ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 3 หลักสูตรการเรียนการสอนที่นรกแตก
- Home
- ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!
- ตอนที่ 3 หลักสูตรการเรียนการสอนที่นรกแตก
วันต่อมา หลังจากที่วาคาดะ ซายูริได้ตกลงปลงใจที่จะอาศัยอยู่กับฮันน่าสมิธแล้ว เธอก็ซักถามอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องที่สงสัย
“พี่เป็นแวมไพร์เหรอคะ?” เธอถามขณะที่อีกฝ่ายกำลังทำข้าวพัด เสียงฉ่าของกระทะดังกลบเสียงบางส่วนของเด็กสาว กลิ่นหอมเย้ายวนชวนน้ำลายสอของข้าวผัดทำให้เธอเผลอกลืนน้ำลายเบาๆ ฮันน่าใส่เครื่องปรุงบางส่วนลงไปเพื่อเสริมรสชาติ ทวงท่าคล่องแคล่วราวกับมีประสบการณ์ทำอาหารมานานหลายปี
“ใช่จ่ะ” ฮันน่าตอบพลางยิ้มฝืนๆ ตอนนี้เธอต้องใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการผัดข้าวเพื่อไม่ให้มันจับตัวเป็นก้อน แต่ก็ยังพอตอบคำถามของอีกฝ่ายได้บ้าง แน่นอนว่าเธอต้องพยายามไม่ให้เผลอละเลยข้าวผัดในกระทะมากเกินไป
“ทำไมพี่ถึงโดนแสงแดดแล้วไม่เป็นอะไรเหรอคะ แล้วทำไมถึงมาอยู่ในบ้านกลางป่าแบบนี้คนเดียว” ยูริถาม เธอทำตัวราวกับเป็นผู้สัมภาษณ์งานที่ต้องถามคำถามผู้สมัครงานเลยล่ะ
แน่นอน เธอมีเหตุผลของตัวเองอยู่ เด็กสาวถือคติที่ว่ายิ่งมีข้อมูลในมือมาก ชีวิตก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
คุณจะหลบระเบิดได้อย่างไรถ้าไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน จริงไหมล่ะ?
แถมเธอพึ่งจะอยู่กับอีกฝ่ายได้แค่สองวัน ไม่นับวันแรกที่หัวทิ่มคะมำแล้วฮันน่าไปเจอ อันนั้นเธอไม่ได้สติ เลยไม่นับว่า’รู้จัก’กับฮันน่าได้อย่างแท้จริง
ฮันน่ายังไม่ตอบคำถามในทันที เธอแอบรู้สึกรำคาญเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร หญิงสาวเทไข่ที่เตรียมเอาไว้ลงไปก่อนจะลงมือผัดกับข้าว กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว เด็กสาวเผลอกลืนน้ำลายเล็กน้อย กลิ่นนั่นมอบความรู้สึกยั่วน้ำลาย ความอยากอาหารพุ่งสูงถึงขีดสุด ท้องร้องโครกคราก
ฮันน่าตักข้าวผัดใส่ชามขนาดใหญ่ เม็ดข้าวสีเหลืองทองน่ากิน แต่ละเม็ดไม่ติดกันจนเกินไป มีเครื่องปรุงช่วยเพิ่มความน่ากินให้กับอาหาร พริกไทยดำโรยบนข้าวทำให้น่าตักเข้ามาในปาก
หญิงสาวนำมันมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบจานกับช้อนมาวางเอาไว้ วาคาดะ ซายูริใช้ช้อนกลางตักข้าวผัดจากชามมาลงจานของตัวเอง ก่อนจะใช้ช้อนของตัวเองตักข้าวผัดใส่ปาก
