฉิงเทียนก็กำลังยืนอยู่หน้ากระจกมองสำรวจการแต่งกายของตนเองเช่นกัน
นอกเสียจากชุดสีม่วง เขาไม่เคยสวมใส่ชุดสีอื่นมาก่อนเลย
วันนี้ต้องมาสวมชุดเจ้าบ่าวทั้งสวมเครื่องประดับยศอย่างเป็นทางการอีกด้วย ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อย
“ข้าแต่งตัวแบบนี้แลดูแปลกประหลาดหรือไม่”
ด้วยรู้ว่าอวี้เฟยเยียนชื่นชอบชายหนุ่มรูปงาม ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเอาแต่เอ่ยถามชิงหงที่อยู่ข้างกายไม่หยุด
“ท่านอ๋อง วันนี้ทรงรูปงามเป็นพิเศษเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ชิงหงถึงกับยกนิ้วให้
“หากพระชายาได้เห็นท่านอ๋อง จะต้องมิอาจละสายตาจากท่านอ๋องได้เป็นแน่!”
“จริงหรือ”
ซย่าโหวฉิงเทียนจัดทรงมาลาที่ประดับอยู่บนศีรษะอีกครั้ง
จวบจนกระทั่งชิงหงร้องเตือนว่าใกล้จะถึงฤกษ์แล้ว หากยังไม่ไปอีกจะเสียฤกษ์นั่นแหละ ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้ผละไปจากกระจก
โดยปกติแล้วท่านอ๋องแต่งงาน ฮ่องเต้มิจำเป็นต้องเสด็จมาร่วมงาน แต่ในครั้งนี้คืองานแต่งงานลูกชายของเขา ซย่าโหวจวินอวี่จึงมายังจวนหลินเจียงอ๋องด้วยความภาคภูมิใจ
ทว่าฮ่องเต้ประทับนั่งก้นยังมิทันร้อน ร่างของใครบางคนในชุดสีแดงก็ถลาพุ่งออกไปด้านนอกเสียแล้ว
“ท่านอ๋อง ช้าหน่อยพ่ะย่ะค่ะ!”
ชิงหงเตรียมที่จะวิ่งตามออกไป แต่ซย่าโหวจวินอวี่ก็เรียกเขาเอาไว้เสียก่อน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น เป็นอะไรไป”
“ทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องไปรับเจ้าสาวพ่ะย่ะค่ะ!”
“โอ้ ดีนี่นา!”
ซย่าโหวจวินอวี่ยังตกอยู่ในอาการดีใจ เจ้าลูกคนนี้ รีบร้อนอยากจะไปรับเมียจนทนไม่ไหว เห็นทีความหวังที่จะได้อุ้มหลานมีหนทางแล้ว หากถึงคราวที่ร่วมหอแล้วเข้ารวดเร็วเด็ดขาดเช่นนี้ จะดีสักเพียงไหนกัน!
ทว่า เพียงไม่นาน ฮ่องเต้ก็แทบจะทรงกันแสงออกมาเลยทีเดียว
ซย่าโหวฉิงเทียนพุ่งออกไปจากประตูจวนได้ ก็กระโดดขึ้นหลังม้าตัวงาม ควบทะยานออกไปมุ่งหน้าจวนจงอี้โหวดีทันที
ไม่ว่าเป็นขบวนเจ้าบ่าว หรือผู้ติดตามก็ถูกเขาสลัดทิ้งเอาไว้ที่เบื้องหลังทั้งหมด ทุกคนที่อยุ่ที่นั่นเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ถึงกับอึ้งกิมกี่ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยความงงงวย
ท่านอ๋อง ท่านอ๋องออกจะรีบร้อนไปเสียหน่อยกระมัง!
“เป็นความผิดของข้า! ข้าผิดไปแล้ว!”
ได้ยินรายงานเรื่องนี้ ซย่าโหวจวินอวี่แทบน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง
เขารึอุตส่าห์ย้ำนักย้ำหนา ซักถามเตรียมการด้วยตัวเองทุกขั้นตอน นึกไม่ถึง ขั้นตอนนี้ที่เขาไม่ได้ถามถึง สุดท้ายก็เกิดความผิดพลาดขึ้นจนได้ ซย่าโหวฉิงเทียนคงจะไม่คิดว่าเพียงแค่ไปรับเจ้าสาวกลับมาที่จวนก็แล้วเสร็จใช่หรือไม่
เจ้าลูกชายจอมโง่เอ๊ย!
