ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 5 เมืองรัตติกาล
วาคาดะ ซายูริถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น ตัวของเธอห่มด้วยผ้าขนหนูผืนสีขาว น่าแปลกที่ฮันน่ายังไม่ยอมไปไหน อีกฝ่ายยังไม่ยอมเอาเสื้อผ้าไปซักเสียที แปลกชะมัด
“ที่บ้านเราไม่มีเครื่องซักผ้า” ฮันน่าอธิบาย “ดังนั้นพวกเราจะไปที่ร้านซักรีดในเมืองกัน”
“เมืองเหรอคะ?” ยูริเอียงคออย่างสนใจ ตั้งแต่ที่เธอมาที่โลกใบนี้ เธอก็ไม่เคยได้เห็นตัวเมืองเลยสักครั้ง ถ้าได้ไปที่นั่นเธอน่าจะได้หาข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้ได้มากยิ่งขึ้น แถมยังมีโอกาสได้สร้างเส้นสายกับคนใหม่ๆอีกด้วย
“ใช่ เมืองรัตติกาล หนึ่งในเมืองหลวงของอาณาจักรแห่งนี้น่ะ มันอยู่ใกล้กับบ้านมากที่สุดด้วย แค่สองสามร้อยไมล์เอง”
ฮันน่า บ้านของพวกเราตั้งอยู่ตรงไหนของประเทศกันแน่? เด็กสาวเอียงคออย่างฉงน แต่ก็ไม่ซักถามอะไร เฝ้ามองฮันน่านำเสื้อผ้าใส่ตระกร้าและยกขึ้นไปตั้งนอกบ้าน
“พี่จะเอาพวกมันไปฆ่าเชื้อโรคชั่วคราวก่อน ยูริจังไปอาบน้ำก่อนเลย”
“ค่ะ”
หลังจากนั้นเด็กสาวก็ไปอาบน้ำ เธอปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวชะโลมร่างกาย ความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะจากเหงื่อหายไปจนหมด ผ่านไปราวๆห้านาที เธอก็เช็ดตัวและผมจนแห้งก่อนจะออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่สวมผ้าขนหนูปิดไปจนถึงหน้าอก
ถึงมันจะแบนเป็นไม้กระดานก็เถอะ แต่ยังไงเธอก็ต้องปิดมันอยู่ดี คนปกติเขาก็ทำไม่ใช่รึไง?
เด็กสาวเข้าไปแต่งตัวในห้องนอน อากาศหนาว เธอเลยคิดว่าอยากจะแต่งตัวให้มิดชิดกว่าปกติเล็กน้อย แถมกำลังจะออกเดินทางด้วย ไม่อยากให้คนแปลกหน้าจ้องมองสักเท่าไหร่
“ยูริจัง เปิดประตูให้พี่หน่อย” ฮันน่าเคาะประตูเบาๆ เด็กสาวเดินไปเปิดประตู พบว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว ฮันน่าสวมหมวกทรงสูงของบุรุษ สวมเสื้อเชิ๊ตสีดำ สวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลแก่ และสวมกางเกงขายาวสีน้ำตาล ดูคล้ายกับนักสืบเอกชนที่กำลังจะไปสืบคดี
“เอ่อ มีอะไรเหรอคะ” เธอถามพลางมองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า นี่มันชุดผู้ชายไม่ใช่รึไงกัน แถมฮันน่ายังรวบผมบางส่วนไปข้างหลังและปล่อยผมบางส่วน ดูเป็นสาวมาดเท่ที่สวมชุดของผู้ชาย แต่แปลกซะจริง ไม่ได้จะปลอมตัวเป็นผู้ชายแท้ๆ ใส่ชุดนั้นทำไมนะ หรือเป็นรสนิยมส่วนตัว?
