ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 14 จันทร์หายนะอีกครั้ง
เด็กสาวนั่งเรียบเรียงความคิดของตัวเอง วิเคราะห์ถึงเรื่องทั้งหมดที่ผ่านๆ มาและข้อสงสัยหลายๆ อย่าง
เธอถูกพวกตำรวจยิงตายบริเวณริมหน้าผา ทำให้ตัวเธอมาเกิดใหม่ยังโลกใบนี้ ไม่สิ ถ้าจะให้พูดให้ถูก เธอถูกเทพธิดาส่งมาโดยตรงเลยต่างหาก และที่สำคัญอีกฝ่ายก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ของเธอให้ด้วย
หลังจากมาเกิดใหม่เธอก็ได้เจอกับฮันน่า และได้รู้เรื่องของปรากฎการณ์จันทร์หายนะ ทรีอาร์ มันคือปรากฎการณ์ที่พระจันทร์จะกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มและมีดวงตาอยู่ตรงกลางดวงจันทร์
ปรากฎการณ์นั่นทำให้เด็กสาวฝันร้าย มีเสียงเพรียกปริศนาที่บอกให้เธอตามหาสถานที่ที่เรียกว่าเบอร์มิวด้า นั่นทำให้เธอเกิดความสงสัยเกี่ยวกับพระจันทร์นั่น
เธอรู้ว่าเทพมารเบนิลซึ่งร่วงหล่นจากการปะทะกับเทพธิดา
อโลวีนัสเป็นตัวการที่ร่ายคำสาปใส่พระจันทร์
ทำไมเทพมารเบนิลถึงได้สู้กับเทพธิดา ทำไมถึงได้ร่วงหล่น และทำไมต้องร่ายคำสาปใส่พระจันทร์ และทำไมคำสาปจากพระจันทร์นั่นถึงทำให้เธอได้ยินเสียงเพรียกที่บอกให้ตามหาเบอร์มิวด้ากันล่ะ?
และเนื่องจากเธอยังเชี่ยวชาญภาษาสุริยันไม่พอ ทำให้ตัวเธอไม่สามารถหาข้อมูลใดๆ ได้เลยเกี่ยวกับเทพมารเบนิล รู้แค่ว่าอีกฝ่ายคือเทพผู้ร่วงหล่นจากการต่อสู้กับเทพธิดาเท่านั้นเอง
เธอรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดมันเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผลอย่างน่าประหลาด เทพมารร่วงหล่น ร่วงหล่นแล้วร่ายคำสาปใส่พระจันทร์ พระจันทร์ทำให้เธอได้ยินเสียงเพรียกที่บอกให้ตามหาเบอร์มิวด้า
ราวกับว่าทุกอย่างถูกจัดวางเอาไว้ตั้งแต่ต้น ส่วนคำถามว่าทำไมอยู่ๆ เธอถึงมานั่งขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้น่ะหรือ นั่นก็เป็นเพราะเธอพยายามจะลืมเรื่องฟุมิ มัตสึโมโตะยังไงล่ะ การนั่งขบคิดถึงปริศนาที่ตัวเองสงสัยมันก็ไม่เลวเหมือนกันในการช่วยให้ลืมบางสิ่ง
และใช่ นอกจากเรื่องของเสียงเพรียกและจันทร์หายนะ ยังมีเรื่องของระบบแปลภาษาอีก เธอพูดภาษาสุริยันได้แต่กลับอ่านหรือเขียนไม่ได้เนี่ยนะ ราวกับว่ามีบางอย่างผิดพลาดเลย บางทีเรื่องนี้อาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างที่เธอไม่รู้ก็ได้
หรือบางทีเธออาจจะแค่คิดมากไปเองก็ได้ คราวหน้าต้องลองอ่านภาษารัตติกาลดู ดูซิว่าเธอจะอ่านได้หรือไม่
ทีนี้ก็วกกลับมาเข้าเรื่องของมัตสึโมโตะกันต่อ ถ้าให้เรียบเรียงสถานการณ์ล่ะก็ อย่างแรกเลย ทำไมหมอนั่นถึงมาอยู่ที่นี่ สองเลย ใช่มัตสึโมโตะคนเดียวกับที่เคยสังหารเธอในโลกเก่าหรือไม่
สมมุติถ้าเป็นคนๆ เดียวกัน ทำไมหมอนั่นถึงได้มาอยู่ที่โลกนี้ได้กัน? ตายแล้วงั้นเหรอ? แล้วทำไมถึงตาย หัวหน้ากรมตำรวจสืบสวนที่เอาชนะฆาตกรที่อันตรายที่สุดอย่างเธอได้กลับตายลงแล้วถูกเทพธิดาส่งมายังโลกใบนี้เหมือนกันงั้นเหรอ?
