ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 18 การทะเลาะเบาะแว้งที่แสนจะเข้าทางฆาตกร
- Home
- ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!
- ตอนที่ 18 การทะเลาะเบาะแว้งที่แสนจะเข้าทางฆาตกร
ในที่จัดงานศพแห่งนี้ถูกแบ่งออกหลายโซน
มีทั้งโซนฝังศพที่ศพของผู้ตายจะถูกนำไปฝังเอาไว้ที่นั่น เป็นโซนที่เด็กสาวเห็นตอนที่มายังที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก
มีโซนสำหรับการกินอาหารและนั่งพักสำหรับญาติๆ ของผู้ตาย รวมไปถึงโซนทำพิธีที่จะอยู่ติดกับโซนฝังศพ
ซึ่งโซนทำพิธีนั่นคือลานกว้างที่วาคาดะ ซายูริกับฮันน่าเจอในตอนแรก บาทหลวงจะมายืนหน้าโลงศพและสวดมนตร์ต่างๆ ในพิธี ซึ่งเด็กสาวก็หาได้สนใจมันแม้แต่น้อย
และมีโซนหนึ่งซึ่งเป็นโซนสำหรับให้เด็กๆ ทำความรู้จักกันโดยเฉพาะ หรือจะเรียกว่าเป็นโซนเด็กเล่นก็ได้
ถึงแม้ว่าชื่อโซนจะดูไม่เหมาะกับงานศพแบบนี้เลยก็ตามเถอะ
แต่ผู้ที่คิดค้นรูปแบบการจัดโซนในพื้นที่งานศพแบบนี้ได้คิดมาอย่างดีแล้วว่าการทำโซนให้พวกเด็กๆ ได้ไปปลดปล่อยนั้นเป็นไอเดียที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
ในช่วงเวลาที่น่าเบื่ออย่างงานศพ จะทำให้พวกเด็กๆ ไม่บ่นโวยวายหรือรบกวนช่วงเวลาสำคัญแน่นอน
หรือก็คือ ถ้าให้อธิบายโซนเด็กเล่นเป็นภาษาพูด มันคือโซน ‘หุบปากซะอีเด็กเวร ไปเล่นให้ไกลๆ ตีนและอย่ามารบกวนคนอื่นนะ!’
ถึงจะดูป่าเถื่อน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันคือโซนที่ช่วยรักษาความสงบสุขของงานได้ส่วนหนึ่ง ถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีเด็กที่นิสัยแย่เกินเยียวยาจนโซนเด็กเล่นทำอะไรไม่ได้ก็เถอะ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันใช้ได้ผลดีทีเดียว
ในโซนเด็กเล่นจะถูกกางด้วยกระโจมขนาดใหญ่ที่เอาไว้ปกป้องพวกเด็กๆ จากแสงแดดและพายุฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้นกะทันหัน และยังลงเวทมนตร์เอาไว้เพื่อป้องกันปรากฎการณ์จันทร์หายนะทรีอาร์อีกด้วย
ภายในกระโจมที่กว้างใหญ่จะมีโต๊ะที่ไม่มีวันล้มตั้งเอาไว้ บนโต๊ะจะมีขนมขบเคี้ยววางเอาไว้เพื่อให้พวกเด็กๆ ได้อิ่มหนำ
ท่ามกลางเสียงดังเอะอะโวยวายของกลุ่มเด็กๆ ที่อายุไม่เกินไปกว่าเจ็ดแปดขวบ
วาคาดะ ซายูริหาเก้าอี้มานั่งพลางดื่มน้ำจากน้ำผลไม้ด้วยใบหน้าสุดเซ็ง ไม่คิดจะไปทำกิจกรรมไร้สาระที่เด็กพวกนั้นทำอย่างการนำกิ่งไม้มาไล่ฟันกันหรอก
นั่นมันไร้สาระเกินไป และที่สำคัญ จะให้ผู้ใหญ่ที่อายุจริงๆ ตั้งยี่สิบปีแล้วไปเล่นอะไรแบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก
แน่นอนว่าเธอไม่ได้รังเกียจความใสซื่อของเด็กพวกนั้นที่เอาไม้มาฟาดฟันกันต่างดาบหรอก ยิ่งใสซื่อยิ่งหลอกง่าย ถ้าเธอเป็นนายกหรือกษัตริย์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง เธอก็คาดหวังว่าประชาชนของประเทศตัวเองจะมีสมองพอๆ กับลิงบาบูนล่ะนะ
จะได้หลอกใช้งานได้ง่ายๆ ไงล่ะ
คนโง่น่ะน่ารักน่าเอ็นดูเวลาถูกปั่นจนหัวหมุนยังไงล่ะ
เฮ้อ แต่บางครั้งเวลาจะใช้งานใครสักคนก็ต้องดูด้วยว่าคนๆ นั้นเหมาะกับงานนั้นรึเปล่า เธอไม่เห็นเลยสักนิดว่าเด็กพวกนี้จะมีประโยชน์หรือคุณค่าอะไรให้ใช้งาน
“เธอๆ มาเล่นกัน”
เสียงที่ชวนให้รู้สึกได้ถึงความน่ารักและใสซื่อดังขึ้นด้านหลัง
เมื่อเด็กสาวหันไปก็พบกับเด็กผู้ชายที่มีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ผิวออกโทนคล้ำเล็กน้อย ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิดคนของทวีปใต้มักจะมีลักษณะสีผิวแบบนี้ และจะเป็นกันมากในหมู่มนุษย์ธรรมดา
บางทีพ่อและแม่ของเด็กคนนี้อาจจะเป็นชาวทวีปใต้ที่ย้ายมายังทวีปเหนือก็ได้
จะว่าไปเธอได้ยินมาจากฮันน่าว่าในช่วงสงครามมีผู้อพยพจากทวีปใต้จำนวนมากที่ย้ายถิ่นฐานของตัวเองมายังทวีปเหนือด้วย โดยที่ประชากรบางส่วนจบลงด้วยการเป็นคนไร้บ้านในเขตถนนเตาไฟ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกนั้นมีผิวสีคล้ำกว่าปกติเล็กน้อย
“ไม่ล่ะขอบใจ”
เด็กสาวโบกมือเป็นการบอกปัด แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นเพราะมันจะทำให้ดูไม่มีมารยาท เธอแสร้งทำเป็นดูดน้ำจากกล่องผลไม้ทั้งๆ ที่มันหมดไปแล้ว
ไม่ใช่เด็กสักหน่อย ใครจะไปอยากเล่นกันล่ะ
ขอโทษด้วยนะไอ้หนู แต่ฉันไม่ใช่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างที่เห็นภายนอกหรอกนะ อย่างน้อยชาติก่อนก็อายุยี่สิบเข้าไปแล้ว โตกว่าเธอหลายปีเลยล่ะ
“ไม่เอา!”
เด็กคนนั้นร้องโวยวาย เป็นเด็กเอาแต่ใจงั้นหรือ?