“เร็วเข้า! พวกเจ้ารีบตามไป! วิ่งเข้าไปเร็วๆ!”
ยังดีที่ฝ่าบาททรงผ่านร้อนผ่าวหนาวผ่านลมผ่านฝนมาเยอะ ดังนั้นจึงบัญชาการอย่างมีสติ
ดังนั้น ภายใต้การนำพาของชิงหง คณะผู้ติดตามชุดแดงก็พุ่งตรงมุ่งหน้าจวนจงอี้โหวทันที!
เนื่องจากอยู่ในช่วงงานแต่งงานของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียน เส้นทางจึงถูกรักษาการโดยทหารอย่างแน่นหนา ประชาชนที่มาเฝ้ารับชมต่างก็ถูกจำกัดให้รออยู่รอบนอก
ทุกคนต่างก็รอคอยที่จะได้ชมงานแต่งงานในครั้งนี้
สินสอดทองหมั้นที่ซย่าโหวฉิงเทียนส่งมาก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตามาแล้ว
หากผู้ชายคนหนึ่งสามารถจ่ายเงินซื้อของให้กับคุณ อาจไม่แน่ว่าเขาจะรักคุณจริง แต่หากว่าผู้ชายคนหนึ่งไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อคุณเลย นั่นจะมิใช่รักแท้อย่างแน่นอน!
ความรักที่ใต้เท้าซย่าโหวมีต่อใต้เท้าอวี้หลัวนั่นคือความรักที่จริงแท้แน่นอน!
วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ ดังนั้นประชาชนชาวฉินจื้อต่างก็ตื่นนอนแต่เช้า สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน รอคอยอยู่ที่สองข้างทางเพื่อจับจองแย่งชิงพื้นที่ที่ทำเลที่ดีที่สุด เพียงเพราะต้องการจะได้เห็นวินาทีสำคัญอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยตาของตัวเอง
ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยเวลาอยู่นั้น เสียงฝีเท้าม้าที่กำลังวิ่งตรงมาด้วยความรีบเร่งก็ดังแว่วมา ซย่าโหวฉิงเทียนนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวตัวสูงใหญ่สง่างาม ห้อตะบึงควบม้าผ่านไปรวดเร็วราวกับพายุ
นี่มัน…เรื่องอะไรกัน
หรือว่าเกิดเรื่องขึ้น
ประชาชนต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน
จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เห็นขบวนเจ้าบ่าวชุดแดงวิ่งหอบแฮกตามมาจากทางด้านหลัง ทำเอาทุกคนถึงกับหัวเราะจนแทบน้ำหูน้ำตาไหล
โอ้ ใต้เท้าซย่าโหว ท่านจะใจร้อนไปสักหน่อยกระมัง
หุนหันพลันแล่นราวกับไม่มีหัวคิด!
ที่แท้ใต้เท้าซย่าโหวก็กระทำผิดพลาดได้ ท่านก็เป็นคนธรรมดานี่นา!
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ฉับพลันภาพลักษณ์ของเขาในใจประชาชนกลับใกล้ชิดขึ้นมามากทีเดียว
เขาควบม้าจนกระทั่งถึงที่หน้าประตูจวนจงอี้โหว ซึ่งเมื่ออวี้จิงเหลยได้รับรายงานว่าหลินเจียงอ๋องมาถึงเพียงคนเดียวเข้า ก็แทบจะกัดลิ้นตาย
กระทั่งเมื่อเขาเดินออกมา แล้วเห็นซย่าโหวฉิงเทียนยืนอยู่เพียงลำพังนั่นเอง เขาก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด
เขาขอถอนคำพูดก่อนหน้านี้!
หลานเขยเช่นนี้เห็นทีจะพึ่งพาไม่ได้เสียแล้ว!
หลานสาวของเขาชั่วชีวิตแต่งงานได้เพียงครั้งเดียว ซึ่งงานแต่งงานก็ถูกหลานเขยผู้พึ่งพาไม่ได้คนนี้ก่อกวนจะพังไปพินาศไปเสียแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ด้านนอก”
อวี้เฟยเยียนได้ยินเสียงผู้คนถกเถียงกันอื้ออึง นางจึงเอ่ยปากถามขึ้น
ด้วยเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะกังวลใจ มู่เหนียนซีจึงเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของนาง
เมื่อกระซิบจบ มู่เหนียนซีก็ยิ้มล้อเลียนพร้อมกับกล่าวว่า
“เห็นที มีคนบางคนอยากที่จะแต่งเจ้าเข้าจวนใจจะขาด!”