จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 77-4 ข้ามาหาเรื่อง ไม่ยินยอมหรือ
“เด็กน้อยซย่าโหว อย่าได้เสียมารยาท!”
ภายหลังจากที่หูซาได้เป็นจอมเทวา ก่อนหน้านั้นนอกจากถูกขั้นจุนซั่งลบหลู่ที่หน้าหอราชาโอสถแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นคนที่สอง!
หูซาชักดาบขึ้นมา ตวัดไปทางซย่าโหวฉิงเทียน
“ชิ! แค่เสือกระดาษตัวเดียวเท่านั้น! วันนี้ข้าจะเสียมารยาท เจ้าจะทำไม ยังมีอีกนะ ข้าไม่ชอบให้ใครมาชี้ ข้าขอเตือนให้เจ้าวางดาบลงเดี๋ยวนี้! มิฉะนั้น ข้าจะตัดกรงเล็บสุนัขเจ้าซะ!”
“บ๊อก…อู้…”
ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนพูดอยู่นั้น ฮันจื่อก็นั่งสองขา แหงนหน้ามองฟ้าพร้อมกับร้องคำรามเสียงดัง ทำให้ผู้คนตกใจจนกระโดดหนีไปตามๆกัน
เจ้านาย อย่าใช้สุนัขบรรยายลักษณะเจ้าหมอนี่ ได้หรือไม่
ข้าก็เป็นสุนัขเช่นกันนะ
“ข้ากับหมอนี่เดินกันคนละเส้นทาง!
พูดเช่นนี้เป็นการดูหมิ่นข้านะ!
ไม่เอานะ!
“ข้าผิดไปแล้ว! ข้าขอโทษด้วย! กรงเล็บสุนัขนับเป็นการยกยอหมอนั่นต่างหาก!”
ซย่าโหวฉิงเทียนลูบหัวฮันจื่อแผ่วเบา
ข้าจะตัดกรงเล็บไก่ของมัน!
“บ๊อก…อู้…”
“ถูกต้องแล้ว! กรงเล็บไก่!”
หนึ่งคนหนึ่งสุนัข เล่นกันอย่างสนุกสนาน ซย่าโหวฉิงเทียนมองข้ามหูซาไปโดยสิ้นเชิง มิได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ทำเอาหูซาโกรธเกรี้ยวชักดาบจะตอบโต้เขา ทว่ากลับถูกผู้เฒ่าใหญ่ห้ามปรามเอาไว้
“ทุกท่าน ทุกท่าน ค่อยพูดค่อยจา ค่อยพูดค่อยจากัน!”
ผู้เฒ่าใหญ่ไม่ปรารถนาให้ซย่าโหวฉิงเทียนและหูซาต่อสู้กัน เพราะนั่นเป็นการทำลายแผนที่เขาวางเอาไว้
“วันนี้เป็นวันประลองปรุงโอสถ พวกเรากลับมาที่เรื่องของเรากัน ดีหรือไม่”
ผู้เฒ่าใหญ่รีบออกตัวเป็นกลาง แล้วให้หูซาและเซี่ยโหวฉิงเทียนเป็นกรรมการด้วยกัน
“เหอะ อย่างนี้ค่อยน่าคุยด้วย!”
ครั้งเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนมานั้น อวี้เฟยเยียนได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหอราชาโอสถให้เขาฟังแล้วรอบหนึ่ง
เขาเองก็ไม่ได้โง่ ผู้เฒ่าใหญ่และเลี่ยเชวียเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้ เพราะต้องการให้อวี้เฟยเยียนเข้าร่วมการประลอง เบื้องหลังจะต้องมีความลับที่มิอาจบอกใครได้เป็นแน่
แต่ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ตาม หากเกี่ยวข้องกับแมวน้อยเขาล่ะก็ พวกมันก็สมควรตาย!
