ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 25 ขอนองเลือดยังจะดีซะกว่า
จะบอกว่าสมแล้วที่เป็นโรงเรียนหญิงแล้วรึเปล่านะ
ที่โรงเรียนโอโตรินั้น มีโรงอาหารอยู่ถึง 3 ที่ด้วยกัน
ก็เป็นเพราะกฎของโลกนี้ ที่มีคะแนนเป็นตัวกำหนด ดังนั้นระดับการบริหารของโรงอาหาร มันก็จะต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับคะแนน
โรงอาหารแรกคือโรงอาหารสำหรับผู้ที่มีคะแนนสูงกว่าหมื่นคะแนนขึ้นไป
โรงอาหารที่สองคือโรงอาหารสำหรับผู้ที่มีคะแนนอยู่ในหลักเลขพัน
และโรงอาหารที่สามคือโรงอาหารสำหรับผู้ที่มีคะแนนต่ำกว่านั้น
สำหรับโรงอาหารที่แรกนั้น ดูเหมือนห้องโถงพิธีมากกว่าโรงอาหารซะอีก
พวกคุณหนูที่เข้ามาในโรงอาหารก็ใส่ชุดเดรสที่สวยงามตามระเบียบ
ถึงจะว่างั้น แต่ขนาดโรงอาหารที่สามก็ยังดูเหมือนร้านอาหารมากกว่าโรงอาหารเลยทีเดียว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าบริการตัวเองเลยซักนิด ทุกที่จะมีพนักงานบริการและเชฟ แถมยังมีคนคอยดึงเก้าอี้ให้นั่งอีกด้วย
ตัวโต๊ะก็จะเป็นแบบกลม ๆ แล้วพวกเขาก็ยังจะคอยรินน้ำให้อีก
พวกเขานั้นบริการให้ทุกอย่างตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ซึ่งถ้าเทียบกับราคาแล้วก็ถือว่าสมเหตุสมผลดี
ด้านอาหารก็มีคอร์สให้บริการในตอนเย็นด้วย
แต่บอกตามตรงเลยคือผมไม่ค่อยถนัดมารยาทบนโต๊ะอาหารซักเท่าไหร่เลยนี่สิ เพราะงั้นผมก็คงไม่ได้เข้าไปหรอก (เงินก็มีไม่ค่อยเยอะด้วย)
“……”
“……”
ลาพิสพาผมไปตรงโต๊ะที่อยู่มุมห้องของโรงอาหารที่สาม
“……”
“……”
หลังจากที่ลาพิสพูดว่า [นั่งตรงนี้สิ] และบอกให้พนักงานออกไปแล้ว ก็เงียบกันจนผ่านมาแล้ว 10 กว่านาที
“……”
“……”
เอ๊ะ อะไรเนี่ย บรรยากาศนี่มันอะไร?
ในจังหวะที่ผมกำลังจะเปิดปากเพราะทนกับบรรยากาศที่มันหนักอึ้งนี่ไม่ได้–ผมก็ได้ยินเสียงหวาน ๆ มาจากด้านข้าง
“นี่จ้ะ อ้าม!”
“มะ…ไม่ต้องหรอก คือฉันไม่ถนัดอะไรแบบนั้นน่ะ…แบบว่ามันน่าอาย…”
“ไม่มีใครอยู่รอบ ๆ อยู่แล้ว ไม่เปนไรหรอกน่า! เอ้า อ้ามสิ!”
“ขะ…เข้าใจแล้ว อะ…อ้าม…”
ผมเพ่งความสนใจทั้งหมดไปลงไว้ที่หู
“อร่อยมั้ย?”
