ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 17 การไปงานศพ
ยามรัตติกาลได้มาถึงอีกครั้ง วาคาดะ ซายูรินั่งอยู่ปลายเตียงพลางอ่านหนังสือคำศัพท์ของภาษารัตติกาลอยู่ ด้วยความที่เด็กสาวอยากจะปกปิดกับฮันน่าว่าตัวเองนั้นสามารถอ่านภาษารัตติกาลได้ ทำให้เธอจำใจต้องแสร้งทำเป็นหยิบมันขึ้นมาอ่าน
“อะ แอป แอปเปิ้ล”
เธอแสร้งทำเป็นดัดเสียงให้ดูคล้ายกับคนหัดอ่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ฮันน่าสงสัยเธออีกครั้ง แวมไพร์สาวนอนอยู่บนเตียง เท้าชี้มาทางเด็กสาวที่กำลังนั่งอ่านหนังสือ อีกฝ่ายงีบหลับด้วยความง่วงงุน
ระหว่างที่กำลังอ่านอยู่นั้นเอง ยูริได้ครุ่นคิดถึงแผนการที่เธอคิดจะทำต่อจากนี้ ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เธอไปหลอกเด็กไร้บ้านสองคนนั้นเอาไว้ว่าตัวเองคือเทวทูตที่จะมาพัฒนาเขตสลัม ทำให้ตัวเธอจะต้องเดินทางไปที่นั่นเป็นบางครั้ง
ปัญหาของการเดินทางไปที่นั่นก็คือ เธอเคยติดเชื้อวัณโรคมาครั้งหนึ่ง ทำให้ไม่รู้ว่าถ้าไปที่นั่นอีกจะรอดกลับมาเป็นครั้งที่สองหรือไม่ มาร์คัสก็ใช่ว่าจะว่างมารับเธอตลอด และที่สำคัญ บางทีหมอนั่นอาจจะตายห่าไปแล้วก็ได้ เพราะก่อนหน้านี้เธอเผลอนำเชื้อวัณโรคไปแพร่ให้หมอนั่น
รอบแรกเธอประมาทเกินไป บางทีเพราะกลายเป็นเด็กเจ็ดขวบเลยทำให้กระบวนการคิดด้อยลง ผนวกกับที่พึ่งมายังโลกใบนี้ บางทีดวงวิญญาณในร่างเก่าอาจจะยังผสานเข้ากับร่างใหม่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ในตัวเธอมีทั้งด้านที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ปะปนกันก็เป็นได้
น่าสมเพชฉิบหาย เธอถอนหายใจเบาๆ อะไรคือการที่วันนั้นตัวเองหุนหันพลันแล่นแล้วนั่งรถม้าไปที่เขตสลัมโดยเตรียมตัวแค่นิดเดียว เอามีดไปแค่เล่มเดียวกัน? โคตรอันตรายเลยไม่ใช่หรือ? นั่นมันการกระทำของคนบ้า ถึงเธอจะโรคจิตแต่เธอก็ควรจะมีสติมากกว่านี้สิ
คราวก่อนเธอรอดมาได้เพราะโชค แต่คราวนี้อาจจะไม่เป็นอย่างงั้นแล้ว ดีหน่อยที่เด็กสาวเป็นพวกเรียนรู้จากความผิดพลาดได้เร็ว แค่พลาดรอบเดียวก็ไม่มีวันลืมแล้ว
แต่ถ้าพลาดขึ้นมา สักวันเธออาจจะ…
โดยที่สมองยังคงครุ่นคิด เธอแสร้งอ่านหนังสือต่อไป บังคับให้ดวงตาจดจ่อกับคำศัพท์และแสร้งอ่านออกเสียง หลังจากที่โดนฮันน่าทักท้วงเรื่องที่ชอบคิดอะไรไปเรื่อยอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอเริ่มที่จะฝึกการแยกสมองออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกส่วนที่ใช้ขบคิดกับตัวเอง ส่วนที่สองคือส่วนที่ใช้แสดงการกระทำต่างๆ ให้คนอื่นเห็นและตบตาผู้อื่น
หวังว่าวิธีนี้จะไม่ทำให้เธอกลายเป็นบ้าไปซะก่อนนะ แต่ให้คนโรคจิตอยู่แล้วมากังวลเรื่องแบบนี้มันก็ยังไงๆ อยู่