อุ ร้อน ข้าวผัดร้อนๆทำให้ลิ้นของเธอพองขึ้นมา เธอสูญเสียการรับรสไปชั่วขณะ แต่พอจะสัมผัสได้ว่าเม็ดข้าวมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ เม็ดข้าวมีความร่วนพอดี ไม่แข็งเกินไป ไม่ติดกันเกินไป เครื่องเคียงที่เป็นพริกไทยดำก็ทำให้มีความเผ็ดผสมผสานไปกับความหอมขึ้นจมูกได้เป็นอย่างดี
อร่อย ไม่เค็มจนเกินไป ฮันน่ามีความสามารถในการทำอาหารมากอย่างน่าเหลือเชื่อ อีกฝ่ายใส่เครื่องปรุงที่ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ทำให้รสชาติของข้าวผัดออกมาพอดีเป๊ะ
“สำหรับคำถาม พี่เป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ หรือเรียกอีกชื่อว่าแวมไพร์ที่แท้จริงก็ได้นะ” ฮันน่าบอกพลางตักข้าวเข้าปาก ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ทุกข์อะไรกับข้าวที่ร้อนระอุเลยสักนิด ยูริรอให้มันเย็นลงอีกหน่อยก่อนจะตักอีกคำเข้าปาก น้ำตาไหลพราก ไม่ใช่เพราะความอร่อย แต่เป็นเพราะความร้อนจนลิ้นพอง
“ส่วนที่ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่บ้านกลางป่าแบบนี้คนเดียว คือเรื่องมันยาว พี่ชอบบรรยากาศสงบสุขของป่าแห่งนี้น่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกโจรผู้ร้ายปล้น และพวกมอนเตอร์ก็ไม่ทำอะไรแวมไพร์อย่างพี่ด้วย”
พวกเธอทั้งสองตัดสินใจว่าจะเป็นพี่น้องบุญธรรม เนื่องจากฮันน่าเห็นแล้วว่ายูริไม่มีที่ไป เลยรับอีกฝ่ายมาเลี้ยงโดยที่มียศในฐานะผู้ปกครอง และยูริก็เรียกฮันน่าว่าพี่สาว ทำให้ฮันน่าเรียกแทนตัวเองว่าพี่ไปโดยปริยาย
เกิดใหม่ต่างโลกทั้งทีก็มีพี่สาวไปซะแล้ว เด็กสาวคิดอย่างขบขัน เธอจำได้ว่าโลกก่อนเธอเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่สาวหรือน้องสาว หึหึ บางทีการมีพี่สาวดูสักครั้งอาจจะมอบความรู้สึกแปลกใหม่ให้เธอได้ก็ได้นะ
ทั้งคู่สนทนากันในเรื่องทั่วๆไประหว่างกินข้าวผัด ทั้งเรื่องกฎหมายใหม่ของประเทศ ทั้งเรื่องสงครามที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ยูริฟังเรื่องพวกนั้นอย่างสนใจ
ดูเหมือนว่าประเทศที่พวกเธออาศัยอยู่จะมีชื่อว่าราชอาณาจักรกอร์เดซ ปัจจุบันถูกปกครองโดยราชวงศ์ออกัสตัส โดยมีกษัตริย์ที่มีพระนามว่าพระเจ้าจอนที่สามคอยปกครองอยู่
และเทคโนโลยีบนโลกใบนี้ก็พัฒนาจนมีเครื่องจักรไอน้ำแล้ว แปลว่าเธอไม่ได้มาเกิดใหม่ในยุคกลาง แต่มาเกิดใหม่ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมนั่นเอง