“ก็อร่อยดี…”
ถึงจะมีแค่เสียงก็เถอะ
แต่พอผมลองหลับตาลง ผมก็เห็นภาพเด็กสาวคนนั้นกำลังหน้าแดงอยู่เลยทีเดียว
“นะ…น่าอายจัง…”
ผมหลั่งน้ำตาอยู่ในความเงียบ
โลกนี้มัน…งดงามขนาดนี้เลยงั้นเหรอ…อยากขอบคุณลาพิสจริง ๆ ที่พามาที่นี่…ไม่สิ อยากจะอธิบายความรู้สึกนี้ให้ลาพิสได้ฟัง…ว่าโลกนี้มันงดงามขนาดนี้เลยนะลาพิส…ได้ยินรึเปล่า…เรื่องราวสุดประทับใจนี่น่ะ…
“ฮิอิโระ เอ่อ…คือว่า…ฉันมีของจะใ–แล้วนั่นร้องไห้ทำไมน่ะ!?”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า(ร้องไห้)”
“ไม่เป็นไรได้ยังไงกันเล่า! อะไรเนี่ยเป็นภูมิแพ้เหรอ!? เช็ดออกก่อนสิ! อย่าทำเหมือนว่าฉันเป็นคนทำให้นายร้องไห้สิ!”
ลาพิสเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาของผมเบา ๆ
เธอเช็ดน้ำตาไห้ผมพร้อมยิ้มไปด้วย
จากนั้นลาพิสก็หยิบห่อสีชมพูออกมาให้ผม
“…นะ นี่จ้ะ”
เธอยื่นห่อสมชมพูออกมาด้วยมือข้างเดียวพร้อมหน้าแดง
ผมรับสิ่งนั้นมาแบบงง ๆ
“อุปกรณ์เวทย์แบบใหม่งั้นเหรอ…?”
“จะ…เจ้าบ้า นี่มันข้าวกล่องต่างหากล่ะ”
“ข้าวกล่อง?”
ผมเอียงคอและแกะห่อออก
แกะออกมาแล้วเป็นข้าวกล่องแบบที่ลาพิสพูดไว้เลย
เป็นข้าวกล้องสีชมพูพาสเทลดูน่ารัก และมีอยู่ 2 ชั้น
“แค่เอาไปให้สึกิโอริก็พอแล้วสินะ?”
“หา? ทำไมถึงพูดชื่อยัยนั่นขึ้นมาล่ะ?”
เอ๊ะ น่ากลัวแฮะ…โกรธอยู่จริง ๆ สินะ…จะ…จะว่าไปแล้ว
ความสัมพันธ์ในช่วงแรก ๆ ระหว่างลาพิสกับสึกิโอริก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิดเท่าไหร่ด้วย…
ลาพิสที่เปลี่ยนท่าทีไปกระทันหัน จู่ ๆ ก็กระสับกระส่ายไปมา แล้วก็พูดออกมา
“กะ…ก็นี่ไง…นายรีบไปฝึกกับแอสเทมีร์แต่เช้าเลยนี่นา…น่าจะยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยใช่มั้ยล่ะ…ก็เลยให้ข้าวกล่องนี่ไปกินไง…ถ้าไซส์ประมาณนี้ก็น่าจะพอรองท้องก่อนเข้าเรียนได้อยู่ไม่ใช่เหรอ…?”
“……”
ผมจ้อง ๆ ไปที่ข้าวกล่องนั้น
“อันนี้นี่ให้ฉันงั้นเหรอ!?”
“กะ…ก็ใช่น่ะสิ”
“นี่เธอทำเองเลยเหรอ!?”