“พี่มาเลือกชุดให้ เราต้องปลอมตัว” ฮันน่าพูดประโยคนั้นออกมาอย่างง่ายดาย หัวสมองของเด็กสาวพลันหมุนติ้วเมื่อได้ยินคำนั้น
ปลอมตัว? ปลอมตัวทำไม? หรือฮันน่าจะเป็นผู้ร้ายหนีคดี หรือไปพัวพันกับพวกตัวอันตรายเข้า? เด็กสาวคิดพลางทำสีหน้าตื่นตระหนก เธอต้องการให้อีกฝ่ายอธิบายมาให้ชัดเจน
ฮันน่าดูจะเข้าใจในความหมายของสีหน้าอีกฝ่าย เธอกระแอ่มเบาๆก่อนจะเอ่ย
“เมืองรัตติกาลคือเมืองที่เต็มไปด้วยเผ่าอมนุษย์ มีมนุษย์อยู่บ้างหรอก แต่พวกนั้นคือชนกลุ่มน้อย ช่วงนี้เผ่าอมนุษย์กับมนุษย์กระทบกระทั่งกันบ่อยๆน่ะ พี่เลยคิดว่าการให้ยูริจังปลอมตัวไปจะเป็นการดีที่สุด”
วาคาดะ ซายูริทำสีหน้าเคลือบแคลงเล็กน้อย แต่ก็ยอมเชื่อในคำอธิบายของอีกฝ่าย ต่อหน้าปีศาจอมตะตนนี้ ต่อให้ตนจะพยายามหนียังไง อีกฝ่ายก็ฆ่าเธอได้ในทันทีอยู่ดี
เธอยังไม่ไว้ใจฮันน่าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น ถึงอีกฝ่ายจะดูอบอุ่นและใจดี แต่ประสบการณ์เก่าๆของเธอทำให้เธอระมัดระวังตัวไปโดยปริยาย การเชื่อใจใครสักคนมากเกินไปมักจะนำพาหายนะมาเสมอ
แน่นอน เธอไม่ใช่พวกประสาทแดกที่ไม่ไว้ใจไปซะทุกอย่าง การจะไม่ไว้ใจหรือไว้ใจใครสักคนจะต้องทำให้พอดี ไม่มากเกินหรือน้อย เกินไป ถ้ามากเกินไปก็อาจจะทำให้พลาดเรื่องสำคัญหรือโอกาสบางอย่างได้
เช่น สมมุติถ้ามีใครสักคนยื่นเงินมาให้ล้านหนึ่ง ถ้าระแวงมากเกินไปคุณอาจจะพลาดเงินที่จะได้รับจากยูทูปเบอร์ที่กำลังทำคอนเท้นลงช่องของตัวเองก็ได้
แต่ถ้าน้อยเกินไปคุณอาจจะลงเอยด้วยการถูกจับไปประมูลขายอวัยวะแทน ดังนั้นเลือกเป็นคนขี้ระแวงเอาไว้ก่อนจะช่วยให้ชีวิตปลอดภัยขึ้นมาก แม้จะขาดสีสันไปบ้างก็ตาม
“ตกลงค่ะ” เธอเอ่ย “เอ่อ พี่ช่วยหนูปลอมตัวได้รึเปล่าคะ”
ฮันน่าพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบเสื้อฮู้ดสีน้ำตาลออกมา โยนลงบนเตียงที่ปราศจากผ้าปูที่นอน และหยิบของอย่างอื่นออกมา เช่นกางเกงขาสั้นสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว รวมไปถึงบราสำหรับเด็กตามลำดับ
“แค่นี้พอเหรอคะ?” เด็กสาวถามพลางสวมกางเกงใน ร่างเปลือยเปล่าดูยั่วยวนและกระตุ้นอารมณ์ ฮันน่าเผยสีหน้าแดงชั่วขณะก่อนจะหันไปทางอื่น ทำทีเป็นชมลวดลายบนตู้เสื้อผ้า หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ
“ใช่ แค่นี้ก็พอแล้ว”
เด็กสาวนึกสงสัย เธอนึกว่าตัวเองจะต้องติดเขี้ยวปลอมหรืออะไรแบบนั้นซะอีก แต่ง่ายกว่าที่คิด หรือบางทีอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ฮันน่าไม่ยอมเปลี่ยนเธอให้กลายเป็น’สาวน้อยแวมไพร์’ กันแน่นะ