ทำไงดีล่ะ สำหรับเรื่องของการไปที่เขตสลัมนั่นแล้วไม่ติดเชื้อวัณโรคมาอีก เธอไม่รู้ว่าควรทำยังไง สวมหน้ากากอนามัยไปดีไหมนะ? แต่วิธีนั้นมันค่อนข้างไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่ ไม่มีแววว่าจะป้องกันได้แม้แต่น้อย และเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าวัณโรคของโลกใบนี้แตกต่างจากโลกเก่ามากแค่ไหน
“ยูริจางงง”
ด้วยเสียงของคนอ่อนเพลีย ฮันน่าลืมตาขึ้นเล็กน้อย
“เขย่าขาทำไมมม”
ดูเหมือนว่าเมื่อเด็กสาวคิดปัญหาเหล่านี้มากเกินไป เธอจึงเผลอเขย่าขามากเกินไปหน่อย ฮันน่าจึงตื่น
“ขอโทษค่ะ”
“ตอนนี้ดึกแล้ว นอนเถอะ” ฮันน่าปิดปากหาวเบาๆ “พรุ่งนี้เราต้องไปงานศพแต่เช้านะ”
เด็กสาวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหวาดระแวง เธอยังจำได้ถึงตอนที่จู่ๆ ก็โดนอีกฝ่ายกอดรัดและดูดเลือดไป แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกว่ามันเป็นการรักษาวัณโรคให้ก็เถอะ แต่ถ้าโดนแบบนั้นเข้าไปเป็นใครก็ต้องระแวงนานเป็นปกติ
เดี๋ยวนะ รักษาโรค…
จริงด้วย! ทำไมเราถึงคิดไม่ถึงกันนะ บางทีเราอาจจะขอให้ฮันน่าช่วยร่ายเวทหรืออะไรสักอย่างเพื่อป้องกันเชื้อวัณโรคให้ได้นี่ เท่านี้เราก็จะสามารถเดินทางไปยังถนนเตาไฟได้อีกครั้งโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดเชื้อแล้ว เหมือนเดินเข้าไปในดงซอมบี้โดยไม่ต้องกลัวพวกมันกัดแล้วติดเชื้อยังไงล่ะ
ว่าแต่การป้องกันโรคของแวมไพร์มันจะเหมือนกับตอนที่รักษารึเปล่านะ? หวังว่าจะไม่ เด็กสาวสลัดความคิดแปลกๆ ในหัว ถ้าเกิดว่าต้องใช้วิธีเดียวกันนี่ไม่แปลว่าเธอจะต้องรู้สึกดีไปอีกรอบรึยังไงกัน?
เมื่อคิดไปคิดมาเธอก็หน้าแดงเล็กน้อย ให้ตายสิ ทำไมเราต้องคิดมากกับเรื่องนั้นด้วย? แค่ป้องกันโรคได้ ต่อให้จะต้องถูกกัดอีกสักรอบมันก็คุ้มค่าไม่ใช่หรือ?
เด็กสาวตอนนี้สวมชุดนอนสีขาว มันเบาบางและค่อนข้างพริ้วไหว ส่วนฮันน่าในตอนนี้สวมชุดนอนสีดำซึ่งผ้ามีลักษณะบางเบาจนสามารถเห็นผิวได้นิดหน่อย วาคาดะ ซายูริเอื้อมมือไปปิดไฟตรงหัวเตียงโดยพยายามเลี่ยงการมองอีกฝ่ายนานนัก
เมื่อความมืดมิดมาถึง เด็กสาวก็คลำๆ ทางและหาหมอนข้างมากันเอาไว้ไม่ให้ฮันน่าเข้ามาใกล้ได้ ก่อนจะลงไปนอนบนเตียงและดึงผ้าห่มมาใช้ จากนั้นเธอก็นอนตะแคงข้างก่อนจะหลับไป
แต่เนื่องด้วยยังหลับไม่สนิทและครุ่นคิดอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เธอชังใจกับตัวเองว่าจะขอให้ฮันน่าช่วยป้องกันวัณโรคให้ดีหรือไม่ แต่เธอก็กลัวว่าเรื่องมันจะเป็นแบบเมื่อคืนอีก
ความคิดนี้นั้นทำให้เธอลังเลและไม่กล้าขออีกฝ่าย ราวกับเด็กที่ไม่กล้าบอกผู้ปกครองว่าตัวเองป่วยเพราะกลัวโดนฉีดยา
ตึกตัก ตึกตัก หัวใจเต้นระรัวอย่างไร้เหตุผล ทำไมเธอจะต้องตื่นเต้นหรือกังวลขนาดนี้กันล่ะ?