“อะ…อื้ม…พอดีว่าในบรรดาหน่วยเงา มีเด็กคนหนึ่งที่ทำอาหารเก่งอยู่ด้วย…ก็เลยลองเรียนรู้ด้วยดูน่ะ…คิดว่าน่าจะอร่อยอยู่นะ…”
ผมมองลงไปที่ข้าวกล่องทำเองนั่นด้วยความสิ้นหวัง
ยะ…แย่ล่ะสิ..ถ้าเป็นข้าวกล่องทำเองแบบนี้ มันก็เข้าขั้นแย่แล้วสิเนี่ย…กลายเป็นเลิฟคอมเมดี้ไปเต็มรูปแบบซะแล้ว…แต่ผมไม่คิดว่าอย่างลาพิสจะมีความรู้สึกโรแมนติกให้กับผมเลยนะ…เรื่องนั้นผมว่าผมคิดไม่ผิดแน่…ผมต้องลองหาดูว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ทั้งที่ผมก็บอกเรื่องคู่หมั้นของผมไปแล้ว…
“ฉันน่ะ มีคู่หมั้นอยู่แล้วนะ(เข้มแข็ง)”
“อื้ม รู้แล้วล่ะ”
“เอ๊ะ…อะ…หืม…(ขี้แพ้)”
ผมค่อย ๆ เปิดกล่องแพนโดร่า (ข้าวกล่อง) ด้วยมือที่สั่นเทา
ชั้นแรกเป็นข้าว ส่วนชั้นที่สองเป็นอาหารหลาย ๆ อย่างที่เรียงกันอย่างปราณีต มีทั้งไข่ เกี๊ยวเนื้อ โอะฮิตาชิ เนื้อห่อหน่อไม้ฝรั่ง
(ผู้แปล : โอะฮิตาชิน่าจะเป็นประมาณผักแช่น้ำซุปดาชิครับ)
พอเห็นแบบนั้นผมก็ปิดฝาดยสัญชาตญาณเลย
งะ…งานเข้าแล้วสิ…เอาจริงเลยนี่หว่า…เห็นถึงความพยายามและความตั้งใจของเจ้าหญิงผู้ไม่เคยทำอาหารอยู่ในนี้เลย…อยู่ในระดับที่ใครหลายคนน่าจะยอมทุ่มเงินเพื่อซื้อแค่ข้าวกล่องนี่เลย…
“ฮิ…ฮิอิโระเนี่ย มีอะไรที่ไม่ชอบกินบ้างรึเปล่า?”
“ผะ…ผู้ชายที่อยู่ท่ามกลางยูริน่ะ”
“งะ…งั้นเหรอ ถะ…ถ้างั้นฉันก็จะไม่ใส่มันเข้าไปในนั้นก็แล้วกันนะ”
ต่างฝ่ายต่างตึงเครียดใส่กัน ก็เลยพูดอะไรกันไม่ค่อยอออก
แต่ทว่าการสนทนานั้นก็ยังคงดำเนินต่อไป
ลาพิสเงยหน้าขึ้นมามองผมและเร่งรัดผม
“มะ…ไม่กินเหรอ…?”
ทำไมกันล่ะ
ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้กัน
เหตุผล…ต้องหาเหตุผลให้เจอให้ได้…ขนาดบอกว่ามีคู่หมั้นแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมมันถึงแย่ลงกว่าเดิมล่ะเนี่ย…มันต้องมีเหตุผลอะไรซักอย่างสิ…ต้องหาสาเหตุให้เจอแล้วแก้ปัญหานั้นให้ได้ ไม่งั้นแย่แน่…!
“ทะ…ทำไมจู่ ๆ ก็ให้ข้าวกล่องล่ะ? พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”
“มะ…ไม่ใช่เพื่อนซะหน่อย”
เอ๊ะ!? (หัวใจหยุดเต้น)
“แต่เป็นคู่แข่งที่ดีต่อกันต่างหากล่ะ”
โอ้ OK!! OK!! GOGOGO!! (หัวใจกลับมาเต้น)
“การจะให้ข้าวกล่องกับคู่แข่งแบบนี้มันแปลกงั้นเหรอ…?”
“จะ…จะว่าแปลกรึเปล่านะ ถึงมันจะมีคำพูดประมาณว่า ส่งเกลือให้ศัตรูอยู่ก็เถอะ แต่การส่งข้าวกล่องให้ศัตรูแบบนี้ มันก็หมายความไปในทางเรื่องความรักได้นี่?”
“คะ…ความรัก…?”
ในที่สุดก็คิดได้แล้วสินะ
ดวงตาของลาพิสเบิกกว้าง จากนั้นผิวขาว ๆ ของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดง
“มะ…ไม่ใช่นะ…! ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะ! ฉันน่ะ! คือว่า!!”