“มาเล่นกันน”
จากนั้นเด็กนั่นก็คว้าแขนของยูริ หมายจะดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้น และเอาแต่ร้องคำว่ามาเล่นกันๆ อยู่นั่น ท่ามกลางสายตาของเด็กคนอื่นๆ ที่จับจ้องมาอย่างสนอกสนใจ
วาคาดะ ซายูริเตะข้อเข่าของอีกฝ่ายจนทรุด จากนั้นก็ตบหน้าไปหนึ่งที
เธอไม่ได้โกรธหรืออะไรหรอก อีกฝ่ายมันก็แค่เด็ก และเธอก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะใจเย็น แต่การทำแบบนี้คือการสั่งสอนอย่างหนึ่งที่เธอเรียนรู้มาจากพ่อของตัวเองในโลกเก่า
เอาแต่ใจ? ตบหน้ามันแม่งเลย ความจริงเธออยากจะหักแขนหักขาของอีกฝ่ายด้วย แต่ถ้าทำแบบนั้นมันจะเป็นเรื่องใหญ่เอา อีกอย่างเด็กชายตรงหน้าก็ตัวเล็กนิดเดียว แค่ตบหน้าคงพอแล้วล่ะ
“ฮึก”
เด็กน้อยน้ำตาคลอ เขาตัวเล็กกว่ายูริซะอีก คงเพราะอายุน้อยกว่าล่ะมั้ง ในที่แห่งนี้ยูริมีอายุมากเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่เด็กๆ เลยล่ะ
ขณะที่คนอื่นๆ มีอายุราวๆ ห้าถึงหกขวบกัน เธอเป็นคนเดียวที่อายุเจ็ดปีขึ้นไป ส่วนพวกที่แปดปีขึ้นไปมีราวๆ สองสามคนเท่านั้น
ท่ามกลางความวุ่นวายที่มิแปรเปลี่ยน พวกเด็กๆ ไม่สนใจเด็กชายที่กำลังจะงอแงอยู่มากนัก แน่นอนว่าบางคนมองมาด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงกินขนมและเล่นกันอยู่เช่นเดิม
จนกระทั่งไอ้เด็กนี่ระเบิดเสียงโฮออกมา ขี้แย เอาแต่ใจ สาบานเลยว่าถ้าไอ้เด็กนี่เป็นลูกเธอ คงโดนเธอจับถ่วงบ่อจระเข้ไปแล้วแน่ๆ
เสียงร้องไห้ของอีกฝ่ายนั้นน่าเกลียดราวกับเสียงร้องของฮิปโปที่พยายามผสมพันธุ์กับจระเข้เลยล่ะ
มันให้ความรู้สึกรำคาญหู การแสดงออกของเธอกลายเป็นบิดเบี้ยวพลางคิดว่าจะเอาก้อนหินก้อนไหนอุดปากอีกฝ่ายดี
ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของคนสองคนวิ่งมาทางนี้ ซวยแล้วไง เด็กสาวกลอกตา ท่ามกลางความสนใจจำนวนมากของกลุ่มเด็กๆ และผู้ปกครองที่มองมาทางนี้
ชายหญิงคู่หนึ่งที่มีหน้าตาและสีผมคล้ายกับไอ้เด็กนี่วิ่งมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหอบ
“เกิดอะไรขึ้นเอมิล”
หญิงสาวร่างอวบหอบหายใจ ดวงตาสีน้ำตาล ผมสีน้ำตาลอ่อน ผิวสีคล้ำ คนเป็นพ่อก็มีลักษณะทางกายภาพเช่นเดียวกัน เอมิลชี้มาทางเธอที่กำลังกอดอก
“เธอตบหน้าผม!”
เด็กชายฟ้องในทันที
“ผมแค่พยายามจะชวนเธอไปเล่นอ่าาา แม่ครับ ทำโทษเธอที”
เฮ้อ ไอ้เด็กงี่เง่า ยูริกลอกตาอีกครั้ง ให้ตายเหอะ ใครก็ได้เอามันไปเก็บที เธอยอมจ่ายให้เลยเพื่อที่จะได้หลีกหนีออกไปจากสถานการณ์น่ารำคาญนี่
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เด็กสาวเห็นฮันน่ากำลังวิ่งตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้าสงสัย
“ลูกสาวของเธอตบหน้าลูกของฉัน” มนุษย์ป้านั่นกอดอกพลางเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง “จะรับผิดชอบยังไง?”
คนเป็นพ่อไม่พูดอะไรมากนัก เขาถอนหายใจเบาๆ พลางมองดูสถานการณ์ ท่าทางเขาจะชินชากับเรื่องแบบนี้ไปซะแล้ว
“คะ?”
ฮันน่าอ้าปากค้างเล็กน้อย เธอพึ่งจะสนทนากับคนรู้จักเสร็จ เมื่อเห็นความวุ่นวายก็รีบตรงมาทันที แล้วอีกฝ่ายหมายถึงอะไร? ลูกของเธองั้นหรือ? เธอไปมีลูกตอนไหนกัน?
เมื่อหญิงสาวเหลือบไปเห็นยูริที่กำลังยืนนิ่งพลางทำสีหน้าเบื่อหน่ายราวกับไร้ความทุกข์ร้อน เธอก็พอเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ได้ในทันที
น้องสาวของเธอคงไปทะเลาะกับเอมิลที่เป็นลูกชายของคนตรงหน้า จากการทะเลาะกันของเด็กๆ ก็ลามมาจนกลายเป็นความขัดแย้งของผู้ปกครองซะงั้น
“เฮ้อ”
วาคาดะ ซายูริถอนหายใจ เธอไม่คิดจะแก้ต่างหรอกว่าอีกฝ่ายมากระชากแขนเธอก่อน ด้วยสถานการณ์ตอนนี้แก้ตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายจะพาลโมโหหนักกว่าเดิมซะมากกว่า รอให้สถานการณ์มันดีขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วกัน ตอนนั้นเธอค่อยบอก
การรอจังหวะที่เหมาะสมน่ะ สำคัญจะตายไป ฮันน่า ฉันหวังพึ่งพี่แล้วนะ
“เอ่อ เรามาใจเย็นๆ กันก่อนไหมคะ”
ฮันน่าพยายามประนีประนอม
“ตอนนี้คนมามุงดูกันเพียบเลยล่ะค่ะ มาคุยกันอย่างมีเหตุผลจะดีกว่านะคะ”
ดูเผินๆ มันคือคำพูดปกติธรรมดา แต่ในฐานะของฆาตกรที่เชี่ยวชาญในการใช้จิตวิทยามาก ยูริรู้ได้ในทันทีว่านั่นคือการข่มขู่กลายๆ ของฮันน่า
มันคือการบังคับให้อีกฝ่ายสงบปากสงบคำลง
ชนชั้นกลางพวกนี้ปรารถนาจะรักษาหน้าของตัวเองและทำให้ตัวเองดูดีอยู่เสมอในสายตาคนอื่น ดังนั้นการที่ฮันน่าบอกว่ามีคนมุงดูอยู่ย่อมทำให้อีกฝ่ายตระหนักได้ว่าการหัวร้อนจะทำให้ชื่อเสียงของตัวเองแย่ลง
ถึงฮันน่าจะเป็นคนดี แต่พอเวลาที่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อครอบครัวของตัวเอง อีกฝ่ายก็ทำได้อย่างไม่ลังเล แม้จะต้องใช้การข่มขู่ทางจิตวิทยาแบบนี้ก็ตาม หึหึ ไม่ใช่แวมไพร์ไร้สมองนี่น่า
“ยูริจัง มันเกิดอะไรขึ้น”
ฮันน่าหันมาถาม
“ไปตบหน้าเอมิลทำไม?”