เด็กสาวสวมเสื้อเชิ้ตและทับด้วยเสื้อคลุมที่มีหมวกติดกับคอเสื้อ สวมกางเกงขาสั้นและเอาหมวกขึ้นมาคลุมหัวตามที่ฮันน่าบอก เมื่อมองจะนึกถึงสาวน้อยน่ารักและ’ใสซื่อ’
“เป็นไงคะ น่ารักรึเปล่า” เธอถามพลางโพสต์ท่าให้ออกมาดูน่ารักให้มากที่สุด หวังจะแสดงเป็นเด็กสาวที่มีจิตใจใสซื่อและบริสุทธิ์
เราควรได้รางวัลออสการ์สาขาการแสดง เธอรำพัน
“น น่ารัก น่ารักมากๆเลยยูริจัง” ฮันน่ายิ้มพลางทำสีหน้ามีความสุขสุดขีด ราวกับว่าชีวิตนี้ดีใจที่ได้เห็น “ป ไปกันเถอะจ่ะ”
“ค่ะ!”
ราวห้านาทีต่อมา วาคาดะ ซายูริก็พบว่าตัวเองกำลังมึนเมา
ใช่ มึนเมา! ตัวของเธอลอยสูงเหนือพื้นดินราวๆสิบเมตร ข้างๆคือฮันน่าที่จับมือของเธอเอาไว้ ดูเหมือนว่าฮันน่าจะมีเวทมนตร์ที่ใช้สำหรับการบินด้วย ตัวของเด็กสาวเบาหวิวราวกับขนนก ชายเสื้อคลุมโบกสะบัดไปตามลม ข้างบนนี่ลมค่อนข้างรุนแรง ราวกับจะพัดพาตัวของเธอให้ปลิวไปไกลแสนไกล
“ยูริจัง จับไว้ให้แน่นๆนะ” ฮันน่าบอกพลางกระชับมือจนแน่นกว่าเดิม
“ค ค่ะ” เด็กสาวตอบ สีหน้าซีดเผือดเพราะความสูง ความสูงนี่มัน–น่ากลัว น่ากลัวชะมัด ถึงแม้จะตื่นเต้นเพราะได้สัมผัสกับประสบการณ์แฟนตาซีแบบนี้เป็นครั้งแรกก็เถอะ แต่นี่มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว! ต้นไม้ที่เคยสูงใหญ่เริ่มดูเล็กลงถนัดตา เมื่อมองจากเบื้องบนเธอก็สามารถมองเห็นอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้
ทั้งส่วนยอดของต้นไม้ที่มีรังนกขนาดใหญ่ ในรังว่างเปล่าปราศจากสิ่งใดนอกจากขี้นกสกปรก และเธอเห็นรังกระต่ายตั้งอยู่บริเวณต่างๆของป่า บริเวณที่ยังไม่เคยไปสำรวจ แต่น่าแปลกที่ป่าลึกขนาดนี้แต่เธอกลับไม่เห็นสัตว์ใหญ่ๆเลยสักครั้งเดียว
บ้านไม้ดูเล็กลงและดูแปลกตาเมื่อมองจากมุมสูง เด็กสาวชักอยากจะรู้ระบบการทำงานของเวทมนตร์ของโลกนี้ซะแล้ว แถมดูเหมือนตอนที่ฮันน่าใช้เวทบินเพื่อพาเธอลอยขึ้นมา อีกฝ่ายจะร่ายคาถาอะไรบางอย่าง และวงแหวนเวทสีแดงเรืองแสงสามมิติก็ถูกเสกให้ปรากฎออกมากลางอากาศ
น่าสนใจชะมัด นั่นคือวิธีการใช้เวทมนตร์ของโลกนี้สินะ ร่ายคาถาและวงแหวนเวทมนตร์จะปรากฎ จากนั้นก็ใช้เวทมนตร์ได้ราวกับเป็นนิยายแฟนตาซี! ไม่เข้าใจตัวเองเอาซะเลยว่าทำไมตอนเจอเทพธิดาเธอถึงขอไม่เอาพลังเวทใดๆ
บางทีเธออาจจะทำไปเพื่อประชดประชันพระเจ้าก็เป็นได้
ฮันน่าสำรวจเด็กสาวด้วยหางตา พลางยิ้มอบอุ่น
“ไม่ต้องกลัวนะยูริจัง พี่ไม่ปล่อยให้ตกหรอก อีกอย่างอยู่สูงแค่นี้ ตกไปก็ไม่ตาย”
ฮันน่า นั่นมันสำหรับพวกอมตะแบบเธอรึเปล่า? สิบเมตรเนี่ยนะไม่ตาย? เธอเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆนะ นี่คงไม่ได้คิดจริงๆใช่ไหมว่าเธอจะฟกช้ำแค่นิดหน่อยหรืออะไรแบบนั้นถ้าตกลงไป?
