ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 15 แผนการชักจูงผู้คนของวาคาดะ
เปรี้ยง ปร้าง เสียงท้องฟ้าดังสนั่นเลือนลั่นกัมปนาทไปด้วยสายฟ้า เด็กสาวคิดแผนบางอย่างในใจ ตอนนี้ข้างนอกร้านค้าแห่งนี้ยังมีจันทร์หายนะทรีอาร์ขึ้นอยู่ และตอนนี้มันเกินเวลาที่ควรจะเป็นมาสิบนาทีแล้ว
หึหึ มัตสึโมโตะบอกว่าจันทร์หายนะจะหายไปในเวลาห้านาที แต่ตอนนี้มันสิบห้านาทีแล้ว ผู้คนเริ่มกระวนกระวายและกระสับกระส่ายกันแล้ว
คนพวกนั้นมีงานและภาระหน้าที่ที่ต้องไปทำ ทำให้บางคนเริ่มเดินวนไปวนมาอย่างกังวล บางคนถึงกับนั่งลงและตัวสั่นกึกๆ บางคนยังคงสงบนิ่ง แต่เด็กสาวรู้ว่าข้างในของคนๆ นั้นเริ่มเดือดพล่านแล้ว
แล้วแบบนี้ฆาตกรจอมปลุกปั่นแบบเธอจะไม่ทำหน้าที่ได้ยังไงล่ะ จริงไหม?
“เอ่อ คุณมัตสึโมโตะใช่ไหมคะ?”
เด็กสาวหันไปดึงขากางเกงของอีกฝ่าย ตัวของเธอเล็กกว่าหมอนั่นมาก สูงถึงแค่หัวเข่าของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง แม้แต่ฮันน่ายังไม่ตัวสูงเท่าไอ้หมอนี่เลย
“หือ?”
มัตสึโมโตะมองมาที่เด็กสาวด้วยสายตาเย็นชา มันทำให้เธอนึกถึงคนตาย แต่เธอรู้จักไอ้หมอนี่ดี มัตสึโมโตะน่ะเป็นพวกแสดงอารมณ์ไม่เก่ง ต่อให้หมอนี่จะดีใจอยู่ แต่สิ่งที่มันจะทำก็มีเพียงการยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเท่านั้น
“ใช่ ผมคือฟุมิ มัตสึโมโตะ มีอะไรหรือสาวน้อย”
หมอนั่นยกยิ้ม เธอรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามจะยิ้มให้ดูอ่อนโยน แต่สิ่งที่ได้มากลับเป็นรอยยิ้มเหยเกน่าเกลียดไปซะได้ โครงหน้าของหมอนั่นบิดเบี้ยวเล็กน้อย นี่นายเป็นโรคควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้หรืออะไรแบบนั้นรึเปล่า? ไปรักษาหน่อยไหม?
“อ เอ่อ” เด็กสาวแสร้งตัวสั่น สีหน้าหวั่นกลัวแบบสุดๆ “ค คือว่า”
ฟุมิ มัตสึโมโตะทำสีหน้าอึมครึม เอาอีกแล้ว เขาเผลอทำสีหน้าน่าเกลียดแบบนั้นไปอีกแล้ว ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะสามารถปั้นสีหน้าให้มันดีๆ ได้เลย
หลายต่อหลายครั้งที่เด็กกลัวเขาเพียงเพราะการพยายามยิ้มของตัวเอง แทนที่จะได้ใบหน้าหล่อเหลามาดันได้ใบหน้าของสัตว์ประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวซะงั้น
รู้งี้เขาไม่ยิ้มยังดีซะกว่า
“ค คือว่า”
เด็กสาวตรงหน้าเขายังคงพยายามสื่อสาร แต่ดูเหมือนว่าจะยังคงกลัวอยู่ เขาตัดสินใจทำสีหน้าปกติที่ไม่ใช่ใบหน้ายิ้ม แม้จะน่ากลัว แต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าตอนยิ้ม หวังว่านี่จะทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลงได้นะ
“ค คือ แสงจันทร์ด้านนอก ถ้ากางร่มออกไปแล้วจะป้องกันอันตรายได้บ้างรึเปล่าคะ?”