เด็กสาวรอโอกาสนี้มาสักพักแล้ว เธอเล่าทุกๆ อย่างไปตามความจริง แต่แอบเสริมลงไปเล็กน้อยว่าตัวเองเจ็บมากแค่ไหนตอนที่เด็กนั่นมากระชากแขน
การเสริมเติมแต่งอะไรสักอย่างลงไปในเรื่องเล่าของตัวเองย่อมทำให้เรื่องที่เล่ามีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือมากขึ้น
“เฮ้อ”
ชายหนุ่มที่เป็นพ่อของเอมิลกุมขมับ
“ผมบอกคุณแล้วว่าเลิกเลี้ยงลูกแบบตามใจสักทีเถอะ นิสัยเริ่มแย่ขึ้นทุกๆ วันแล้ว”
“คุณเชื่อเรื่องที่เด็กนี่เล่าด้วย? มันตบหน้าลูกเรานะ รับผิดชอบมาซะ”
คนเป็นแม่ยังคงดื้อรั้นและไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่เด็กสาวพูด ดูท่าแล้วจะเป็นคนประเภทที่เลี้ยงลูกแบบโอ๋สุดๆ ไม่คิดจะดุด่าว่ากล่าวและตามใจไปซะทุกอย่าง
ไอ้เด็กนั่นถึงได้กลายเป็นไอ้เด็กนิสัยเสียแบบนี้ยังไงล่ะ บางทีคนที่เป็นพ่ออาจจะละเหี่ยใจกับภรรยาตัวเองมาสักพักแล้วก็ได้
เด็กสาวเกิดอยากพนันกับใครสักคนขึ้นมา พนันว่าคู่รักคู่นี้จะหย่าร้างกันภายในกี่ปี หรือตัวลูกจะกลายเป็นเด็กเหลวแหลกจริงหรือไม่ หึหึ นั่นมันน่าสนุกสุดๆ ไปเลยไม่ใช่รึไงกัน
“รับผิดชอบยังไงเหรอคะ? มันก็แค่การทะเลาะกันของเด็กๆ เองนะคะ”
ฮันน่าทำสีหน้าไม่พอใจอยู่ลึกๆ
เธอเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่ยูริเล่า ไม่อย่างงั้นอีกฝ่ายคงไม่ตบหน้าเอมิลไปหรอก
ที่สำคัญกว่านั้นคือยูริถูกทำร้ายก่อน เธอไม่ใช่ผู้ปกครองสารยำที่มักจะโทษบุตรหลานของตัวเองเป็นอันดับแรกเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นสักหน่อย
“ใช่คุณ อีกอย่างลูกเราก็ไปทำเขาก่อน ผมบอกแล้วไงว่าเลี้ยงแบบตามใจเกินไปมันไม่ดี”
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง สีหน้าของเขาดูราวกับแก่ลงอีกสิบปี
“แต่ลูกเธอตบหน้าลูกฉันก่อน”
ดูเหมือนแม่ของเอมิลจะยังคิดว่ายูริคือลูกของฮันน่า อีกฝ่ายกอดอกและเชิดหน้าขึ้นทำให้ทั้งฮันน่าและยูรินึกอยากจะลากอีกฝ่ายมากระทืบให้ตายคาตีน
“พูดมาได้ยังไงว่ายูริจังไปตบหน้าลูกคุณก่อน?”
ฮันน่าชักจะโมโห
“เห็นๆ อยู่ว่าอีกฝ่ายมากระชากแขนของเธอก่อน อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่อยากไปเล่นแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังดึงดันจะพาไปเล่นด้วยให้ได้ ตามหลักแล้วคนที่ผิดคือลูกของคุณต่างหาก”
“นี่แก…”
อีกฝ่ายกัดฟัน คนเป็นสามีเริ่มถอยห่างราวกับรู้สึกอับอายเหลือเกินที่มีภรรยาแบบนี้
“ไอ้คนที่มีลูกตั้งแต่เด็กๆ แบบแกน่ะเงียบไปเหอะ นังเด็กใจแตก”
สถานการณ์เริ่มบานปลายแล้ว ยูริมองภาพเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยความรู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจ
มันเหมือนกับว่าตัวเธอกำลังรับชมการแสดงโอเปร่าที่มีเนื้อเรื่องชั้นยอดและมีเสียงเพลงที่ไพเราะหรืออะไรแบบนั้น
อ่า สัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดของฮันน่าและความดื้อดึงของนังป้านั่นเลยล่ะ มันทำให้หัวใจของเธอถูกเติมเต็มไปด้วยความรู้สึกมีความสุขและผ่อนคลาย
ถึงฮันน่าจะเป็นคนดียังไงเธอก็มีความรู้สึกโกรธเหมือนกัน เมื่อถูกด่าว่านังเด็กใจแตกเพียงเพราะอีกฝ่ายเข้าใจผิดว่ายูริคือลูกของเธอ แวมไพร์สาวก็เตรียมกางวงเวทขึ้น
ตอนแรกคิดว่าจะเจรจากันได้แล้วเชียว แต่อีกฝ่ายมันงี่เง่าเกินไปหน่อยเท่านั้น
ส่วนพวกคนที่มามุงดูไม่ช่วยห้ามหรืออะไรเลย พวกนั้นต่างรอให้ใครสักคนเป็นคนกลางที่กล้าหาญพอที่จะหยุดการทะเลาะเบาะแว้งนี้
แถมบางคนเป็นพวกที่สอดรู้สอดเห็นและไม่อยากให้ความบันเทิงนี้จบลงอีกต่างหาก
เหอะ ไอ้พวกลิง ยูริพ่นลมออกทางจมูกดังพรืด น่าสมเพชจังเลย
ตอนแรกปัญหามันสามารถจบลงได้ง่ายๆ ด้วยการที่เด็กทั้งสองต้องขอโทษกันและกันและทางผู้ปกครองก็ควรให้สัญญาว่าจะดูแลบุตรหลานของตนให้ดีกว่านี้
มันควรจะเป็นแบบนั้น
แต่ทว่าด้วยการทะเลาะกันแบบเด็กๆ นั่น กลับทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างผู้ปกครองกันซะงั้น
นี่มันงานศพนะ ให้เกียรติผู้ตายหน่อยสิ กรณีนี้คนที่ผิดที่สุดคือฝั่งของแม่เอมิล อีกฝ่ายดื้อดึงเกินไปและยืนกรานว่าเอมิลไม่ผิด ถ้าอย่างงั้น…
“พอเถอะค่ะ”
ซายูริยิ้มมุมปาก เธอจับมือของฮันน่าที่กำลังโกรธจัดให้ใจเย็นลง จำเอาไว้นะพี่สาวของฉัน นี่แหละการแก้ปัญหาแบบผู้ใหญ่ล่ะ
“มิสเตอร์…มาดาม หนูขอโทษคุณหนูเอมิลด้วยนะคะ”
การแก้ปัญหาแบบผู้ใหญ่ที่ไม่เร้าใจ แต่ทว่าได้ผลดีเยี่ยม
“เหอะ”
มาดามร่างท้วมพ่นลมหายใจออกทางจมูก
“สำเหนียกไว้ก็ดี”
“แต่ทว่า—”
วาคาดะ ซายูริชูนิ้วชี้ขึ้นเป็นการบ่งบอกให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม เธอยิ้มกรุ้มกริ่ม ดวงตาเป็นประกายชั่วร้าย
“คุณหนูเอมิลก็ควรขอโทษด้วยเหมือนกันนะคะ”
หน้าของหญิงร่างท้วมบิดเบี้ยวเล็กน้อย ตามมาด้วยสีหน้าฉงน
“ขอโทษ? ทำไมลูกฉันต้องขอโทษแกด้วย”
ทำไมลูกของฉันต้องขอโทษแกด้วยงั้นเหรอ?