ตัวของทั้งคู่เริ่มเคลื่อนไหว ป ไปแล้ว เริ่มการโบยบินแล้วหรือ?
ทั้งคู่พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง วาคาดะสัมผัสได้ถึงกระแสลมรุนแรงที่พุ่งมาปะทะกับใบหน้า ภาพต่างๆผ่านไปอย่างรวดเร็ว บ้านไม้ห่างออกไปเรื่อยๆจนกระทั่งหายไปจากสายตาอย่างสมบูรณ์ แรงต้านจากลมทำให้เธอรู้สึกอยากจะอาเจียน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเธอก็ลงจอดลงบนตีนเขาลูกหนึ่ง รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้ พื้นดินสีน้ำตาลแห้งกรังแตกต่างจากบริเวณบ้านของทั้งคู่ เด็กสาวก้มตัวลงพลางอาเจียนออกมาอย่างหมดไส้หมดพุง
อุก อ๊อก
ของเหลวสีใสและปะปนไปด้วยสิ่งปฏิกูลมากมายทะลักออกมาจากลำคอและหล่นลงสู่พื้นดิน เธอสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ไปไหนมาไหนกับฮันน่าอีกแล้ว
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมยูริจัง” ฮันน่าพูดด้วยความเป็นห่วง “ขอโทษนะ บินเร็วไปหน่อย”
อุก ขอโทษนะกับผีดิ ใครใช้ให้บินด้วยความเร็วราวๆสองสามร้อยไมล์ต่อครึ่งชั่วโมงแบบนี้กัน เร็วขนาดนี้ไปแข่งกับเครื่องบินเจ็ตเลยไหม ห๊ะ!? ดีนะที่ก่อนออกมาอีกฝ่ายร่ายบาเรียใส่เธอแล้ว ทำให้ไม่ช็อกตายจากการบินด้วยความเร็วสูงหรือร่างแหลกเหลวน่ะ
อุก ของออกมาหมดเกลี้ยงเลย ไม่นะ ของที่พึ่งกินเข้าไป–
ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่าง พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ทำให้ความมืดมิดในป่าถูกขจัดออกทีละนิด แสงแดดยามเช้าสดใสทำให้เธอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายทีละนิด
“เราต้องเดินเท้าไปอีกหน่อย” ฮันน่าบอก “ข้างหน้านี่ประมาณหนึ่งไมล์จะมีเมืองอยู่ นั่นคือเป้าหมายของพวกเรา”
ฮันน่า ทำไมเธอไม่ซื้อเครื่องซักผ้ามาสักเครื่องกันห๊ะ! จะได้ไม่ต้องเดินทางมาแบบนี้ แล้วนี่แปลว่าถ้าอยากซักผ้าเธอก็จะบินมาที่นี่ทุกๆครั้งเลยงั้นเหรอ ดีหน่อยที่ฮันน่าเป็นพวกที่ชอบซักผ้าอาทิตย์ล่ะครั้ง ไม่งั้นคงต้องมาทุกวันแน่ๆ อ๊อก!