“ยูริจัง นอนได้แล้วน่า พี่ไม่ทำอะไรหรอก โถ่”
ฮันน่าเอ่ยเสียงเพลียๆ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสัมผัสความรู้สึกตื่นเต้นจากเด็กสาวได้ และด้วยทักษะการอนุมานที่พอใช้ได้ของอีกฝ่าย ทำให้ฮันน่าพอเดาได้ว่าเธอกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
“อะ ค ค่ะ”
ยูริตอบรับอย่างตะกุกตะกัก พลางพยายามข่มตาให้หลับ สำหรับเรื่องป้องกันโรคกับฮันน่า ค่อยไปคิดพรุ่งนี้แล้วกัน ใช่แล้ว ค่อยไปคิดพรุ่งนี้…
พื้นแข็งๆ เด็กสาวสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังแนบเนื้อเธออยู่ตอนนี้ ความแข็งกระด้างของมันทำให้เธอรู้สึกทรมานเล็กน้อย เมื่อลืมตาตื่นขึ้นก็พบว่ารอบๆ ตัวเธอนั้นมิใช่ผ้าห่ม หมอนนุ่มๆ และผ้าปูเตียงอุ่นๆ อีกต่อไป หากแต่เป็นพื้นห้องที่ทำมาจากไม้
หืม เรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน? เด็กสาวพยายามยันตัวเองลุกขึ้น พบว่ามีหมอนและผ้าห่มกระจัดกระจายบนพื้น รู้สึกระบมที่หลังเล็กน้อย เมื่อเธอมองไปที่ฮันน่าก็พบว่าอีกฝ่ายนอนดิ้น และเป็นตัวการที่ทำให้เธอนอนตกเตียง
คืนแรกที่นอนด้วยกันฮันน่ายังไม่เห็นจะนอนดิ้นเลยไม่ใช่หรือ? หรือเป็นเพราะผลกระทบจากการดูดเลือดของเธอไปทำให้อีกฝ่ายไม่นอนดิ้นกัน? หรือบางทีฮันน่าอาจจะเป็นพวกนอนดิ้นถ้าไม่ได้ดื่มเลือดกันนะ
“พี่คะ!!”
เธอหยิบหมอนฟาดอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะหงุดหงิด แต่เธอรู้ว่าอีกฝ่ายตื่นยากมาก แม้จะตื่นเช้ามาทำอาหารให้เธอทันทุกเช้า แต่หลังจากทำงานเสร็จก็มักจะไปงีบหลับในห้องนอนเสมอๆ ดังนั้นการเอาหมอนฟาดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ไม่ตื่นงั้นหรือ? บางทีเอาแจกันฟาดซะทีก็น่าจะได้ล่ะมั้งนะ แต่แบบนั้นแจกันได้แตกและต้องจ่ายค่าเสียหายให้โรงแรมกันพอดี
ขณะที่คิดว่ากำลังจะทำยังไงอยู่นั้น เสียงสะลึมสะลือของแวมไพร์ขี้เซาก็ดังขึ้น
“พี่ตื่นแล้ว แล้วทำไมหมอนกับผ้าห่มกระจัดกระจายแบบนั้นล่ะ?”
ยังมีหน้ามาถามอีกหรือ? ที่ผ่านมาเธอนอนยังไงไม่ให้บ้านตัวเองพังกัน? เอาเถอะ บางทีอีกฝ่ายอาจจะนอนดิ้นแบบนี้เป็นปกติ—ไม่สิ ยิ่งปกติยิ่งแย่ไม่ใช่รึไง? มีวิธีไหนแก้อาการนอนดิ้นได้อีกรึเปล่านะ?