ยูริทวนคำของอีกฝ่ายในใจด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
การแสดงออกของเด็กสาวนั้นแสดงให้เห็นถึงใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในจิตใจของเธอตอนนี้กลับด้านชาและเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอรู้จักมันดี
ความรังเกียจ ความเกลียดชัง และความรู้สึกดูถูกอยู่ลึกๆ
ตอนแรกเธอกะว่าจะยอมปล่อยอีกฝ่ายไปดีๆ ไม่คิดจะอาฆาตหรือจองเวรเพราะเห็นว่าอยู่ในงานศพ นอกจากนั้นฮันน่าเองก็อยู่ตรงนี้ด้วย เธอเลยไม่อยากแสดงสันดานของอดีตอาชญากรสักเท่าไหร่
แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนใจแล้ว เธออยากทำลายอีกฝ่าย ครอบครัวของพวกมัน ตระกูลของพวกมัน เธอปรารถนาจะเหยียบย่ำและบดขยี้พวกมันให้ไม่เหลือแม้แต่เศษซากของประวัติศาสตร์
อ่า แกทำให้ฉันโกรธจริงๆ แล้วสิ
“คุณป้าคะ”
“อะไร?”
“ความผิดของหนูเองค่ะ”
ตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริงของเธอในตอนนี้ ยูริเริ่มดัดน้ำเสียงของตนให้ดูสั่นเครือหน่อยๆ มันราวกับว่าเธอกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
“ฮะฮะ—เอ่อ น หนูยอมรับก็ได้ค่ะว่าหนูผิดเอง เอมิล—เอมิลแค่อยากจะเล่นกับหนูเอง บ บางทีหนู หนูอาจจะ—ฟืด อาจจะทำรุนแรงไปหน่อย ข ขอโทษนะคะ”
น้ำตาของเธอไหลออกมาเป็นสาย น้ำมูกเอ่อล้นบริเวณโพรงจมูกเป็นการบ่งบอกว่าเธอกำลังรู้สึกเศร้าเสียใจมากแค่ไหน ไม่ว่าใครมาเห็นก็คงอดสงสารและอดคิดไม่ได้ว่าแม่ของเอมิลทำเกินไปไหม
แน่นอน ตรงกันข้ามกับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นทางนั่น ภายในใจของเด็กสาวช่างเบิกบานราวกับดอกไม้ที่กำลังบานรับวันใหม่
“ยูริจัง…”
ฮันน่ากำหมัดแน่น เธอรู้สึกโกรธ แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ไม่เคยเห็นน้องสาวของเธอร้องไห้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เผลอทำมีดบาดนิ้วจนต้องทำแผล ตอนที่น้ำร้อนลวกจนต้องใช้เวทมนตร์รักษาให้
ทั้งหมดนั่นไม่เคยทำให้ยูริร้องไห้ได้เลย ไม่เคยเลยที่เธอจะแสดงท่าทีอ่อนไหวแบบนี้ออกมา
แม้แต่เรื่องที่ความทรงจำของตัวเองหายไป เธอก็ไม่เคยกังวลกับมันด้วยซ้ำ
แล้วนังป้านี่เป็นใคร และกล้าดียังไงมาทำน้องสาวของเธอร้องไห้!?
ดวงตาสีแดงของแวมไพร์สาวสว่างวาบออกมา เธอจ้องร่างท้วมๆ ของยัยป้านั่นราวกับสัตว์ร้ายที่จ้องจะขย้ำเหยื่อของตน แม้ว่าเธอจะเป็นคนใจดีก็ตาม แต่กรณีนี้น่ะ
เธอจะไม่ใจดีเด็ดขาด ยูริน่ะคือคนในครอบครัวของเธอ มันไม่สำคัญเลยว่าอีกฝ่ายจะทำถูกหรือไม่ที่ไปตบเอมิลแบบนั้น
ความสุขของอีกฝ่ายก็คือความสุขของเธอ และความทุกข์ของยูริก็คือความทุกข์ของเธอด้วย
และใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับยูริ คนๆ นั้นก็เป็นศัตรูกับเธอด้วยเช่นกัน
ฮันน่ากำลังครุ่นคิดว่าจะจับยัยป้าคนนี้ไปทำต้มยำทำแกงยังไงดี
ฮันน่า สีหน้าแบบนั้นมันบ้าอะไร?
ยูริที่กำลังดำเนินการตามแผนถึงกับสะดุ้งสุดตัวเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากอีกฝ่าย
ใจเย็นๆ ก่อนพี่สาว แผนของฉันยังไม่ทันสำเร็จ อย่าทำให้อารมณ์มาครอบงำแบบนั้นสิ
“อ เอมิล ก่อนหน้านี้เราขอโทษนะ เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
โดยที่ทำทีไม่สนใจพี่สาวที่กำลังแผ่รังสีอำมหิต ยูริได้เช็ดน้ำตาก่อนจะเดินไปหาเด็กน้อยที่กำลังดูสถานการณ์ต่างๆ ด้วยใบหน้าสนใจ บางทีไอ้เด็กนี่อาจจะมีประโยชน์ในสถานการณ์นี้ก็ได้
เธอได้ยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย สีหน้าราวกับคนรู้สึกผิดจากก้นบึ้งหัวใจ ดวงตาสีแดงงดงามของเธอทำให้ใครต่อใครที่ได้มองต่างรู้สึกหลงใหลไปตามๆ กัน
“ธ เธอ”
เด็กน้อยได้แต่ทำสีหน้าตกตะลึง
เขาเข้าไปทักอีกฝ่ายด้วยเหตุผลที่ว่าเธอนั้นน่ารักมากๆ แถมยังสวยด้วย
เรือนผมสีขาวเงินแวววาวภายใต้แสงอาทิตย์ ดวงตาสีแดงกลมโตดูสดใส ขัดกับใบหน้านิ่งสงบและดูเป็นผู้ใหญ่นั่น มันทำให้เขาเกิดความหลงใหลตั้งแต่แรกเห็น
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพยายามชวนอีกฝ่ายไปเล่นในตอนแรก แต่พออีกฝ่ายปฏิเสธเขาก็ไม่พอใจขึ้นมา
ไม่เคยมีใครปฏิเสธเขามาก่อน แม้แต่แม่ก็ไม่เคยขัดใจเขาเลยสักครั้ง แล้วยัยคนนี้เป็นใคร กล้าดียังไงมาปฏิเสธเขา?