นี่มันเรื่องตลกอะไรกันเนี่ย หรือบางทีเทพธิดาอาจจะพยายามขัดขวางแผนการของเธอด้วยหมอนั่นก็เป็นได้
สำหรับเรื่องอาหารในโลกเก่า เธอหายข้องใจแล้ว ที่แท้หมอนั่นก็เป็นคนนำมาเผยแพร่นี่เอง ให้ตายสิ พอคิดว่ากำลังกินอาหารที่มาจากไอเดียของคนที่ฆ่าตัวเองทิ้งแล้ว เธอก็กินอะไรไม่ลงเลยแฮะ
“เอาข้าวผัดไหมยูริจัง”
ฮันน่าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวถึงความกังวลของเด็กสาวเอ่ยพลางเลื่อนข้าวกล่องมาให้
“แลกกันกินไง พี่ถึงได้ไปต่อแถวที่ยาวที่สุดน่ะ”
เด็กสาวจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ ก่อนจะเลื่อนข้าวหน้าปลาไหลของตัวเองไปให้
“เอาไปเถอะค่ะ หนูอิ่มแล้ว”
และเธอก็ไม่รับข้าวผัดมาจากอีกฝ่าย ฮันน่าทำสีหน้าเสียใจเล็กๆ บางทีอีกฝ่ายคงคิดว่ายูริยังระแวงอยู่ล่ะมั้ง แต่เธอไม่ได้ระแวงสักหน่อย อิ่มแล้วต่างหาก
“ข้าวผัดพวกนี้อร่อยสู้ฝีมือพี่ไม่ได้หรอกค่ะ”
ซายูริพูดพลางหลับตาลงเล็กน้อย ปรารถนาจะหลับสักงีบ และไม่อยากเห็นสีหน้ากระดี๊กระด๊าของอีกฝ่ายด้วย
อย่ามาทำเป็นดีใจไปหน่อยเลย เธอก็แค่บอกไปแบบนั้นเพื่อไม่ให้ฮันน่าเสียใจก็เท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็เถอะ เธอค้นพบว่าอาหารของที่นี่ไม่มีอะไรอร่อยกว่าฝีมือการทำอาหารของฮันน่าอีกแล้ว
อ่า พูดถึงการทำอาหารแล้ว ฮันน่าไปเอาเงินมาจากไหนสำหรับการซื้อวัตถุดิบทำอาหารกันล่ะ?
“ว่าแต่ หนูสงสัยมานานแล้ว”
เธอเอ่ยข้อสงสัยนั้นออกไป สีหน้าจริงจังขึ้นมานิดหน่อย
“พี่ไปเอาเงินมาจากไหน? หนูไม่เคยเห็นพี่ทำงานเลยนี่คะ”
เอื้อก เธอได้ยินเสียงกลืนน้ำลายมาจากอีกฝ่าย ฮันน่าพูดด้วยท่าทางเรียบเฉยและไร้พิรุธใดๆ
“แวมไพร์เมื่ออายุครบสิบห้าปีก็จะออกจากบ้าน โดยที่พ่อและแม่จะทิ้งทรัพย์สมบัติบางส่วนเอาไว้ให้น่ะ”
หญิงสาวอธิบายพลางหลบตาของยูริ ทำทีว่ากำลังมองอะไรบางอย่าง
“ยูริจัง ดูนั่น มีร้านทาโกะยากิด้วยล่ะ ไปไหม?”