“อ้อ เอิ่ม”
ฮันน่าลุกขึ้นนั่งและเกาท้ายทอยอย่างอายๆ
“ขอโทษด้วยนะยูริจัง คือปกติถ้าพี่ไม่ได้ดื่มเลือดพี่ก็จะนอนดิ้นแบบนี้ตลอดน่ะ รวมไปถึงตื่นยากด้วย ฮะฮะ”
นั่นปะไร เด็กสาวกลอกตาเล็กน้อย ช่างมันแล้วกัน ตอนนี้เช้าแล้ว ถ้างานศพจัดขึ้นตอนเช้าจริงก็แปลว่าพวกเราสายแล้วไม่ใช่หรือ
เมื่อเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ฮันน่าทำสีหน้าฉงนอยู่ครู่หนึ่ง เด็กสาวจึงชี้ไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์สีทองจางๆ สาดส่องผ่านม่านหมอกเผยให้เห็นยามรุ่งอรุณของตัวเมือง
“อ้อ”
ฮันน่าพึ่งนึกขึ้นได้
“ถึงพี่จะบอกว่าจัดงานตอนเช้า แต่ตอนเช้าที่ว่านั่นเป็นเวลารวมแขกน่ะ เวลาจัดงานจริงๆ คือตอนสายๆ ต่างหาก ตื่นตอนนี้ก็ยังทันนะ”
แล้วไป เธอก็กังวลเก้อเลย
“ตอนนี้ยูริจังไปอาบน้ำก่อน แล้วพี่จะอาบทีหลังนะ”
ฮันน่าปิดปากหาว
“ราตรีสวัสดิ์”
พี่คะ นี่มันตอนเช้าแล้วนะ ถึงในหลายๆ ครั้งฮันน่าจะดูเหมือนคุณแม่ที่มีนิสัยใจดีและอบอุ่นแถมทำอาหารเก่ง แต่เธอก็มีมุมแบบนี้ด้วยเหมือนกันสินะ
หลังจากอาบน้ำเสร็จชุดที่เธอใส่ก็เป็นชุดกึ่งพิธีการสีขาว ชายผ้ายาวคลุมขาและเนื้อผ้าบางเบา ตัวเสื้อเชื่อมติดกับกระโปรงทรงแคบ ชายกระโปรงยาวจนถึงข้อเข่าทำให้ตัวชุดดูเรียบร้อยและมีมารยาท ไร้ซึ่งเครื่องประดับใดๆ บนนี้
โดยรวมนับว่าเป็นชุดงานศพที่พอใช้ได้ เมื่อฮันน่าออกมาอีกฝ่ายก็สวมชุดแบบเดียวกัน พิธีศพนี้จะต้องสวมชุดสีขาวกันทุกคน แม้แต่บาทหลวงเองก็เช่นกัน สีขาวคือการให้เกียรติคนตาย
หลังจากนั้นสองสาวก็ออกไปจากโรงแรมและนั่งรถม้าไปยังสถานที่จัดงานศพ ดูเหมือนว่าคราวนี้คนขับรถม้าจะไม่ใช่มาร์คัส…หมอนั่นป่วยตายรึยังนะ อยากไปดูด้วยตาตัวเองจริงๆ
ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง รถม้าก็มาจอดข้างๆ ป่าแห่งหนึ่ง มันเป็นป่าขนาดเล็กที่มีหลุมศพมากมายเรียงราย เด็กสาวเห็นผู้คนจำนวนหนึ่งที่มาที่นี่พร้อมกับชุดสีขาวเหมือนกับเธอ
หลังจากจ่ายเงินให้คนขับรถม้าและนัดว่าให้มารับในอีกสองสามชั่วโมง ทั้งคู่ก็เดินไปยังจุดนัดรวมตัวของญาติและคนรู้จักของผู้เสียชีวิต
วาคาดะ ซายูริกวาดตามองไปรอบๆ บางหลุมศพก็ไม่มีชื่อสลักเอาไว้ บางหลุมก็มีชื่อพร้อมกับเครื่องประดับต่างๆ มากมายติดเอาไว้ ถ้าให้เธอเดา หลุมที่ไม่มีแม้แต่ชื่อพวกนั้นคงเป็นหลุมศพของชนชั้นล่างที่ไม่มีเงินมากพอจะตกแต่งหลุมศพหรือจ้างคนมาสลักชื่อลงไป
“หลุมบางหลุมเป็นหลุมของทหารที่ตายจากสงครามด้วยนะ”
ฮันน่าเล่าขณะที่พวกเธอเดินไปพูดคุยกับคนอื่นๆ ซึ่งเด็กสาวไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย
“บางคนเป็นศพไร้ญาติน่ะ ถึงได้ไม่มีใครรู้ชื่อ จนสุดท้ายก็ถูกฝังโดยที่ไม่ได้สลักอะไรเอาไว้”
พวกเธอเดินมาถึงลานกว้างที่ปราศจากหลุมศพ ตัวลานถูกปูด้วยหญ้าที่ถูกตัดแต่งจนเรียบและสะอาดสะอ้านมาก มีโลงศพวางเอาไว้บนแท่นตั้งโลงพร้อมกับคนหลายคนที่มาเฝ้าศพนั่น
“ทั้งหมดนี่คือญาติของมิสเตอร์ไบรอัน?”