จากที่เธอถามฮันน่า ดูเหมือนว่าโลกใบนี้จะมีอยู่ราวๆสี่ทวีป ทวีปตะวันตก ทวีปตะวันออก ทวีปเหนือและทวีปใต้ แต่ละทวีปจะมีประเทศและราชอาณาจักรต่างๆมากมาย โดยที่ระบอบการเมืองการปกครองของทวีปเหนือส่วนใหญ่จะเป็นระบอบรัฐสภาและราชาธิปไตยเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทวีปใต้จะเป็นระบอบการปกครองแบบสาธารณะรัฐ ส่วนอื่นๆนั้นต่างก็ปะปนกันไป
เด็กสาวกินข้าวผัดจนหมดเกลี้ยง เธอรู้สึกอยากกินอีก แต่ดูเหมือนจะหมดแล้ว น่าเสียดาย ฮันน่าทำอาหารอร่อยมากเลยล่ะ บางทีเธออาจจะเหมาะไปเป็นเชฟได้เลย
เด็กสาวนำจานไปล้างในห้องครัว เธอเปิดก็อกน้ำ ก่อนจะล้างจานทีละใบ ดูเหมือนว่าจะมีการพัฒนาน้ำยาล้างจานคุณภาพสูงออกมาซะด้วย เธอล้างจานและกระทะทุกอย่างจนเสร็จสรรพ และเมื่อออกมาก็เห็นฮันน่ากำลังนั่งอ่านหนังสือ
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ” เด็กสาวถามอีกฝ่าย เมื่อเหลือบไปมองปกหนังสือที่อีกฝ่ายกำลังอ่าน ก็พบว่ามันเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือดังกล่าวมีความหนาและมีปกแข็งราวกับจะฟาดหัวคนให้แตกได้เลย
“อีกเดือนหนึ่งมหาวิทยาลัยซาโมนิกจะเปิดรับสมัครคนสอบเข้าน่ะ พี่ต้องเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ” ฮันน่าบอก “พวกเขาจะรับเฉพาะผู้สอบติดอันดับสิบคนแรกเท่านั้น จากผู้เข้าสอบราวๆหนึ่งพันคน! พี่ต้องอ่านหนังสือตั้งแต่ตอนนี้ รวมไปถึงพวกวิชาคณิตศาสตร์และภาษาศาสตร์….”
วาคาดะ ซายูริทำสีหน้าสะอิดสะเอียนทันที เธอจดจำได้ดีถึงนรกตอนที่เรียนมหาลัย งานค้างมากมายมหาศาล แถมสอบก็ยาก แม้ว่าเธอจะมีความฉลาดเหนือกว่าคนอื่นๆนิดหน่อย แต่เพราะเธอหมดพลังงานได้ง่าย เลยไม่ค่อยมีแรงจูงใจในการอ่านหนังสือเตรียมสอบ สุดท้ายก็สอบผ่านแบบฉิวเฉียด
“มันเป็นมหาลัยที่คนส่วนใหญ่จบไปแล้วจะได้งานการดีๆทำ ถ้าพี่สอบผ่านและได้เข้าเรียน พอเรียนจบพี่ก็จะได้สมัครหางานได้ง่ายขึ้น และพวกเราก็จะมีรายได้มาเลี้ยงดูตัวเอง–“
ฮันน่าเริ่มสาธยาย ยูริรู้สึกมึนหัว เธออยากบอกให้อีกฝ่ายหุบปากซะ เด็กสาวไม่อยากฟังเรื่องการทำงาน การวางแผนชีวิตหรืออะไรทั้งนั้น วิธีหาเงินวิธีเดียวที่เธอนึกออกคือใช้เงินลงทุนจ้างนักสืบเอกชนให้ไปสืบหาความลับดำมืดของพวกนักการเมืองซะ จากนั้นก็ใช้ความลับนั่นมาแบล็คเมลนักการเมืองคนนั้น เท่านี้ก็หาเงินได้แล้ว
ติดแค่วิธีนั้นมันผิดกฎหมายแถมยังเสี่ยงอันตรายเนี่ยแหละ
แต่จะว่าไปฮันน่าจะไปสอบเข้ามหาลัยทั้งๆที่พึ่งจะสิบห้าเนี่ยนะ? เมื่อเธอถามอีกฝ่ายก็ได้รับคำตอบที่น่าสะพรึง