ยูริจ้องหน้าของแวมไพร์สาวเขม็ง เธอได้กลิ่นตุๆ มาจากอีกฝ่าย เป็นกลิ่นของคนที่กำลังโกหกหรือไม่ก็ปกปิดความจริงบางอย่าง ฮันน่าทำท่าล่อกแล่กไปชั่วขณะตอนที่พูดเรื่องมรดก แถมยังบ่ายเบี่ยงประเด็นไปยังทาโกะยากิอีก
เฮ้อ เอาเถอะ อีกฝ่ายคงมีเหตุผลอะไรสักอย่างให้ปกปิดความจริงล่ะมั้ง บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่เธอไม่ควรรู้ตั้งแต่แรกแล้ว เอาไว้
ฮันน่าพร้อมเมื่อไหร่ค่อยถามอีกทีแล้วกัน
“ว่าแต่ตอนที่พี่ใช้เวทมนตร์เพื่อให้โต๊ะนี้ว่าง พี่ทำอะไรลงไปเหรอคะคนถึงได้ไม่มากัน?”
ได้เวลาถามข้อข้องใจที่เธอสงสัยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เด็กสาวกลายเป็นคนขี้สงสัยแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
“เวทมนตร์ขับไล่ มันเป็นเวทมนตร์ที่ช่วยขับไล่ผู้คนออกจากพื้นที่ที่กำหนดเอาไว้น่ะ”
อย่างงี้นี่เอง
ฮันน่าตักข้าวผัดเข้าปากพลางทำหน้าเบ้เล็กน้อย
“…น้ำมันมากไปหน่อยแฮะ พี่ว่าบางทีเขาควรจะลดการใช้น้ำมันพืชในข้าวผัดลงหน่อย หรือไม่ควรใช้เลย ที่พี่เห็นนะ เล่นเทลงไปเป็นทัพพีแบบนี้เลย”
ฮันน่าทำท่าเหมือนกับคนที่กำลังเทอะไรสักอย่างให้ดู ยูริคิดภายในใจว่าบางทีพี่ฮันน่าควรจะไปฝึกสอนอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว หึหึ ก็ทำอาหารเก่งนี่น่า ตั้งแต่มายังโลกใบนี้เธอก็เจริญอาหารมากกว่าปกติเพราะรสมือของฮันน่าแท้ๆ
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรสชาติ ยูริพยายามลืมเรื่องปริศนาทั้งหมดที่ประเดประดังเข้ามา พยายามลืมเรื่องคนจากต่างโลกที่มายังโลกใบนี้เหมือนกัน และสนุกไปกับการกินอาหาร ในบางครั้งฮันน่าก็จะลุกออกจากโต๊ะไปและไปซื้อเมนูแปลกๆ มาให้กิน ซึ่งบางเมนูก็เป็นเมนูที่เธอเคยเห็นในโลกเก่า แต่เธอก็จำชื่อของมันไม่ได้
บางเมนูก็อร่อยจนเธอเผลอกินหมด ถึงปากจะบอกว่าอิ่มแต่รู้ตัวอีกทีก็ซัดหมดเกลี้ยงแล้ว แต่บางเมนูเธอก็ผลักไสให้ฮันน่าทำหน้าที่กินแทน แน่นอนว่าบางครั้งอีกฝ่ายก็กินไม่หมดเช่นกัน ทำให้ตอนนี้บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยจานที่เต็มไปด้วยซากอาหาร
“ไปกันเถอะค่ะ นี่แปดโมงแล้ว”
เด็กสาวลุกขึ้น เตรียมตัวจะกลับโรงแรม สำหรับเรื่องมัตสึโมโตะ ช่างหัวหมอนั่นเถอะ แค่พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าก็เพียงพอแล้ว หลังจากเข้าร่วมงานศพวันนี้เสร็จ เธอกะว่าจะเดินทางไปยังเขตสลัมอีกครั้งด้วย ว่าจะใช้งานสองคนนั้นสักหน่อย