อะไรนะ? เขามองอีกฝ่ายด้วยความอ้ำอึ้ง ใสซื่อเกินไปแล้วรึเปล่านะ? ใครๆ ก็รู้ว่าของแบบนั้นมันป้องกันไม่ได้อยู่แล้ว ถึงจะไม่มีใครเคยลองก็เถอะ แต่ผลกระทบจากจันทร์หายนะน่ะส่งผลแม้แต่กับคนที่หลบอยู่ในตัวอาคารเลยนะ แม้จะแค่นิดเดียวก็เถอะ ไม่ต้องไปพูดถึงพวกที่กางร่มออกไปหรอก ไม่ใช่ฝนสักหน่อยที่จะกันได้ด้วยวิธีแบบนั้นน่ะ
ผู้คนบางส่วนมองเด็กสาวด้วยสายตาประหลาดใจ พวกเขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงรึเปล่า แต่พวกเขาเองก็ไม่คิดจะเสี่ยงทดสอบเช่นกัน
“ยูริจัง พูดอะไรน่ะ” ฮันน่าทำสีหน้าฉงน “ถ้ามันกันได้จริงป่านนี้คงไม่มีใครยอมติดอยู่ที่นี่กันหรอก”
“แต่สถานที่แห่งนี้มันก็ช่วยป้องกันพลังของจันทราสีเงินใช่ไหมล่ะคะ”
ยูริเริ่มอธิบาย เธอวางแผนที่จะดึงทักษะการโน้มน้าวทั้งหมดที่ตัวเองมีออกมาใช้
“พี่เป็นคนบอกหนูเองนี่คะว่ามันเป็นผลกระทบจากแสงจันทร์น่ะค่ะ ถ้าพยายามหลีกเลี่ยงการโดนแสงจันทร์ก็น่าจะไม่เป็นไรแล้วรึเปล่า?”
ลุงอ้วนหัวล้านท่าทางใจดีในตอนแรกฟังพลางทำสีหน้าครุ่นคิด แต่เขาก็ส่ายหัวในใจ ไร้สาระน่า ถ้าการทำแค่นั้นมันช่วยป้องกันปัญหาได้จริงๆ ป่านนี้ผู้คนก็คงไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงแบบนี้หรอก บางทีสาวน้อยคนนี้อาจจะใสซื่อมากเกินไป หรือบางทีก็อ่อนต่อโลก
“คือ หนูจะบอกว่า ให้รีบใช้ร่มถือออกไปข้างนอกแล้วรอรถม้าน่ะค่ะ ถึงร่มจะกันไม่ได้อย่างสมบูรณ์ก็จริง แต่น่าจะลดผลกระทบได้บ้างใช่ไหมล่ะคะ?”
เด็กสาวพยายามชักจูงให้ผู้คนเล็งเห็นว่าการถือร่มออกไปจะช่วยลดทอนอันตรายได้มาก พวกนั้นบางคนมีธุระด่วนต้องไปทำ การที่มีหนทางที่จะทำให้พวกเขาสามารถออกไปจากสถานการณ์ตอนนี้ได้ย่อมทำให้พวกเขาเกิดความสนใจ แม้ว่ามันจะออกมาจากปากเด็กตัวเล็กๆ ก็ตาม
“แถมผลกระทบของจันทร์หายนะก็ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นใช่ไหมล่ะคะ มันยังพอมีเวลาอยู่ให้พวกเราหลบซ่อนหรืออะไรแบบนั้น การถือร่มออกไปน่าจะช่วยยืดเวลาของการคลุ้มคลั่งได้ค่ะ”
“แถมพวกคุณส่วนใหญ่ก็เป็นมนุษย์อีกด้วยนะคะ ผลกระทบของจันทราสีเงินที่มีต่อมนุษย์น่ะน้อยและเชื่องช้ามากเลยค่ะ”
ด้วยน้ำเสียงใสซื่อของเด็กเจ็ดขวบ ทำให้ไม่มีใครเอะใจแม้แต่น้อยว่าทั้งหมดนี่เป็นแผนการของเด็กสาวที่มุ่งหวังจะให้มีใครสักคนทำตัวสติแตกและวิ่งออกไปตายด้านนอก มีเพียงมัตสึโมโตะเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงลางร้าย
‘กลวิธีแบบนี้มันดูคุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้ เด็กนี่พยายามจะโน้มน้าวให้คนออกไปงั้นหรือ? ทำไปเพื่ออะไรล่ะ หรือบางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ ไม่สิ อย่าประมาทเด็ดขาด ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเด็กก็ตาม ไม่ได้แปลว่าเราจะประมาทได้’
“วิธีนั้นมันเสี่ยงอันตรายเกินไป”
เขาโต้แย้งด้วยถ้อยคำที่เหมาะสม
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะลองเสี่ยงออกไปข้างนอก รอคอยสักสิบนาทีเดี๋ยวจันทร์หายนะก็ไปแล้ว”
วาคาดะครุ่นคิด ไอ้หมอนี่มันรู้ทันแผนการของฉันรึเปล่านะ? ไม่หรอก บางทีอีกฝ่ายอาจจะแค่สงสัยก็ได้ นิสัยของไอ้หมอนี่ขี้ระแวงแม้แต่กับเด็ก ด้วยนิสัยไม่ประมาทของมันทำให้เธอตายห่ามาแล้วรอบหนึ่ง
“แต่หนูคิดว่าบางคนรอไม่ได้ค่ะ!”