เด็กจะเริ่มเรียนหนังสือตอนอายุห้าปี โดยที่จะมีการสอนเรื่องเลขาคณิต ทฤษฏีบทพีทาโกรัสตั้งแต่เล็กๆ พอชั้นปีถัดไปก็จะสอนเรื่องแคลคูลัส และพอเป็นชั้นปีถัดไปก็จะสอนเรื่องยากๆเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
หลักสูตรนี่มันบ้าอะไรกัน? ไม่ทารุณกรรมเด็กไปหน่อยหรือ ถึงแม้ว่าฆาตกรต่อเนื่องอย่างเธอจะชอบก็เถอะที่ได้เห็นคนทุกข์ทน แต่นี่มันก็น่าขนลุกชะมัด
ชั้นมัธยมต้นจะเริ่มเรียนตั้งแต่อายุ9-10ขวบ พออายุครบสิบหกปีก็จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เรียกได้ว่าเป็นเกณการแบ่งอายุและชั้นปีที่เข้าขั้นห่วยบรม
น่ากลัวชิบ แบบนี้จะไม่เป็นการถือกำเนิดฆาตกรต่อเนื่องเป็นล้านๆคนเลยหรือ ไม่รู้รึไงว่าถ้ามีคนออกหลักสูตรการเรียนการสอนแบบนี้ที่โลกเก่าของเธอ คนๆนั้นคงจะถูกรุมประชาทัณฑ์รวมไปถึงโดนจับไปผ่าตัดสมองเพื่อทดลองแน่ๆ
เอาเด็กเจ็ดขวบเรียนแคลคูลัสเนี่ยนะ แถมยังต้องสอบเข้ามหาลัยตั้งแต่เนิ่นๆด้วย หลักสูตรมหาโหด–ไม่สิ หลักสูตรของพวกเสียสติที่ไม่มีความรู้ชัดๆเลย นี่เอาใครมาออกหลักสูตรกัน? นกกระเรียนรึไง?
“บางทีพี่อาจจะพายูริจังไปเข้าเรียน…” ฮันน่าพึมพัม อย่านะ! หยุดเลย อย่าแม้แต่จะคิดเชียว ถ้าเป็นโรงเรียนปกติเธอก็อยากไปอยู่หรอก เผื่อว่าจะหาข้อมูลของโลกใบนี้ได้มากยิ่งขึ้น แต่โรงเรียนที่มีหลักสูตรเสียสติอย่างการให้เด็กเจ็ดขวบเรียนแคลคูลัสเนี่ยนะ ต่อให้เป็นแคลคูลัสระดับมัธยมต้นก็เถอะ นี่มันก็มากเกินไปหน่อยนะ!
ถ้าไม่เส้นเลือดในสมองแตกตายเธอคงกลายเป็นพวกเสียสติโดยสมบูรณ์กันซะก่อนพอดี อีกอย่าง ในโลกเก่าเธอก็จบมหาลัยมาแล้วด้วย แล้วจะไปเรียนอีกเพื่ออะไร แม้ว่าในชั้นเรียนจะมีวิชาน่าสนใจอย่างการใช้เวทมนตร์ก็เถอะ แต่เธอมีพลังเวทซะที่ไหนกันล่ะ
หลังจากนั้นเด็กสาวก็พยายามออกจากประเด็นเรื่องการเรียน เรื่องน่าปวดหัวพรรคนั้นน่ะช่างแม่มมันเถอะ เอาเป็นว่าขอให้โชคดีมีชัยกับการสอบเข้ามหาลัยนะฮันน่า และอย่าเส้นเลือดในสมองระเบิดไปซะก่อนล่ะ
ให้ตายสิ เธอสามารถก่อการปฏิวัติได้จากหลักสูตรประหลาดของประเทศนี้ได้เลยนะนี่ แถมประเทศนี้ยังมีกฎหมายเก็บภาษีพืชผลอีกต่างหาก หรือก็คือรายได้สิบเปอร์เซ็นจากการขายสินค้าจำพวกพืชผักและผลไม้จะกลายเป็นเงินภาษีของประเทศ และจะมีการเก็บภาษีถ้ารายได้ของชาวนาชาวสวนเกินสองหมื่นปอนด์ขึ้นไป และนั่นหมายถึงรายได้รายปี แปลว่าถ้าเก็บเงินจนครบหนึ่งปีแล้วได้สองหมื่น ก็ต้องจ่ายภาษีให้สิบเปอร์เซ็น
เรียกได้ว่าในราชอาณาจักรเฮงซวยนี่มีแต่กฎหมายประหลาดๆ รัฐบาลห่วยๆที่บริหารได้แย่จนอยากได้ควายมาบริหารยังดีซะกว่า อ่าเอาเถอะ ช่างมัน ไอ้เรื่องการเมืองเนี่ยช่างมัน!