หลังจากกำหนดกำหนดการเสร็จสรรพ เธอกับฮันน่าก็ลุกขึ้น เตรียมตัวเดินทางกลับ ค่าอาหารพวกเธอจ่ายไปแล้วตอนที่ไปซื้อของพวกนี้มา ดังนั้นจึงไม่ต้องทำอะไรเลย ส่วนจานพวกนี้ให้พนักงานมาเก็บ มันไม่ใช่หน้าที่ของพวกเธอสักหน่อยนี่น่า
“ตอนนี้เราต้องกลับไปโรงแรมแล้วไปอาบน้ำกันก่อน”
ฮันน่ายืดเส้นยืดสายเล็กน้อย
“แล้วเราก็ต้องเปลี่ยนไปสวมชุดสีขาวด้วย”
งานศพของประเทศนี้มีรากฐานความเชื่อที่ว่าผู้ตายจะได้รับชีวิตใหม่ในอาณาจักรของเทพธิดา ทำให้ความตายไม่ใช่เรื่องน่าโศกเศร้า ดังนั้นการใส่ชุดสีขาวไปร่วมพิธีศพจึงเปรียบเสมือนการให้เกียรติคนตาย และแสงสีขาวเป็นดั่งสัญลักษณ์ของเทพธิดาอโลวีนัส เทพธิดาแห่งแสงสว่างและความดีงาม
น่าหมั่นไส้ น่าหงุดหงิด นังนั่นน่ะหรือความดีงาม ถึงเธอจะเป็นคนชั่วก็จริง แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่ขยะแขยงเวลาเจอคนชั่วเหมือนกันสักหน่อย เธอยังคงจำได้ดีถึงสีหน้าเหยียดหยันอันน่ารังเกียจของยัยนั่น เทพเจ้าที่ยัดเยียดชีวิตใหม่ให้กับเธอ
เอาตรงๆ ก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำ ยัยนั่นจะส่งเธอมาเกิดทำไม ฆาตกรต่อเนื่องสุดอันตรายอย่างเธอสามารถทำให้โลกใบเก่าล่มสลายมาแล้ว แต่ทำไมยัยนั่นถึงยังส่งเธอมาเกิดอีก? ไม่กลัวโลกนี้ที่ตัวเองสร้างพังทลายลงบ้างหรืออย่างไร?
อโลวีนัส แกมีแผนการบ้าบออะไรกันแน่ ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าแกอยากให้โอกาสฆาตกรอย่างฉันกลับใจน่ะ อย่าไร้สาระไปหน่อยเลย แต่สมมุติถ้าแกส่งฉันมาเกิดเพราะเหตุผลนั้นจริงๆ ล่ะก็ ฉันจะทำให้แกเสียใจเองที่ตัดสินใจอะไรแบบนั้นลงไป
ขณะที่เด็กสาวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง เธอก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่คุ้นเคย อะไรบางอย่างที่ทำให้ตัวของเธอรู้สึกหวั่นกลัวอย่างน่าประหลาด เมื่อเธอสังเกตุด้านนอกร้าน ก็พบว่าแสงสว่างจากพระอาทิตย์ได้หายไปแล้ว และแทนที่ด้วยแสงสีเงินที่คุ้นเคย
อีกแล้วหรือ? เธออ้าปากค้าง ไหนฮันน่าบอกว่าปรากฎการณ์จันทราสีเงินจะเกิดขึ้นแค่เดือนล่ะครั้งไง? นี่พึ่งจะสองอาทิตย์หลังจากที่เธอมายังโลกใบนี้เองนะ ปรากฎการณ์ห่านี่เกิดมาสองครั้งแล้วนะ
ดูเหมือนผู้คนในร้านจะแตกตื่นเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเพราะชินชากับสถานการณ์หรืออย่างไร พวกนั้นพากันเดินถอยลึกเข้าไปในร้านและรวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบ น่าประทับใจ ดูเหมือนพวกเขาจะถูกสอนมาให้รับมือกับปรากฎการณ์นี้สินะ นึกถึงประเทศญี่ปุ่นที่รัฐบาลมักจะมีนโยบายสอนให้ประชาชนรับมือกับแผ่นดินไหวเลยล่ะ
แม้นี่จะไม่ใช่ญี่ปุ่นก็เถอะ