เด็กสาวแย้งเสียงใส
“บางคนในนี้มีแผนจะไปสัมภาษณ์งานใช่ไหมล่ะคะ ลองคิดดูนะคะว่าถ้าพลาดการสัมภาษณ์งานครั้งนี้ คุณอาจจะหางานไม่ได้อีกเลยนะคะ”
จากนั้นเด็กสาวก็หันไปพูดกับผู้หญิงคนหนึ่ง
“ไม่รีบไปสัมภาษณ์งานเหรอคะ ถ้าไปตอนนี้อาจจะยังทันนะคะ แต่ถ้าให้รอจันทร์หายนะหมดลง บางทีทุกๆ อย่างอาจจะสายไปนะคะ”
เด็กสาวต้องรีบแข่งกับเวลาแล้ว ไม่รู้ว่าจันทร์หายนะจะหมดลงเมื่อไหร่ ระหว่างที่มันกำลังขึ้นอยู่ตอนนี้ นี่เป็นโอกาสในการล้างแค้นไอ้มัตสึโมโตะ
“จริงๆ แล้วฉันสามารถรอสอบสัมภาษณ์ครั้งหน้าได้”
อีกฝ่ายพึมพำ
“นี่หนู จันทร์หายนะนั่นอันตรายมากนะ ไม่มีใครยอมเสี่ยงออกไปกันหรอกต่อให้จะมีร่มก็ตาม”
ทำไมกันน้า โลกใบนี้ถึงไม่มีคนโง่ให้มากกว่านี้กันนะ เธอจะได้ควบคุมได้ง่ายๆ หน่อย ช่วยอย่ามาฉลาดในเวลาที่เธอไม่ต้องการจะได้รึเปล่า?
“แต่…ถ้าเป็นแบบนั้นคุณก็จะมีประวัติด่างพร้อยในการทำงานนะคะ”
ยูริจ้องหน้าอีกฝ่าย
“บริษัทจะจดจำคุณในฐานะของคนที่มาสายในการสัมภาษณ์งานนะคะ ถึงจะอ้างว่ามีจันทร์หายนะ แต่บริษัทน่ะไม่ต้องการคนที่เห็นชีวิตตัวเองสำคัญกว่างานหรอกค่ะ”
“แต่ถ้าคุณพร้อมจะสละงานที่ตัวเองพยายามสอบเข้าอย่างยากลำบาก ก็ตามสบายนะคะ”
“ยูริจัง!” ฮันน่าเอ็ด “ไปพูดแบบนั้นได้ยังไง?”