หากเขาอยากได้อะไร เขาก็ควรได้สิ และยัยนี่ก็เป็นของเล่นชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนั้นมันทำให้เขากระชากแขนของอีกฝ่าย แต่คงจะไปทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเข้า เธอจึงตบหน้าเขาแบบนั้น
ด้วยความโกรธและความอับอาย เขาได้ร้องไห้ออกมาและวางแผนใช้เสียงของตัวเองเรียกพ่อและแม่มาที่นี่
พวกท่านไม่เคยขัดใจเขาเลยสักครั้ง
ดังนั้น หากเขาไล่ต้อนเธอคนนี้ให้จนมุมได้ มันจะเป็นยังไงนะ บางทีเขาอาจจะขอให้พ่อและแม่ของเขาพาอีกฝ่ายกลับไปที่บ้านได้ก็ได้ เขาจะได้สั่งสอนให้หนำใจเลย
และตอนนี้เธอคนนี้ก็กำลังทำสีหน้ารู้สึกผิดอยู่ตรงหน้าเขา หึ คงรู้แล้วสินะว่าการพยายามขัดใจเขามันเป็นยังไง
“ยูริจัง ยูริจังไม่ต้องทำแบบนั้น ยูริจังไม่ผิดสักหน่อย!”
แล้วคนๆ นี้—เอมิลเงยหน้าขึ้นพลางมองพี่สาวของเธอคนนี้
ดวงตาสีแดง ผมยาวสีดำขลับ หน้าอกดูนุ่มนิ่ม อืม เขาเอาเธอกลับไปที่บ้านได้รึเปล่านะ?
บางทีการเอาทั้งสองคนกลับไปพร้อมกันน่าจะเป็นความคิดที่ดี
“เจ็บ เจ็บมากเลย ตบหน้าฉันทำไม!”
เขาโวยวายพลางปัดมือของอีกฝ่ายที่ยื่นมาให้ แสดงทีท่าว่าโกรธเพื่อเป็นการกระตุ้นให้อีกฝ่ายรู้สึกสิ้นหวังกว่าเดิม
หึ คงอยากให้ฉันยกโทษให้สินะ แต่แบบนั้นไม่ได้หรอก ถ้าจะให้ยกโทษให้คงจะต้องขอให้ฟังคำสั่งของฉันเป็นพิเศษ
เอมิลไม่ทันสังเกตรอยยิ้มอันเยือกเย็นของอีกฝ่าย
เอมิล ฉันเดาได้นะว่าตอนนี้นายคิดอะไรอยู่
วาคาดะ ซายูริคิดคำนวณหลายสิ่งเอาไว้ในใจ เธอพอจะคาดเดาได้ถึงลักษณะนิสัยของเด็กชายตรงหน้า
จากพฤติกรรมบังคับให้เธอไปเล่นด้วย พอไม่ได้ดั่งใจขึ้นมาก็จะฟ้องแม่แบบนี้ เดาได้เลยว่าเติบโตมาราวกับไข่ในหินที่พ่อและแม่ประเคนทุกๆ อย่างให้เพียงแค่ร้องขอแน่ๆ
เอมิล นายคงคิดว่าถ้าเรียกพ่อและแม่มาด้วยปัญหาต่างๆ จะคลี่คลายและนายจะได้สิ่งที่ต้องการใช่ไหม? ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอ้สิ่งที่นายต้องการมันคืออะไร
แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ไอ้เด็กน้อย
เอมิลคงวางแผนเอาไว้ว่าจะทำให้พ่อและแม่ของตัวเองมาเข้าข้างและรุมกดดันฉันกับพี่สาวของฉัน และทำทีราวกับว่าคนผิดคือฉัน ส่วนตัวเองเป็นเพียงเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น
ถ้าหากว่าฉันหรือพี่สาวของฉันยอมรับว่าตัวเองผิด เอมิลก็จะสามารถเล่นบท ‘เหยื่อ’ ได้โดยสมบูรณ์ จากนั้นหมอนั่นก็จะเรียกร้องอะไรสักอย่างเป็นค่าเสียหายที่ฉันตบหน้าอีกฝ่ายไป
เช่นเงิน ของเล่น หรือบางทีอาจจะเป็นอย่างอื่น
แต่ไอ้หนู ในกรณีที่จะเรียกค่าเสียหายได้น่ะคือกรณีที่มันร้ายแรงกว่านี้นะ นอกจากนี้ศาลคงจะมองว่ามันเป็นเพียงการทะเลาะกันของเด็กๆ ซะมากกว่า
แกทำอะไรไม่ได้หรอก ต่อให้ฉันจะยอมรับว่าตัวเองผิด สิ่งที่แกได้ไปก็จะมีเพียงความสะใจเท่านั้น
แต่สุดท้ายกฎหมายก็ทำอะไรฉันไม่ได้ เพราะฉันไม่ได้ทำผิดหลักกฎหมายข้อไหนเลยยังไงล่ะ
เป็นเด็กที่ฉลาดดีนะ เล่ห์เหลี่ยมเยอะใช้ได้สำหรับเด็กห้าขวบ แต่แผนของแกมันตื้นเขินไปว่ะ
อายุแค่นั้นคิดจะมาประชันสมองกับฉันงั้นเหรอ? ฉันคนนี้เนี่ยนะ?
คนที่ทำให้รัฐบาลทั่วโลกหวาดผวามาแล้ว คนที่ทำให้ทางการสหรัฐถึงกับระดมทุนใช้เครื่องบินรบเพียงเพื่อฆ่าฉันคนเดียว แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จน่ะนะ?
คนที่ทำให้ประชากรของประเทศญี่ปุ่นตายมาแล้วสิบเปอร์เซ็นต์
คนที่ทำให้เศรษฐกิจของโลกล่มจมและสามารถทำให้ทองคำเสื่อมมูลค่าลงอย่างรุนแรงอะนะ?
คิดว่าไอ้ลูกไม้กากๆ อย่างการฟ้องพ่อแม่มันจะใช้ได้ผลรึไง? นี่ไม่ใช่บ้านของแก หากแต่เป็นโลกภายนอก โลกที่พ่อและแม่ของแกเป็นได้เพียงเศษขยะข้างทาง
ดูหน้าพ่อและแม่ของแกสิ นังป้านั่นยังคงทำสีหน้าสะใจอยู่ แต่พ่อของแกเริ่มหน้าเสียแล้วนะนั่น แปลว่าพ่อของแกน่าจะฉลาดที่สุดในครอบครัวสินะ
“ฉ ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตบแรงขนาดนั้นเลย ฉันแค่รู้สึกเจ็บเลยเผลอตอบสนองแรงไปหน่อย”
สิ่งสำคัญไม่ใช่ความคิดเห็นของแกหรือพ่อและแม่ของแก หากแต่เป็นความคิดเห็นของสังคมต่างหาก
ลองคิดดู สมมุติถ้ามีคนสองคนทะเลาะกันแล้วมีคนหนึ่งเป็นฝ่ายขอโทษอย่างจริงใจและสำนึกผิดจากใจจริง สังคมจะว่ายังไง
ผลก็คือหลายคนก็จะเห็นใจและให้อภัยคนที่ขอโทษอย่างจริงใจอย่างลึกๆ แน่นอนว่ามันจะมีบางคนที่ยังคงด่าและไม่สนใจความจริงที่ว่าคนๆ นั้นได้ขอโทษแล้ว
แต่ความเห็นของชนกลุ่มน้อยนั่นไม่สำคัญหรอก
แต่ สมมุตินะ ถ้าสมมุติว่าอีกคนที่ทำผิดเหมือนกันกลับไม่รับคำขอโทษและเอาแต่หยาบคายรวมไปถึงทำตัวเอาแต่ใจใส่ล่ะ?
ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นฝ่ายผิดจริงหรือไม่ สังคมก็จะก่นด่าคนๆ นั้นอยู่ดี
ยกเว้นในกรณีที่ฝ่ายขอโทษก่อนทำผิดแบบร้ายแรงมากๆ อย่างการไปข่มขืนคู่กรณีหรืออะไรแบบนั้น แบบนั้นต่อให้ขอโทษสังคมก็ไม่ให้อภัยหรอก
แต่ในกรณีแบบนี้มันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นไงล่ะ สังคมย่อมให้อภัยฉันอยู่แล้ว ดูสายตาเอ็นดูปนสงสารของคนพวกนี้ที่กำลังมามุงดูสิ
แถมฉันยังเป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กและน่ารักด้วย ไม่มีใครคิดจริงจังกับการทะเลาะกันของเด็กๆ หรอก
“เจ็บ? แต่เธอก็ทำฉันเจ็บเหมือนกันนะ รับผิดชอบมานะ!”
น่าสนใจ นายทำฉันเจ็บก่อนแท้ๆ แต่คิดจะเล่นบทเหยื่อจนถึงที่สุดเลยสินะ คงคาดหวังปฏิกิริยาตอบสนองของฉันล่ะสิท่า
ก็นะ จะสนองความปรารถนานั้นให้แล้วกัน
“ด ได้สิ ฉันจะทำตามทุกอย่างเลย ขอแค่ให้อภัยฉันก็พอ”
แหวะ คำพูดอย่าง ‘ฉันจะทำตามทุกอย่างเลย’ เนี่ย มันเป็นคำพูดสุดคลาสสิคของนางเอกในพวกมังงะสิบแปดบวกไม่ใช่รึไง?
เอาเถอะ—ฉันไม่ได้เอาไปใช้ในสถานการณ์แปลกๆ สักหน่อย
ฉันเห็นรอยยิ้มของไอ้เด็กเวรนี่แสยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย เป็นเด็กเป็นเล็กหัดใช้เล่ห์เหลี่ยมแล้วงั้นเหรอ ฉันจำได้ว่าตอนสมัยเด็กๆ ฉันยังไม่เจ้าเล่ห์แบบนี้เลยนะ
“ทำได้ทุกอย่างเลยงั้นเหรอ? งั้น…ถ้าฉันขออะไรอย่างหนึ่งล่ะ?”
ว่าแล้วเชียว
ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะไม่หัวเราะออกมา เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เอมิลวางแผนเอาไว้ว่าจะเรียกร้องสิ่งที่ตัวเองต้องการจากฉันและพี่สาวโดยอ้างเหตุผลที่ฉันไปทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ
จริงๆ แล้วเรื่องนี้เอมิลเป็นฝ่ายผิด นอกจากนี้ฉันยังมีกลยุทธ์มากมายที่จะทำให้พ่อและแม่ของนายยอมรับว่าตัวเองผิดให้ได้
แต่ทำแบบนั้นมันไม่สนุก ฉันเลยวางแผนโดยการแกล้งทำเป็นรับบทผู้ร้ายที่ ‘ยอมรับผิด’ แต่โดยดีว่าตัวเองไปทำให้เอมิลได้รับบาดเจ็บ นั่นก็เพื่อทำให้อีกฝ่ายได้ใจแบบนี้
เมื่อเอมิลคิดว่าฉันยอมรับแล้วว่าตัวเองผิด เขาก็จะคิดแบบเด็กๆ ว่าตัวเองได้รับชัยชนะและจะเริ่มการเรียกร้อง ‘ค่าเสียหาย’ จากฉัน
เป็นเด็กที่เอาแต่ใจจังเลยนะ พ่อและแม่คงตามใจจนคิดว่าตัวเองอยากได้อะไรก็ต้องได้ เลยวางแผนเรียกค่าเสียหายจากฉันแบบนี้น่ะ
แต่หารู้ไม่ ทุกๆ อย่างเป็นการวางแผนของฉันตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ
“อ อะไรเหรอ ฉันให้ได้ทุกอย่างเลยนะ”
ด้วยดวงตาน่ารักและใสซื่อของฉัน ฉันเห็นเอมิลหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย และแน่นอน ปฏิกิริยาของผู้ใหญ่ที่กำลังเฝ้ามองสถานการณ์นี้เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ พวกนั้นเริ่มสงสารและเห็นใจฉัน
แหงล่ะ พวกนั้นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจากบทสนทนาของพวกเรา หลายๆ คนคิดว่าเอมิลผิด แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าฉันทำรุนแรงเกินไป
แต่ตอนนี้ฉันขอโทษแล้วนี่น่า?
คนที่ผิดจึงไม่ใช่ฉันอีกต่อไป
ถ้านี่เป็นเกมหมากรุก ฉันคงใกล้จะได้เช็คเมทแล้วล่ะมั้ง?
“ฮะแฮ่ม! เธอพูดแล้วนะ!”
เอมิลกระแอมไอ เขาพูดด้วยใบหน้าที่แดงจนไปถึงใบหู น่ารักซะจริง คงคิดว่าแผนสำเร็จสินะ
“ฉันอยากให้เธอกลับบ้านไปกับฉัน! อ้อใช่ พี่สาวคนนั้นก็ต้องไปกับฉันด้วย! เธอทำให้ฉันเจ็บตัวนี่น่า ก็ต้องรับผิดชอบด้วยการมารับใช้ฉันใกล้ๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“…”
เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?
ถึงจะจินตนาการคำขอของอีกฝ่ายเอาไว้หลายรูปแบบก็เถอะ แต่แบบนี้มันคาดไม่ถึงเลย
ฉันเริ่มปั้นสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว แน่นอนว่าฉันแอบสับสนเล็กๆ ว่าคำขอแบบนี้มันจะออกมาจากปากของเด็กห้าขวบได้จริงๆ เหรอ? แต่บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยล่ะมั้ง?
“หน้าอกของพี่สาวดูนุ่มนิ่มดี”
อ้าวไอ้เด็กเวร
อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างเลย แม้แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ เมื่อกี้มันว่าอะไรนะ?
ไอ้เวรนี่อยากพาฉันกับพี่สาวของฉันกลับบ้านด้วยเหตุผลแปลกๆ แบบนี้งั้นเหรอ?
เพราะหน้าอกของฮันน่าดูนุ่มนิ่ม?
จะล้ำเส้นไปแล้วมั้ง? แม้ว่านี่จะเป็นผลลัพธ์ที่เกินคาดก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่ชอบใจอยู่ดี
เอาเถอะ ใจเย็นๆ ตัวฉัน แบบนี้สิดี ฉันสามารถทำลายพวกมันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมแล้ว
เอมิลคงกำลังจินตนาการภาพแปลกๆ บางอย่างอยู่ อาจจะเป็นภาพของฉันกับพี่สาวที่กำลังนอนเตียงเดียวกับหมอนั่นพร้อมทั้งคอย ‘ปรนนิบัติ’ อยู่ตลอดทั้งคืนล่ะมั้ง
เดี๋ยวนะ นายเป็นเด็กห้าขวบไม่ใช่เหรอ?