เนื่องจากร้านแห่งนี้มันเป็นร้านค้าที่ค่อนข้างเปิดโล่ง รอบๆ ร้านไม่มีกำแพงหรือผนังเลย มีเพียงกระจกใสที่ทำให้คนกินอาหารสามารถมองออกไปข้างนอกได้ ทำให้ตอนนี้เด็กสาวเห็นแสงจันทร์นั่นได้ชัดเจน และแสงจันทร์ก็ราวกับพยายามจะบุกเข้ามาในร้านเลยล่ะ
“ยูริจัง ใจเย็นๆ นะ”
ฮันน่าจับมือเธอแน่น ดูเหมือนหญิงสาวจะยังจำได้ดีถึงวันแรกที่ยูริเผชิญหน้ากับจันทร์หายนะ ตอนนั้นอีกฝ่ายแทบจะเสียสติและวิ่งเข้าไปในบ้านราวกับคนสติแตก นั่นทำให้เธออดเป็นห่วงไม่ได้
น่าสมเพชชะมัดเลยตอนนั้น เด็กสาวตบหน้าตัวเองในใจ ไม่เห็นต้องจับแน่นขนาดนั้นเลยนี่ฮันน่า เธอไม่เป็นอะไรหรอกน่า
“เอาล่ะๆ ใจเย็นๆ และทำตามที่เคยฝึกซ้อมกันมาด้วยนะครับ!”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น
“รอสักห้าถึงหกนาทีเดี๋ยวมันก็หายไปแล้ว สำหรับผู้ปกครองที่มีบุตรหลานก็ช่วยจับมือบุตรหลานของท่านเอาไว้ให้แน่นๆ นะครับ เราไม่อยากให้เกิดการสูญเสียที่นี่”
เด็กสาวหันไปมองตามเสียงและต้องเบิกตากว้าง ชายหนุ่มผมสีดำ ผมบางส่วนปิดตาข้างขวา ดวงตาสีน้ำตาลดำดูเย็นชาเหมือนซากศพ สวมทักซิโด้สีดำ หน้าตาหล่อเหลา แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เธอตะลึงหรอก สาเหตุจริงๆ ก็คือ เธอคุ้นเคยกับใบหน้านั่นเหลือเกิน
ฟุมิ มัตสึโมโตะ คนที่สังหารเธอด้วยกระสุนปืนจนร่วงหน้าผาตาย หัวหน้าทีมตำรวจสืบสวนที่มีระดับปัญญาสูสีกับเธอเลยล่ะ ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเจอกันอีกในสภาพนี้ แถมหน้าตาของหมอนั่นยังเหมือนเดิมอีกด้วย เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพธิดาถึงเปลี่ยนหน้าตาของเธอจนกลายเป็นเด็กเจ็ดขวบที่มีผมสีขาวตาสีแดงแบบนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้หมอนั่นจำเธอได้นี่เอง
เทพธิดาลิขิตเรื่องแบบนี้เอาไว้แล้วงั้นหรือ? แกวางแผนเอาไว้มากขนาดไหนกัน?
“คุณสองคนตรงนั้นน่ะ อยู่ห่างจากกระจกหน่อยครับ แสงจันทร์มันส่องถึงนะ”
หมอนั่นตะโกนเรียกใครบางคน ใครกันล่ะ?
เธองั้นหรือ?
เมื่อตระหนักได้ว่ามัตสึโมโตะเรียกเธอกับฮันน่า เด็กสาวพลันทำหน้าขึงเครียด ความทรงจำเก่าๆ ยังคงหลอกหลอนอย่างชัดเจน กระสุนที่ถูกลั่นไกมาเข้าหัวใจของเธอ ขา หัวไหล่ และตามด้วยหัว มันยังเจ็บไม่หายเลยล่ะ ไม่สิ อาการบาดเจ็บอะไรนั่นไม่มีอีกแล้ว แต่เธอรู้สึกว่ามันยังคงหลอกหลอนอยู่ในจิตใจของเธอ
ฮันน่าพาเธอเดินไปรวมกับฝูงชน อีกฝ่ายเข้าใจว่าเด็กสาวเกิดอาการแพนิคจากผลกระทบของจันทราสีเงิน แต่จริงๆ แล้วตัวการที่ทำให้เธอแพนิคมันอยู่ตรงหน้าต่างหาก อย่าเข้าไปใกล้มันนะ!