ในใจซย่าโหวฉิงเทียน ได้ตัดสินโทษตายให้กับพวกเขาทั้งสองไปแล้ว
ตอนนี้เพิ่มหูซาเข้าไปอีกคนหนึ่ง
ที่ประตูหอราชาโอสถ ซย่าโหวฉิงเทียนเคยเตือนหูซาไปแล้ว อวี้เฟยเยียนเป็นคนของเขา ตอนนั้นหูซาก็โขกศีรษะรับปากเป็นอย่างดี แลดูสำนึกได้แล้ว ทว่าแค่เขาหันหลัง หูซากลับเบนเข็มแล้วผลักต้นตอความขัดแย้งไปที่อวี้เฟยเยียนเสียแล้ว คนสองหน้าเช่นเขา น่าให้โดนห้าม้าแยกร่างนัก!
เมื่อไม่ฟังคำเตือน เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!
หูซากลับมิได้ล่วงรู้เลยว่า ซย่าโหวฉิงเทียนได้ตระเตรียมโทษตายไว้ให้เขาแล้ว เขาถลึงตาจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนทำท่าทีฮึดฮัดไม่พอใจขณะตวัดดาบลง
สำหรับหูซาแล้ว เขาเป็นถึงจอมเทวา แต่กลับต้องมาถูกจัดให้อยู่กับซย่าโหวฉิงเทียน น่าขายหน้าจริงๆ!
หากเป็นแต่ก่อนละก็ หูซาถลึงตาจ้องมองตนเองเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนคงจะควักลูกตาของเขาออกมานานแล้ว
แต่วันนี้เวทีเป็นของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนจึงมิอยากสลับแขกเป็นเจ้าบ้าน ดังนั้นจึงอดกลั้นเอาไว้ชั่วคราว มีรอยยิ้มหล่อเหลาประดับใบหน้าเอาไว้
สงสารก็แต่หูซา เกรงว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังมิรู้ว่าตนเองได้ล่วงเกินบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกินไปเสียแล้ว
มองรอยยิ้มบนใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เฟยเยียนก็ได้แต่สวดภาวนาให้กับหูซา
เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ในที่สุดงานประลองก็เริ่มขึ้น
ผู้เฒ่าให้ปรบมือหนึ่งครั้ง เด็กน้อยสิบสองคนก็ถูกนำขึ้นมา
เด็กน้อยทั้งสิบสองคน โตที่สุดก็ไม่เกินเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น เล็กสุดก็สามถึงสี่ขวบ อีกทั้งเสื้อผ้าที่เด็กๆ สวมใส่ก็ขาดเก่ารุ่งริ่ง ผอมโซแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เพียงมองดูก็รู้ได้ว่าที่บ้านคงยากจนข้นแค้นเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเด็กๆ เหล่านี้ แขกเหรื่อที่มาก็เริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมา
“นำพวกเด็กๆ มาที่งานประลองปรุงโอสถนี้ทำไมกัน”
“เด็กๆ เหล่านี้ยังเล็กนัก”
ราวกับล่วงรู้ว่าทุกคนต่างก็สงสัยและตั้งคำถาม ผู้เฒ่าใหญ่หัวเราะขึ้นมา
“กติกาการแข่งขันในครั้งนี้ง่ายนัก ฝ่ายหนึ่งวางยาพิษ อีกฝ่ายถอนพิษ ฝ่ายที่ถอนพิษได้มากกว่าถือเป็นฝ่ายชนะ!”
“ใช้เด็กน้อยมาเป็นสิ่งทดลอง มันมิโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ”
หนึ่งคนกล่าวขึ้น ผู้อื่นก็รีบกล่าวขึ้นมาไม่หยุด
เพราะอย่างไรก็ยังเป็นหนึ่งชีวิต อีกทั้งยังเป็นเด็กอายุน้อย การกระทำเช่นนี้มันไม่นับว่าเป็นคน!