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเลยนะเนี่ยที่เด็กห้าขวบจะมีความคิดเลวๆ แบบนี้ พ่อและแม่ของหมอนี่เลี้ยงดูมาแบบไหนกันแน่นะ
แน่นอน สีหน้าภายนอกของฉันแสดงให้เห็นถึงความกลัว แต่ข้างในมันเต็มไปด้วยความรู้สึกดูถูกเหยียดหยาม เกลียดชัง และขยะแขยง
เอาล่ะ ตอนนี้ควรตอบกลับไปว่ายังไงดีล่ะ
“ต แต่ นั่นมัน…”
ตัวของฉันสั่น แน่นอนว่าเป็นแค่การแสดง แต่แค่นั้นก็ทำให้ฝูงชนเริ่มไม่พอใจกันแล้ว
“ขอให้กลับไปรับใช้ที่บ้านเนี่ยนะ? เด็กนั่นคิดอะไรอยู่?”
“ป่าเถื่อนและต่ำช้าที่สุด! ทะเลาะกันด้วยเรื่องแค่นี้แต่ดันขออะไรแบบนั้นเนี่ยนะ แบบนี้มันไม่ละเมิดความเป็นมนุษย์ไปหน่อยเรอะ”
ใช่แล้ว นั่นคือปฏิกิริยาคร่าวๆ ของผู้คนเมื่อได้ยินคำขอของเอมิล
ตอนนี้ฉันชนะแล้ว พ่อและแม่ของเอมิลก็เริ่มกระวนกระวายจากเรื่องที่เอมิลก่อแล้ว ตอนแรกพวกนั้นก็ตกตะลึงเหมือนกันที่ลูกชายตัวเองพูดอะไรแบบนั้นออกไป
เกมพลิกงั้นเหรอ? เปล่า เปล่าเลย ถ้าฉันเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่ต้นล่ะก็ สถานการณ์นี้ก็คงเรียกได้ว่าเกมพลิกนั่นล่ะ
แต่ฉันไม่ได้เสียเปรียบไง เพราะยังไงซะ ทุกๆ อย่างก็เป็นไปตามแผนที่ฉันวางเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
“น หน้าอกของพี่สาวฉันมันทำไมนะ?”
แกล้งทำเป็นถามด้วยท่าทีใสซื่อ ยังไงซะไอ้โง่นี่ก็คงโดนหลอกอีกนั่นล่ะ
“ถามทำไม ฉันอยากให้พาพี่สาวของเธอกลับไปด้วยเพราะหน้าอกของเธอดูนุ่มนิ่มไงล่ะ! ผิดรึไง? ก็เธอมาทำให้ฉันบาดเจ็บก่อนนี่น่า”
กลยุทธ์หลอกให้พูดแบบนี้ใช้ได้ดีเลยนะเนี่ยกับเด็กห้าขวบ น่าเสียดายที่มันใช้กับผู้ใหญ่ไม่ได้
“นั่นมันจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว!”
เมื่อกี้ฉันไม่ได้เป็นคนพูดนะ
เสียงนี่มัน…พี่สาว?
เมื่อฉันหันไปก็ต้องตกตะลึงกับสีหน้าของอีกฝ่าย ปกติแล้วฮันน่ามักจะมีสีหน้าใจดี อดทน และเต็มไปด้วยความอบอุ่นอยู่เสมอ
แต่ตอนนี้ฉันไม่เห็นอะไรแบบนั้น ฉันเห็นเพียงความโกรธที่แสนจะเยือกเย็นของอีกฝ่าย ความโกรธที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ
ปกติฮันน่าไม่ใช่คนที่แบบว่า ‘เบื้องหน้ายิ้มใจดี ลับหลังชั่วร้ายและเสแสร้ง’ เธอไม่ใช่คนแบบนั้น
เธอเป็นคนดีจากใจจริง ฉันเห็นความจริงใจของอีกฝ่ายตลอดเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันมา แต่ตอนนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นพี่สาวโกรธแบบนี้
คงจะไม่พอใจที่ตัวเองจะต้องไปอยู่กับเอมิลล่ะมั้ง รวมไปถึงคำพูดของอีกฝ่ายมันก็ล้ำเส้นจริงๆ นั่นล่ะ
“ฉันทนฟังมานานพอแล้ว! ปกติฉันจะไม่โมโหเด็กอายุแค่นี้หรอกนะ แต่แบบนี้มันล้ำเส้นเกินไป”
ฮันน่าก้าวเท้าออกมาข้างหน้า เธอออกมายืนขวางระหว่างตัวของฉันกับเอมิลเอาไว้
นี่มันอะไรกัน?
“ยูริจังอาจจะผิดที่ไปตบหน้าเธอ แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดได้อย่างเต็มปากว่าตัวเองไม่ผิดเลย!”
ฮันน่าไม่ได้ลงไม้ลงมือ แต่สีหน้าตอนนี้ของเธอค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียว
“ถ้าทั้งสองฝ่ายยอมขอโทษกันและกันเรื่องมันก็คงจะจบไปนานแล้ว ยูริจังเองก็ขอโทษเธอไปแล้ว น้องสาวของฉันแสดงความจริงใจออกมาขนาดนี้แล้ว แต่เธอก็ยังเอาแต่วางท่าว่าตัวเองไม่ผิด!”
“กล้าดียังไงมาบอกให้ยูริจังไปอยู่ด้วยโดยไม่ถามความสมัครใจของเธอซะก่อน? นอกจากนี้ก็ไม่มีกฎหมายข้อไหนระบุเอาไว้ด้วยว่าการจ่ายค่าเสียหายของคู่กรณีที่ทะเลาะจะต้องไปอยู่ด้วยแบบนั้น”
“บอกให้น้องสาวของฉันไปคอยรับใช้ใกล้ๆ งั้นเหรอ? แบบนี้มันอาชญากรรมชัดๆ มันคือการข่มขู่ให้น้องสาวของฉันทำแบบนั้นใช่ไหม?”
ฮันน่า—โกรธเพื่อฉันงั้นเหรอ?
คาดไม่ถึงเลย…ในโลกเก่าไม่เคยมีใครสักคนจะโกรธเพื่อฉันได้แบบนี้ นี่เป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่ทีเดียว
แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดี กลับกัน ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
อย่างน้อยในโลกนี้ก็มีคนที่จะโกรธเพื่อฉันสินะ
“ต แต่เธอก็บอกเองว่าจะยินยอมทำที่ผมขอทุกอย่าง!”
เอมิลชี้นิ้วมาที่ฉัน ให้ตายสิ
“แล้วไง? น้องสาวของฉันยังเด็ก เธอจะไปรู้เรื่องอะไร? เธอก็แค่พูดแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ฉันกับพ่อและแม่ของเธอมาทะเลาะกันแค่นั้นแหละ ยูริจังน่ะเป็นเด็กดีจะตาย”
เด็กดี? ฉันเนี่ยนะ?