“โอเค ๆ ไม่เป็นไรน่า ใจเย็นไว้นะ ในที่สุดตอนนี้เราก็เข้าใจตรงกันแล้วซักที ฉันก็โล่งใจนะ ที่นี่ไม่ใช่ข้าวกล่องทำเองที่หมายความแบบนั้น เธอก็น่าจะไม่ใช่ประเภทที่จะเข้าไปยุ่งกับผู้ชายที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วนี่นะ”
“อะ…อื้ม…ฉันน่ะ…คือว่า…จู่ ๆ ฮิอิโระก็มาบอกว่ามีคู่หมั้นแล้วมันก็เลย…”
ลาพิสวางมือไว้ผมเข่าและกำมือแน่น
จากนั้นลาพิสก็จ้องมองตรงมาและเริ่มพูด
“พอได้ลองคิดอะไรหลาย ๆ อย่างดู…อย่างการดวลกันหรือการออกไปข้างนอกด้วยกัน…ฉันคิดว่าฉันไม่อยากทำแบบนั้นแล้ว เพราะไม่อยากจะสร้างปัญหาให้นาย…เดิมทีแล้วตั้งแต่ตอนแรกที่ฉันเอาแต่พูดว่า [มาดวลกัน มาดวลกัน!]…แล้วใช้ประโยชน์จากความใจดีของฮิอิโระเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย…ฉันเลยรู้สึกขึ้นมาน่ะนะ ว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเพื่อนายบ้างเลย…”
ลาพิสเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่มีแต่ความรู้สึกผิด
และลาพิสก็ยังคงพูดต่อไป
“ฉันน่ะ ไม่มีเพื่อนในโรงเรียนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว…และฮิอิโระก็เป็นคนเดียวที่ฉันจะพูดคุยด้วยได้…แล้วฉันก็รู้ว่าฉันไม่ควรจะเข้าหาผู้ชายที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วด้วย…ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากปฏิบัติกับนายเหมือนอย่างที่เคยเป็น…เพราะงั้นฉันจึงทุ่มเททุกอย่าง…เพื่อข้าวกล่องนี่ยังไงล่ะ…ขอโทษด้วยนะคะ…”
ผมมองดูลาพิสที่เหมือนจะกำลังหลั่งน้ำตา
ผมเปิดข้าวกล่องออกและจิเมซอสที่ดูน่าอร่อย
จากนั้นลาพิสก็ตกใจกับผมที่กินข้าวกล่องแล้วยิ้มให้เธอ
“อร่อยมากเลยล่ะ เธอนี่ก็เก่งเอาเรื่องเลยนะเนี่ย”
“ฮิอิโระ…”
“พวกเราเป็นแค่คู่แข่งที่ดีต่อกัน ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น ถ้ายึดเอาแบบนี้ล่ะก็ จะทำอะไรเหมือนเดิมก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไรเลยนี่”
“ถ้างั้น…!”
ผมพยักหน้าให้กับลาพิสที่กำลังยิ้ม
“ก็ทำทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมานั่นแหละ ฉันเองก็ยอมรับการท้าดวลอยู่แล้ว ถ้าเธออยากดวลก็ตามใจเธอเลย”
ผมยิ้มให้กับลาพิสที่ตาเป็นประกาย
“ก็เพราะเป็นคู่แข่งกันนี่นะ พวกเราน่ะเป็นคู่แข่งกันนี่ ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น เพราะเราเป็นคู่แข่งกัน ถ้าเธอได้พบกับผู้หญิงที่เธอชอบ ฉันก็จะคอยช่วยสนับสนุนเอง เธอเองก็ต้องช่วยในเรื่องความรักของฉันแล้วก็คู่หมั้นด้วยนะ นั่นก็เพราะพวกเราเป็นคู่แข่งกันนี่นา ในโลกนี้น่ะ ผู้หญิงกับผู้ชายไม่สามารถมีความสัมพันธ์แบบโรแมนติกกันได้หรอกนะ นั่นก็เพราะเป็นคู่แข่งกันไงล่ะ–“
“ถ้างั้น พรุ่งนี้ฉันก็จะทำข้าวกล่องมาให้อีกนะ!”
“เอ๊ะ”
ในขณะที่ผมคิดว่าเรื่องราวมันกำลังจะจบลงแล้
ลาพิสก็หยิบข้าวกล่องไปและโบกมือกลับมาให้ผม
“พรุ่งนี้ก็เวลาเดิมนะ! พยายามเข้าล่ะ ฮิอิโระ! ฉันจะคอยเอาใจช่วยนะ! ก็เป็นคู่แข่งกันนี่นา!”