หลังจากผ่านบทสนทนาอันน่าปวดหัว ฮันน่าก็กลับไปอ่านหนังสืออีกครั้ง เด็กสาวตัดสินใจว่าจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเสียหน่อย
อ่า นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่เธออยากหายไป การมีชีวิตอยู่แม่งนรกชัดๆ ตอนเด็กก็เรียน เข้ามหาลัยก็ทรมาน เป็นผู้ใหญ่ก็ทุกข์ทนกับการหาเงินและความโสมมของโลก
มีชีวิตอยู่ไปเพื่อสิ่งใด เพื่อเงินงั้นหรือ? ทำงานหาเงินมาได้แล้วยังไงต่อ? นำเงินไปซื้อสิ่งของที่ต้องการ แบ่งเงินบางส่วนเก็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็น จากนั้นเงินก็หมด หาเงินเพิ่ม ตื่นเช้าไปทำงาน กลับมาบ้านไม่มีเวลาสนุก ต้องทำงานและพักผ่อนด้วยการนอน
ชีวิตเฮงซวยบัดซบแบบนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนชอบหรอก การตายน่ะสงบสุขสุดแล้ว หลังจากตายไปเธอก็จะได้ไม่ต้องทำงานอีก แต่แทนที่เธอจะได้สมหวัง นังเทพธิดาดันยัดเยียดชีวิตใหม่ให้ซะงั้น
เด็กสาวเปิดประตูหน้าบ้าน อากาศบริสุทธิ์พลันทำให้สมองของเธอปลอดโปร่ง เด็กสาวรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมานิดหน่อย ยูริถอนหายใจออกมาเบาๆพลางหันไปมองฮันน่าที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น
แม้อีกฝ่ายจะดูปกติดี แต่เมื่อเด็กสาวสังเกตุถุงใต้ตาให้ดีๆ จะพบว่ามันมีรอยดำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เท่านั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายทำงานหนักขนาดไหน
ประชากรบนโลกใบนี้จะเป็นไอสไตน์กันหมดทุกคนเลยรึเปล่า เธอคิดอย่างขบขัน ก็นะ ดันเรียนหลักสูตรยากๆแบบนั้นตั้งแต่เด็กนี่น่า ถ้าไม่กลายเป็นอัจฉริยะก็คงกลายเป็นคนเสียสตินั่นแหละ
ส่วนเธอเป็นพวกลูกผสม หรือก็คือพวกอัจฉริยะสมองเพี้ยนที่ชื่นชอบที่จะได้เห็นคนอื่นพินาศล่ะนะ
ไม่มีอะไรให้ทำเลยแฮะ เธอคิดกับตัวเองพลางมองไปรอบๆ ต้นไม้สูงใหญ่ของป่าส่งเสริมทัศนีย์ภาพให้ดูน่าขนลุกและน่าค้นหา เงาเอนไหวไปมา ลมพัดอ่อนๆทำให้อากาศเย็นสบาย แสงแดดอบอุ่นทำให้หัวใจของเธอเบิกบาน
ชีวิตมันควรสงบสุขแบบนี้ไม่ใช่รึไง เธอรำพึง แล้วไหงตั้งแต่เกิดมามนุษย์ทุกคนถึงถูกลิขิตให้ทำงานและทนทุกข์ด้วยล่ะ
เธอมองเห็นม้านั่งที่ตั้งอยู่แถวๆลานหญ้าหน้าบ้าน คงเป็นที่ที่ฮันน่าเอาไว้นั่งพักผ่อนและส่องดูทัศนีย์ภาพสินะ
เธอตัดสินใจไปนั่งเก้าอี้นั่น พลางถอนหายใจและตัดสินใจว่าจะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเก้าอี้ แสงแดดสาดส่องมาโดนใบหน้าอ่อนเยาว์ เด็กสาวได้หลับไหลไปท่ามกลางแสงแดดอบอุ่น ราวกับสิ่งปฏิกูลใจจิตใจได้ถูกชะล้างเลยล่ะ เธอรู้มาจากฮันน่าว่าแสงแดดมีพลังเวทแอบแฝงทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกสงบ
แต่ผลเสียของมันก็คือ ถ้าโดนแสงแดดนานเกินไป หรือแสงร้อนแรงเกินไป ผู้ที่สัมผัสกับแสงก็จะรู้สึกสงบจนไม่อยากทำอะไรอีก และจะหลับไหลไปตลอดกาลจนกว่าอากาศจะเย็นขึ้น และบางครั้งก็จะมีคนตายเพราะเรื่องแบบนี้
นี่มันแทนที่โรคลมแดดได้เลยไม่ใช่รึไงกัน?