ผู้เฒ่าใหญ่รู้ดีว่าผู้ที่มาร่วมงานจักต้องกล่าวเช่นนี้ จึงรีบอธิบายทันที
“เด็กพวกนี้ได้ลงลายมือชื่อในสัญญายอมตายแล้ว และหอราชาโอสถก็ได้มอบเงินให้กับพ่อแม่เขาอย่างเพียงพอซื้อพวกเขามา ก็เพื่อเตรียมตัวสำหรับการประลองปรุงโอสถในครั้งนี้”
“กระเพาะเด็กๆอ่อนไหวเป็นอย่างมาก ร่างกายอ่อนแอ เช่นนี้ก็จะยิ่งเป็นการทดสอบความสามารถของนักปรุงยา ดังนั้น เลือกพวกเขามาทดลองยา เหมาะสมที่สุดแล้ว!”
กล่าวจบผู้เฒ่าใหญ่ก็เจตนามองไปที่เลี่ยเชวีย
“ทูตขวาเลี่ย สำนักหมื่นพิษของพวกท่านถึงแม้ว่าจะเชี่ยวชาญการวางยาพิษ แต่ในการประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ ท่านสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นฝ่ายวางยาพิษ หรือจะเป็นฝ่ายแก้พิษ”
“วางยาพิษ!”
เลี่ยเชวียกล่าวเสียงเลือดเย็น
“หรือท่านจะให้ข้าเป็นเหมือนพวกท่าน หอราชาโอสถที่คอยทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นกัน เช่นนั้นพวกเราก็ไม่เรียกว่าสำนักหมื่นพิษแล้ว ควรจะเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้ายาแล้วละ!”
“ในเมื่อท่านเลือกที่จะเป็นฝ่ายวางยาพิษ เช่นนั้นพวกเราหอราชาโอสถก็จะเป็นฝ่ายแก้พิษ อวี้หลัวช่า ท่านละ”
“ข้า”
อวี้เฟยเยียนแสร้งทำเป็นครุ่นคิด แต่เลี่ยเชวียกลับเลือกแทนนางเสียแล้ว
“นางย่อมต้องเป็นฝ่ายแก้พิษอยู่แล้ว! หากนางเป็นฝ่ายวางยา เช่นนั้นมิเท่ากับข้ากับนางร่วมมือกันเล่นงานหอราชาโอสถหรือ”
“ถึงแม้ว่าข้าจะขัดหูขัดตาหอราชาโอสถยิ่งนัก แต่ก็จะไม่ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นเป็นแน่”
ความนัยวาจาของเลี่ยเชวียเมื่อครู่คือ หากอวี้เฟยเยียนเลือกที่จะเป็นฝ่ายวางยาพิษ นั่นก็คือเล่นงานหอราชาโอสถ เป็นการกระทำที่ต่ำช้ายิ่งนัก
ได้ยินเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็ยิ้มบางๆ ออกมา
“ครั้งนี้ที่ข้าต้องการจะแข่งขันด้วยมิใช่หอราชาโอสถ แต่เป็นทูตขวาแห่งสำนักหมื่นพิษ ท่านคงมิได้ความจำเสื่อมไปแล้วกระมัง!”
“เมื่อครู่มิใช่พูดกันไว้เสียดิบดี ว่าหากว่าข้าชนะพวกท่านละก็ ท่านทั้งสองจะตัดหัวเอาไว้ให้ข้า มาตอนนี้ความหมายท่านคือให้ความร่วมมือกับหอราชาโอสถต่อกรกับสำนักหมื่นพิษอย่างนั้นหรือ”
“ข้ามิรู้เลยจริงว่า สำนักหมื่นพิษที่เรียกตนเองว่าต่ำช้าโหดเ**้ยม เปลี่ยนไปเป็นมิตรและใจกว้างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! นี่ถึงขนาดช่วยเหลือหอราชาโอสถ โดยการให้ข้าร่วมมือกับเขามาต่อกรกับพวกท่านสำนักหมื่นพิษหรือ”
“พวกท่านกับหอราชาโอสถเป็นเช่นน้ำกับไฟที่มิอาจอยู่ร่วมกัน คิดอยากจะให้อีกฝ่ายตายตลอดเวลามิใช่หรือ ทำไม ตอนนี้คิดที่จะสมานฉันท์กันแล้วเล่า”
“หรือว่าเบื้องหลัง มีเรื่องอะไรซ่อนอยู่กันแน่”