ผมหลงไปในความน่ารักนั่นแทบจะทันที
จากนั้นผมก็ดึงสติกลับมาอีกครั้งและเดินไปที่คลาส A ด้วยความรู้สึกอิ่ม
ผมค่อย ๆ นั่งลง จากนั้นผมก็เอามือโอบท้องตัวเองและกระซิบสึกิโอริที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ช่วยหน่อยสิ สึกิโอระ…ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้…เร็วเข้า…เร็วเข้าเถอะ…ช่วยด้วย…ช่วยฉันด้วยเถอะ…สึกิโอริ…ช่วยฉันที…ขอร้องล่ะ…สึกิโอริ…ช่วยฉันด้วย…”
“หืม? โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
เธอยิ้มอ่อน ๆ และค่อย ๆ ลูบหัวผม…! เธอเป็นตัวละครแนวคูล ๆ ไม่ใช่เรอะ…!
อย่าเอามือสวย ๆ นั่นมาแตะผู้ชายสิฟร้า…!!
พอเห็นการกระทำของพวกเรา คุณหนูปากร้ายก็หัวเราะคิกคักออกมา
“ฮึ มาแตะตัวกับผู้ชายตั้งแต่เช้าแบบนี้เนี่ย สมกับเป็นสามัญชนจริง ๆ นะ สึกิโอริ ซากุระ แค่สามัญสำนึกก็ไม่รู้เลยรึไงคะ?”
“โอ๋ ๆ นะ”
“หะ…หัดฟังที่คนอื่นเค้าพูดบ้างสิคะ!!”
ว่าแล้วเชียว สองคนนี้น่ะ ยังไงก็เหมือนลิงกับหมาจริง ๆ นั่นแหละ
ในขณะที่คุณหนูโอฟิเลียดูเหมือนจะมีประกายไฟที่เหมือนจะพร้อมกัดกัน
พุ่งออกมาใส่ระหว่างสึกิโอริ (ก็คือผมนั่นแหละ) ได้ทุกเมื่อ
ตรงนี้มันก็เป็นความปราถนาของผมด้วยนั่นแหละ ผมก็อยากให้ทั้งสองคนนั้นพยายามกันอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีผมอยู่ด้วยน่ะนะ ผมคิดว่ามันจะต้องมีความสัมพันธ์แบบยูริเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ขึ้นมาแน่นอน
ผมไม่อยากที่จะอยู่ท่ามกลางสึกิโอริกับเหล่าสาว ๆ … ผมต้องอยู่นิ่ง ๆ และเว้นระยะห่างจากพวกเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
พอตัดสินใจได้แบบนั้นแล้ว อาจารย์มาริน่าก็เดินเข้ามาพอดี
แล้วเธอเริ่มโฮมรูมด้วยท่าทางกังวลตามปกติ
“คะ…ค่ายปฐมนิเทศนี้ ก็คิดจะให้มีการจัดกลุ่มกันอยู่หรอกนะคะ…ตะ..แต่ว่าทุกคนน่าจะยังไม่รู้จักกันดีถึงขนาดนั้น…กะ…ก็เลยจับกลุ่มให้แทนค่ะ”
ตารางกลุ่มได้ถูกแปะไว้บนกระดานดำ…จากนั้นผมก็เงยหน้าขึ้นไปมอง และรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง
“อ๊ะ เยี่ยมเลย ได้อยู่กลุ่มเดียวกับฮิอิโระคุงล่ะ”
“หะ…หา!? ฉันคนนี้ได้อยู่กลุ่มเดียวกับผู้ชายแล้วก็สามัญชนงั้นเหรอคะ!? จะบอกให้ฉันไปจับกลุ่มสามคนกับพวกนั้นงั้นเหรอคะ!? ขะ…ขอผ่านล่ะค่ะ!! เรียกคนรับผิดชอบเรื่องนี้มาเลยนะคะ!!”
“……”
ซันโจ ฮิอิโระ / สึกิโอริ ซากุระ / โอฟิเลีย ฟอน มาร์เจไลน์
ผมมองดูรายชื่อกลุ่ม 5 ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 3 คน แล้วผมก็ยิ้มพร้อมพยักหน้า
อิแบบนี้คงทำอะไรไม่ได้อีกแล้วล่ะนะ (ยอมแพ้)