“ขอโทษด้วยค่ะ” เด็กสาวก้มหัวลงเล็กน้อย “หนูก็แค่อยากจะช่วยให้พวกคุณไปทำงานของตัวเองทันก็เท่านั้นเอง”
หญิงสาวที่ยูริพูดด้วยในตอนแรกทำสีหน้าครุ่นคิดและลำบากใจ เป็นอย่างที่เด็กนี่พูด ถ้าเธอไปสัมภาษณ์งานไม่ทันเธอก็อาจจะมีประวัติเสื่อมเสียได้ การหางานในครั้งหน้าก็จะยากลำบากกว่าเดิมมากนัก
ที่บ้านของเธอมีน้องสาวสองคนกำลังรออยู่ นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครในบ้านที่สามารถทำงานได้เลยสักคน ย่าก็ป่วยติดเตียง พ่อดันชิงด่วนจากไปเพราะวัณโรค แม่หอบเงินก้อนโตหายไปตั้งแต่เธอยังเด็ก
ถ้าเธอไม่อาจหางานได้ล่ะก็ ครอบครัวจบสิ้นแน่
เธอนำสิ่งที่เด็กน้อยพูดมาคิดเป็นจริงเป็นจัง บางทีเธออาจจะลองเสี่ยงถือร่มออกไปตามที่อีกฝ่ายบอก ถึงจะอันตรายแต่ก็คุ้มที่จะลองเสี่ยง เธอไม่สามารถเสียเวลาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
เธอหยิบร่มในกระเป๋าออกมา และตัดสินใจที่จะกางมันเพื่อป้องกันจันทร์หายนะ ก่อนจะเดินฝ่าฝูงชนที่มองเธอด้วยสายตาตกตะลึงออกไป
“นี่คุณ มันอันตรายนะ” มัตสึโมโตะรีบห้าม “รอก่อนเถอะครับ”
“อย่ามายุ่งกับฉัน” หญิงสาวมองด้วยสายตาเขม็ง “ฉันมีร่ม และจะออกไปจากที่นี่”
จากนั้นเธอก็เดินไปที่ทางออกของร้าน ก่อนจะผลักประตูเปิดออก และเดินออกไป และหันมาบอกกับคนพวกนั้น
“เห็นไหมล่ะ? ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย บางทีแม่หนูนั่นอาจจะพูดถูกก็ได้ อย่าปอดแหกไปหน่อยเลยน่า”
โดยไม่รีรอ หญิงสาวหันหลังและเดินจากไป ภาพนั้นทำให้ผู้คนในห้างต่างพากันขบคิดอย่างหนัก ร่มช่วยป้องกันผลกระทบจากจันทร์หายนะได้จริงๆ หรือ? แต่มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร บางทีผลของมันอาจจะแค่ยังไม่แสดงผลก็ได้
อ่า สำเร็จ ดูเหมือนทักษะโน้มน้าวของเธอจะยังคงดีเยี่ยมอยู่ และถ้าเป็นไปตามแผนล่ะก็…
“ดูเหมือนเธอจะไม่เป็นอะไรนะ พวกเราออกไปด้วยกันดีไหม?”
“จะบ้ารึไง? ใครๆ ก็รู้ว่าจันทร์หายนะมันอันตรายมากแค่ไหน ขนาดเด็กอมมือยังรู้เลย ไม่เอาอะ ฉันไม่กล้าเสี่ยงกับอะไรแบบนี้”
“แต่แบบนั้นพวกเราจะเสียเวลาไปร่วมงานเลี้ยงตอนบ่ายนะ ไม่รู้ว่ามันจะหายไปตอนไหนด้วย”
ผู้คนเริ่มถกเถียงกันถึงสิ่งที่ควรทำในสถานการณ์นี้ คนที่ไม่ได้มาด้วยกันตั้งแต่แรกก็ไม่ได้สนใจกันเองมากนัก พวกนั้นมีแนวคิดว่าคนแปลกหน้าจะเลือกไปหรือไม่ไปก็ช่างพวกมันเถอะ
แต่สำหรับคนที่เป็นครอบครัว เพื่อน หรือญาติ พวกนั้นเถียงกันเองว่าตกลงควรไปหรือไม่ควรไป มีครอบครัวหนึ่งที่คนเป็นแม่ตัดสินใจว่าควรจะใช้ร่มสำหรับฝ่าจันทร์หายนะออกไป แต่คนเป็นพ่อได้ทำการคัดค้านและบอกว่ามันเสี่ยงอันตรายเกินไป จนสุดท้ายความตึงเครียดก็นำพาไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง
เป็นไปตามแผน เด็กสาวคิด ดวงตาสีแดงเป็นประกายอย่างชั่วร้าย ผู้คนเริ่มขัดแย้งกันเอง ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ค่อนข้างตึงเครียด ทำให้พวกนั้นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกฝ่ายที่คิดจะออกไป ฝ่ายที่สองคือฝ่ายที่จะอยู่ที่นี่ต่อ
ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันนำพาความขัดแย้งรุนแรงมาได้เสมอ แต่เด็กสาวมีวิธีที่จะ ‘ช่วยแก้สถานการณ์นี้’ ได้ พวกนั้นจะต้องขอบคุณเธอที่เสนอทางออกมาให้
“เอ่อ…” ขณะที่เธอกำลังจะยื่นข้อเสนอให้อยู่นั้น มัตสึโมโตะก็ได้ชิงพูดขัด
“ผมมีไอเดียดีๆ ที่จะช่วยให้พวกคุณปลอดภัย”
หมอนั่นเอ่ยพลางมองมาที่เด็กสาวชั่วขณะ เขาคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นแผนของเด็กคนนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว ถึงจะไม่มีหลักฐานก็ตาม แต่เขาจะไม่ยอมเสี่ยงให้ยัยเด็กนี่พูดอะไรเพิ่มอีกแล้ว
“ไอเดียดีๆ ยังไง?” ชายคนหนึ่งถาม ท่าทางหงุดหงิดตลอดเวลา
“ให้ทุกคนเปิดโหวตกัน ใครที่มีจุดประสงค์จะไปก็ให้ไปพร้อมๆ กับคนอื่นๆ ส่วนใครที่จะอยู่ต่อก็ให้รวมตัวกันที่นี่”
ชายหนุ่มพยายามอธิบายสถานการณ์อย่างใจเย็น
ชิ เด็กสาวเดาะลิ้น นั่นมันหนึ่งในสิ่งที่ฉันตั้งใจจะเสนอไอ้พวกนี้นี่
เป้าหมายของเธอคือการสร้างความรู้สึกขอบคุณให้ไอ้คนพวกนี้ด้วยการเสนอแนวทางแก้ปัญหาให้ ปัญหาที่เธอเป็นคนก่อ สร้างเองแก้เองหรืออะไรแบบนั้น แต่เธอกลับถูกคู่ปรับในโลกเก่าชิงตัดหน้าไปซะก่อน
เอาเถอะ ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน มัตสึโมโตะน่ะฉลาด เธอรู้ว่าไอ้หมอนี่ต้องสงสัยแล้วแน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดคือแผนของเธอตั้งแต่ต้น บางทีถ้าเคลื่อนไหวมากไปอาจจะเป็นอันตรายได้
ไม่สิ ยังมีวิธีหนึ่ง เธอคิด
“แล้วคนที่เป็นครอบครัวเดียวกันล่ะคะ?”
เธอถาม
“บางคนในครอบครัวมีความเห็นไม่ตรงกันค่ะ การเปิดโหวตไม่น่าจะช่วยอะไรได้นะคะ”
ดูซิว่าแกจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไง ถ้าหาทางออกให้กับสถานการณ์นี้ไม่ได้ความน่าเชื่อถือของมัตสึโมโตะก็จะลดลงฮวบฮาบ และเธอจะใช้จังหวะนั้นกลับมาควบคุมผู้คนดังเดิม
เกมจิตวิทยางั้นหรือ? ชายหนุ่มจ้องเด็กสาวเขม็ง คงคิดจะทำลายความน่าเชื่อถือของฉันใช่ไหมล่ะ? ยัยเด็กนี่เป็นใครกันแน่ ท่าทางและคำพูดคำจาไม่เหมือนเด็กเลยแม้แต่น้อย
“สำหรับคนในครอบครัว เพื่อน หรือญาติ ผมรู้ว่าพวกเขาไม่อาจเปิดโหวตได้”
ฟุมิเริ่มอธิบายทุกๆ อย่างอย่างใจเย็นและมีเหตุผล ในสถานการณ์แบบนี้ถ้ามีใครสักคนสติแตกขึ้นมา มีหวังเลือดคงได้นองที่แห่งนี้แน่ และร้านของเขาก็จะได้รับผลกระทบด้านลบไปเต็มๆ
“ดังนั้นตอนนี้ผมจะขอให้ทุกคนแบ่งกลุ่มออกมา คนที่มาคนเดียวกับคนที่มากับครอบครัว ขอให้แยกกันด้วยครับ”