“ยูริจัง ใจเย็นๆ” ฮันน่าปลอบ “เราอยู่ในร้าน เราปลอดภัยแน่นอน”
ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ให้เธอออกไปเผชิญแสงจันทร์ยังดีซะกว่าต้องเจอหน้าหมอนั่นอีกรอบ ให้ตายสิ ใครจะไปคิดว่าจะได้มาเจอกับมัตสึโมโตะอีก เธอเกลียดหมอนั่น! เกลียดดวงตาเย็นชา เกลียดทุกๆ ลมหายใจที่มันปล่อยออกมา และยิ่งนึกถึงตอนที่มันฆ่าเธอ ก็ยิ่งเกลียดมากกว่าเดิม
ไม่สิ เด็กสาวเริ่มสงบสติอารมณ์ลง การที่ได้มาเจอมันอีกรอบมันก็เป็นโอกาสแก้แค้นไม่ใช่หรืออย่างไร แถมมันก็น่าจะจำเธอไม่ได้ด้วย ดังนั้นการเข้าใกล้ก็น่าจะง่ายดาย แถมเธอยังเป็นแค่เด็กเจ็ดขวบอีกด้วย อีกฝ่ายคงเปิดช่องว่างแน่นอน แต่จะให้ทำตรงนี้ไม่ได้ ฝูงชนมากเกินไป
“เอาล่ะ ตอนนี้จัดแถวให้เป็นระเบียบนะครับ สำหรับคนที่ไม่เคยเผชิญสถานการณ์แบบนี้มาก่อนก็ขอให้ตั้งสติและใจเย็นๆ พระจันทร์นั่นจะหายไปในระยะเวลาห้านาทีเท่านั้นครับ”
มัตสึโมโตะดูเชี่ยวชาญดีแฮะ บางทีหมอนี่อาจจะมายังโลกนี้ก่อนเธอนานแล้วก็ได้ ทั้งๆ ที่ตายทีหลังเนี่ยนะ? ไม่สิ บางทีหมอนี่อาจจะไม่ได้ตายแล้วถูกส่งมาก็ได้ แต่แค่ถูกส่งมาเฉยๆ อาจจะเป็นคนละกรณีกับเด็กสาวก็เป็นได้
ฮึ่ม ทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้กัน ไอ้พระจันทร์ห่านี่นึกจะมาก็มา และไม่รู้ว่าโชคชะตามันรังสรรค์หรืออย่างไร ทำไมเธอถึงได้มาเจอกับคู่ปรับของตัวเองในโลกเก่าได้ง่ายๆ แบบนี้กันล่ะ?
หืม เธอเห็นคุณลุงตาตี่คนเดิมอยู่ในฝูงชนด้วย เธอไม่แน่ใจว่าหมอนั่นเป็นคนต่างโลกเหมือนกันรึเปล่า แต่อาจจะไม่ใช่ เท่าที่เธอเคยถามฮันน่ามา คนของบางประเทศที่อยู่บริเวณทวีปตะวันออกจะมีลักษณะทางกายภาพเหมือนคนเอเชียในโลกเก่าอยู่แล้ว
เด็กสาวตัดสินใจไปรวมกลุ่มกับฝูงชนที่กำลังยืนรอให้จันทร์หายนะหายไป ฮันน่าเองก็ตามมาด้วยเช่นกัน
รอแล้วรอเล่า ผ่านไปห้านาทีแล้ว แสงจันทร์นั่นยังไม่หายไปไหน ไม่มีทีท่าว่าจะหายไป ผู้คนเริ่มกระสับกระส่ายกันแล้ว
“ทำไมมันยังไม่หายไปอีก”
“ฉันมีนัดสัมภาษณ์งานตอนเที่ยงนะ นี่เก้าโมงกว่าแล้ว ต้องรีบออกเดินทาง”
“เมียผมลาคลอดวันนี้นะ ผมต้องไปรับเธอมา”
โอ้ โอ้ สถานการณ์แบบนี้มัน เด็กสาวแสยะยิ้มเล็กน้อย นี่มันเข้าทางเลยไม่ใช่หรือ?