เด็กสาวถามอย่างฉงน ลืมใช้คำสุภาพ ถ้าจริงล่ะก็ญาติของชายคนนั้นจะเยอะเกินไปแล้ว ทั้งหมดมากระจุกรวมกันราวกับเส้นผม และยังร้องไห้เหมือนๆ กันหมดราวกับนัดกันมายังไงยังงั้น และด้วยความที่เธอเชี่ยวชาญในการแสดงมาก เธอระบุได้เลยว่าหลายคนในที่แห่งนี้ก็แค่แสดงละครเท่านั้น
แถมเป็นการแสดงแบบขอไปทีเสียด้วย
“ไม่ใช่”
ฮันน่าส่ายศีรษะ
“ยูริจังคงไม่รู้จักอาชีพรับจ้างร้องไห้หน้าหลุมศพใช่ไหม? เรียกง่ายๆ ว่าอาชีพรับจ้างเศร้าน่ะ”
เป็นอาชีพที่ชื่อห่วยแตกชะมัด เด็กสาวพึมพำ แปลว่าคนพวกนั้นก็ไม่ใช่ญาติจริงๆ แต่แค่ถูกจ้างมางั้นสิ? ทำไมมันดูเศร้าๆ อย่างนี้นะ
“ปกติของชนชั้นกลางที่อยากไต่เต้าตัวเองเป็นชนชั้นสูงล่ะนะ ขนาดงานศพยังต้องจ้างคนอื่นเพื่อให้มาเสียใจที่ตัวเองตายเลย”
ฮันน่ายักไหล่ด้วยความรู้สึกขำขันให้กับชะตากรรมของผู้ตาย มันเป็นความขำขันที่เจือความเศร้าสร้อยเล็กน้อย
“ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ยูริจังไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ก่อนก็ได้นะ พิธีน่ะต้องรอสักพักแหละ”
จากนั้นฮันน่าก็ก้มตัวมากระซิบกับเด็กสาว
“พี่รู้ว่ายูริจังคงเบื่อถ้าต้องมาฟังหลวงพ่อสวดศพ ดังนั้นตอนนั้นพี่อนุญาตให้ไปหาของอร่อยๆ แถวๆ ร้านค้ากินได้ แต่ห้ามไปไหนไกลนะ”
ฮันน่า พี่จะใส่ใจความรู้สึกคนอื่นมากไปแล้ว แวมไพร์จงเจริญ! พี่ฮันน่าจงเจริญ!
แต่จะดีกว่านี้มากถ้าไม่ต้องไปเล่นกับเด็กๆ ที่เป็นญาติของมิสเตอร์ไบรอันด้วย เธอไม่ใช่เด็กเสียหน่อย
เฮ้อ เอาเถอะ ถึงจะไม่ชอบอย่างไรเธอก็เป็นคนที่รู้จักแยกแยะนะ
การได้ทำความรู้จักกับญาติๆ ของมิสเตอร์ไบรอันผ่านลูกๆ ของพวกเขาก็เป็นการสร้างเครือข่ายที่ดีเช่นกัน
ผูกมิตรกับชนชั้นกลางเข้าไว้มันได้ประโยชน์ไม่ใช่รึยังไง?