“พ่อคร้าบ แม่คร้าบ พี่สาวคนนี้จะกลับคำพูดอ่าา”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่เป็นไปตามแผนที่ตัวเองวางเอาไว้ เอมิลก็ได้แต่หันไปขอความช่วยเหลือจากพ่อและแม่อย่างน่าสมเพช
“ต ตอนแรกเด็กคนนั้นบอกว่าจะยอมทำให้ได้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้ดันกลับคำพูดซะงั้นอะครับ พ่อครับ แม่ครับ สั่งสอนพวกเธอที”
และเอมิลก็หันมาแลบลิ้นใส่ฉันเป็นการบอกนัยๆ ว่าพ่อของฉันจะไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแน่
แต่สถานการณ์ที่เอมิลคิดเอาไว้ก็ไม่เกิดขึ้น พ่อและแม่ของเขาไม่ยอมเคลื่อนไหวและเอาแต่ยืนนิ่ง ฉันรู้ว่าพวกนั้นคิดอะไรอยู่
ลูกของพวกเขาทำอะไรลงไป? แบบนี้สังคมจะมองครอบครัวของเขายังไง? เอมิลดันไปขออะไรไม่ขอ ดันไปขอให้คู่กรณีมาคอยรับใช้ซะงั้น แถมเหตุผลดันเป็นเหตุผลงี่เง่าอย่าง ‘หน้าอกดูนุ่มนิ่ม’ ซะอย่างนั้น
นั่นคงจะเป็นความคิดของพวกนั้น
ให้ตายสิน่า
อย่าพึ่งหัวเราะนะตัวฉัน
เอมิล นายอย่างอ่อนต่อโลกเกินไป โลกภายนอกน่ะกว้างใหญ่ พ่อและแม่ของนายอาจจะประเคนให้นายได้ทุกอย่างตราบใดที่ยังอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง
แต่ที่นี่มันไม่ใช่พื้นที่ของแกว่ะพวก
“เอมิล กลับบ้านกันเถอะลูก”
คุณป้าน่ารำคาญคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ จากสถานการณ์นี้ ดูยังไงฉันก็ชนะแล้ว ชนะอย่างสมบูรณ์ แต่แค่เอมิลยังไม่รู้ตัวแค่นั้นเอง
“ต แต่แม่ ผม ผมโดนตบหน้านะครับ”
“แต่เขาก็ขอโทษแล้วใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นก็ควรหายๆ กันได้แล้วนะ ลูกเองก็ขอโทษเธอด้วยสิ”
“ไม่! ทำไมผมต้องทำด้วย ผมไม่ได้ผิ—”
ก่อนที่คำพูดคำสุดท้ายของไอ้เด็กนั่นจะออกมาจากปาก พ่อของเขาก็ตบหน้าของเด็กนั่นไปฉาดใหญ่
“พ พ่อ”
เอมิลมองพ่อของตนด้วยใบหน้าสับสนและงุนงง น้ำตารื่นบริเวณขอบตา ทำท่าราวกับจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ แก้มของเขาแดงจากการถูกพ่อของตัวเองตบอย่างแรง
“ที่รัก คุณทำบ้าอะไร!”
คุณป้าร้องโวยวายก่อนจะพุ่งเข้าไปทุบตีสามีของตน เอาล่ะสิ น่าสนุกดีนะแบบนี้
เพียะ! เสียงตบดังสนั่นไปทั่วทั้งป่ากรีน ใบหน้าของหญิงสาวหันพร้อมกับรอยแดงบริเวณแก้ม เธอทำสีหน้าตกตะลึงและไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
เธอโดนตบงั้นเหรอ? แต่ไหนแต่ไรมาสามีของเธอก็ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน
“…ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าอย่าเลี้ยงเอมิลแบบตามใจมากเกินไป ไม่งั้นจะเป็นแบบนี้”
สีหน้าของเขาเยือกเย็นและเปี่ยมไปด้วยความโกรธและความไม่พอใจ มันคือการข่มกลั้นอารมณ์ของคนที่สุดจะทนแล้ว
“ผมบอกไปแล้วว่าหัดสั่งสอนเอมิลซะบ้าง ไม่ใช่จะเอาแต่ตามใจเขาอย่างเดียว ไม่งั้นอนาคตเขาจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ยังไง”
แต่เขาเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าภรรยาตัวเองเลี้ยงดู
เอมิลมาแบบไหน เขาก็ยังคงเมินเฉยมาตลอด มันทำให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้นมา
“เอมิล ลูกเป็นฝ่ายทำผิดแถมยังเริ่มก่อน ตามหลักมารยาทแล้วลูกควรเป็นฝ่ายขอโทษก่อนด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับขอโทษก่อนอย่างจริงใจ ดังนั้นลูกก็ควรให้อภัยเธอและขอโทษกลับไป”
“ลูกทำให้เกียรติของตระกูลเราเสื่อมเสีย บางทีพ่อคิดว่าพ่ออาจจะตามใจลูกมากเกินไป”
“กลับไปบ้านเมื่อไหร่พ่อจะจ้างครูสอนมารยาทขั้นพื้นฐาน แน่นอนว่า…”
พ่อของเอมิลก้มลงและกระซิบกับลูกชายของตัวเอง แต่ยูริที่หูดีเป็นพิเศษนั้นได้ยินทุกคำ
“…คราวนี้ไม่ว่าลูกจะไม่พอใจยังไง พ่อก็จะไม่อนุญาตให้ลูกแอบใส่ยาถ่ายลงไปในน้ำของครูสอนมารยาทอีกแล้ว และไม่อนุญาตให้ทำตัวลามปามกับครูอีก”
แสดงว่าปกติอนุญาตงั้นเหรอ? ยูริเอียงคอ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้เด็กนี่ถึงนิสัยเสียได้ขนาดนี้
“ข ข ขอ ขอโทษครับพ่อ…”
เอมิลทั้งโกรธ ไม่พอใจ และสับสน เขาไม่เคยถูกพ่อของตัวเองตบ ไม่เคยเลย พ่อของเขาน่ะใจดีมาเสมอและมักจะพูดด้วยเสียงนุ่มนวลมาตลอด แต่ทำไมคราวนี้ถึง…
“ยังไงก็ตาม ผมต้องขออภัยแทนลูกชายและภรรยาของผมด้วยที่ก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวาย”
พ่อของเอมิลลุกขึ้นและเอ่ยเสียงดังฟังชัด สีหน้าอับอายปนรู้สึกผิด
“ลูกชายของผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่เขากลับไม่ยอมรับและพูดอะไรแบบนั้นออกไป ผมยอมรับว่าเขาผิด แต่ยังไงซะเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กห้าขวบ ผมหวังว่าสังคมจะให้อภัยเขา ผมสัญญาว่าเขาจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นต่อจากนี้ไป”
แม้แต่ยูริก็อ่านไม่ออกว่าพ่อของเอมิลกำลังคิดอะไรอยู่ ท่าทีนั่นเป็นความจริงใจจริงๆ รึเปล่า? หรือว่าทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงละครเพียงเพื่อกู้สถานการณ์เท่านั้น
แต่ที่แน่ใจได้ก็คือ เธอชนะแล้ว
“งั้นลูกชายของคุณก็ควรจะขอโทษน้องสาวของฉัน จริงไหมล่ะคะ?”
ฮันน่ากอดอก เธอยังคงทำสีหน้าไม่พอใจ แต่มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย ใช่ เธอโกรธ แต่เธอก็เล็งเห็นแล้วว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฝั่งของเธอเป็นต่อสุดๆ
เธอไม่มั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือน้องสาวของเธอวางแผนเอาไว้ แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าอ่อนโยนของน้องสาวของเธอแล้ว เธอก็บอกได้เลยว่า
เรื่องบังเอิญแหละ ยูริจังจะไปวางแผนอะไรแบบนี้ได้ยังไง?
“ก็ ควรจะเป็นอย่างนั้น”
ด้วยใบหน้าอึดอัดใจของเขา ชายหนุ่มพูดกับเอมิลลูกชายของตน
“เอมิล ขอโทษเธอซะ”
เป็นเกมที่สนุกดีนะ