เป็นโลกที่อันตรายชะมัด ขนาดแสงแดดยังฆ่าคุณได้เลยถ้าตากนานเกินไป ให้ตายสิ แต่เอาเถอะ เธอแค่อยากมาพักผ่อนหย่อนใจสักหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น กว่าพลังของแสงจะออกฤทธิ์ก็ราวๆห้าถึงเจ็ดชั่วโมงนั่นแหละ แถมแสงแดดจากช่วงเช้าๆหรือยามเย็นก็ไม่ค่อยมีผลกระทบอะไรด้วย
เด็กสาวหลับตาพริ้ม เธอเริ่มต้นการงีบหลับในทันที
จากท้องฟ้าที่สว่างสดใสและไร้เมฆ บัดนี้เมฆดำจำนวนมากเริ่มมาแทนที่ช่องว่างของท้องฟ้า พระอาทิตย์หายไปและแทนที่ด้วยพระจันทร์กลมโตขนาดมหึมา
ความมืดมิดมาเยือนโลกใบนี้อย่างกระทันหัน ดวงตาขนาดใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้ายและน่าขนลุกได้ปรากฎขึ้นตรงดวงจันทร์ มันกลอกไปกลอกมาพลางแอบจ้องมองโลกใบนี้
เด็กสาวที่เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติได้ลืมตาขึ้น เธอเกิดความหวาดกลัวต่อภาพตรงหน้า
แสงจันทร์สีเงินที่มอบบรรยากาศและกลิ่นอายลึกลับและพิศวงได้สาดส่องลงมา ท้องฟ้ามีเมฆบางส่วน มองไม่เห็นดวงดาว มันเป็นท้องฟ้ายามราตรีที่สวยงามและมอบความรู้สึกสงบ
แต่สิ่งที่ทำลายความสงบนั้นคือพระจันทร์ขนาดใหญ่สีเงินที่มีดวงตาตรงกลาง ราวกับว่ามันเป็นดวงตาของเทพมารผู้ชั่วร้ายหรืออะไรแบบนั้นเลยล่ะ
“ยูริจัง!” ฮันน่าวิ่งออกมาจากบ้านพร้อมกับร่มคันใหญ่ “เข้าบ้านเร็ว!”
ขณะที่ร่างกายแข็งทื่อ เด็กสาวพลันได้สติพลางวิ่งเข้าไปหลบในร่มของฮันน่า ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิด พระจันทร์นั่นอันตราย อันตรายอย่างมากเลยล่ะ บางทีแสงจันทร์อาจจะมีพลังอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอขยับตัวไม่ได้เมื่อครู่
เมื่อทั้งคู่วิ่งมาถึงบ้าน ฮันน่าก็ถีบประตูพรวด ก่อนที่ทั้งคู่จะพุ่งเข้าไปอย่างรีบร้อน หอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย เด็กสาวรู้สึกจุกเสียด อาหารยังไม่ทันย่อยเลยด้วยซ้ำ
ดวงตาบนพระจันทร์นั่นหายไปทันทีที่พวกเธอเข้ามาในบ้าน ราวกับว่าไม่เคยปรากฎตัวมาก่อน…