ผู้คนทำตามที่เขาบอก มีคนอยู่ในที่แห่งนี้ราวๆ สี่สิบคน มีคนราวๆ สิบห้าคนที่มาคนเดียวและไม่ได้มากับครอบครัว ส่วนที่เหลือคือพวกที่มากับครอบครัวและเพื่อนหรือญาติของตัวเอง
“เอาล่ะ ทีนี้ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นมาแล้ว”
มัตสึโมโตะยิ้ม
“ตอนนี้ผมจะโฟกัสไปที่คนที่มาคนเดียวก่อน ขอให้คนที่ต้องการจะออกไปช่วยแยกตัวออกมาแล้วมารวมกลุ่มกันตรงนี้ด้วยครับ”
ชิ สมกับเป็นหมอนั่น เด็กสาวกัดฟัน ทำลายแผนของฉันตลอดเลย บางทีฉันควรจะหาโอกาสจับหมอนี่มาทรมานสักที
มีคนราวๆ ห้าคนที่ต้องการจะออกไปจากที่นี่ มัตสึโมโตะเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยใบหน้ามีความสุข
“งั้นทั้งห้าคนนั้น ช่วยกันกางร่มแล้วเดินชิดกันด้วยนะครับตอนออกไป ร่มหลายๆ คันน่าจะช่วยป้องกันแสงจันทร์ได้”
โดยที่ไม่รอให้พวกนั้นเดินออกไป มัตสึโมโตะหันมาพูดกับพวกที่ยังเหลืออยู่
“สำหรับพวกคุณที่เหลือที่มาคนเดียวและปรารถนาจะรอที่นี่ พวกคุณสามารถไปนั่งที่โต๊ะและสั่งอาหารมาทานได้ฟรีครับ”
ไอ้หมอนี่…ยูริขบคิดในใจ ดูเหมือนว่าพอมาโลกนี้ความสามารถด้านธุรกิจของมันดีขึ้นหลายสิบเท่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอจำได้ว่าหมอนี่ไม่เคยฉลาดในด้านธุรกิจมาก่อนนี่น่า
การที่มัตสึโมโตะบอกให้พวกนั้นกินได้ฟรี ก็คงหวังจะบริการให้คนพวกนั้นประทับใจและนำไปบอกต่อๆ กันสินะว่า ‘ร้านแห่งนี้มีบริการกินฟรีในคืนจันทร์หายนะทรีอาร์ด้วย’ มันจะทำให้ชื่อเสียงของที่นี่เพิ่มพูนขึ้นมาก
ฮึ่ม มันนำแผนการปั่นหัวผู้คนของเธอมาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจได้เชียวหรือ? ร้ายไม่เบา นอกจากจะสามารถแก้สถานการณ์ที่เธอสร้างขึ้นได้แล้ว มันยังสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสขยายชื่อเสียงของร้านได้อีกต่างหาก สามารถนำแผนการของเธอไปแก้ทางและใช้ประโยชน์ได้
ไอ้ห่ารากนี่…น่าหงุดหงิดฉิบ
“สำหรับคนที่มาพร้อมกับครอบครัว ให้ช่วยใจเย็นๆ และเปิดโหวตกันเองในครอบครัวนะครับ สมมุติถ้ามีพ่อแม่ลูก สมาชิกในครอบครัวจะมีราวๆ สามคนใช่ไหมล่ะครับ ถ้าเปิดโหวตแล้วมีคะแนนเสียงเกินครึ่งว่าจะให้ออกไปหรืออยู่ที่นี่ ก็ให้ทำตามนั้นนะครับ”
และหลังจากจัดการปัญหาทุกอย่างได้อย่างมืออาชีพ ก็มีคนเหลือที่นี่ราวๆ สิบเจ็ดคนเท่านั้น รวมถึงยูริและฮันน่าด้วย แน่นอนว่าไม่รวมคนที่อยู่นอกผลโหวตอย่างฟุมิ มัตสึโมโตะ
“แก้ปัญหาได้อย่างมืออาชีพมากเลยนะคะ”
ฮันน่ากล่าวอย่างชื่นชม ยูริกัดฟันกรอดอย่างอารมณ์เสีย ตอนแรกเธอกะว่าจะสร้างความวุ่นวายด้วยการปลุกปั่นผู้คน ซึ่งมันก็ได้ผล แต่แล้วไอ้ห่ารากนี่ก็มาขัดขวางและทำแผนของเธอพังหมด
ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