เด็กสาวอาเจียนออกมาเป็นครั้งสุดท้าย น้ำหูน้ำตาไหลทำให้ภาพทุกๆอย่างพร่าเบลอ ฮันน่ายื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ เธอรับมันไปใช้
“แล้วเสื้อผ้ากับผ้าปูนี่มันอยู่ที่ไหนกันคะ?” ยูริถาม เธอพึ่งนึกออกว่าระหว่างเดินทางมาฮันน่าไม่ได้เอาอะไรมาเลย
“อยู่นี่จ่ะ” ฮันน่าบอกพลางเสกวงแหวนเวทสามมิติ และนำตระกร้าเสื้อผ้าออกมาจากข้างในนั้น
หืม สามารถใช้เวทมนตร์เก็บของได้ด้วยงั้นหรือ จากนิยายที่เธอเคยอ่านมา ของแบบนี้ถือว่าเป็นเวทชั้นสูงเลยนี่น่า แต่ฮันน่าสามารถใช้มันได้อย่างงั้นเหรอ หรือบางทีมันอาจจะเป็นเวทปกติของโลกใบนี้ก็ได้
“นี่คือเวทกักเก็บน่ะ” ฮันน่าบอก “ปกติแล้วเวลาเรียกใช้จะต้องเอ่ยคาถาว่าบ็อกซ์ แต่พี่เอ่ยในใจแล้วยูริจังเลยไม่ได้ยินน่ะ”
ไอ้เราก็นึกว่าเป็นเวทไร้ร่าย ที่แท้ก็ยังต้องร่ายอยู่ เด็กสาวคิดในใจ เริ่มได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเวทมนตร์ของโลกใบนี้ เวลาใช้เวทมนตร์จะต้องเอ่ยคาถาและใช้วงแหวนเวทสินะ แฟนตาซีชะมัด
“พี่คะ วงเวทกักเก็บนี่เป็นเวทชั้นสูงใช่รึเปล่าคะ? แล้วพี่ใช้มันได้ด้วย สุดยอดไปเลยค่ะ!” เธอแสร้งตื่นเต้นและทำตาเป็นประกาย เธอต้องการเค้นข้อมูลจากอีกฝ่าย ซึ่งความจริงจะถามไปแบบปกติก็ได้อยู่หรอก แต่เธอติดนิสัยหลอกถามข้อมูลมาจากคนอื่นในชาติก่อนแล้วน่ะสิ
“เอ่อ ก็–ไม่ขนาดนั้น” ฮันน่าเกาท้ายทอยอย่างอายๆ “เวทนี่คือเวทมนตร์ระดับต่ำที่ใครๆก็ใช้ได้น่ะ ยูริจังก็น่าจะใช้ได้นะ”
วาคาดะ ซายูริยิ้มค้างแข็งทื่อ เวทมนตร์งั้นเหรอ ใช้ไม่ได้ซะหน่อย เธอมีพลังเวทเป็นศูนย์เลยนะ ใช้เวทที่ว่าง่ายนั่นไม่ได้ด้วยซ้ำ
“อธิบายเรื่องเวทมนตร์ต่างๆมาให้หน่อยได้รึเปล่าคะ หนูอยากฟัง” เธอตัดสินใจไม่พูดเรื่องวงเวทกักเก็บอีก และเดินคุยเรื่อยเปื่อยกับฮันน่า ทั้งคู่ลงเนิน ข้ามก้อนหิน หลบเลี่ยงพงหญ้าที่มีหนามคันๆ เนื้อตัวสกปรกมอมแมม นี่จะอาบน้ำมาเพื่ออะไรเนี่ย? เดี๋ยวกลับไปก็ต้องอาบอีกรอบ
“เอ เริ่มจากเรื่องไหนก่อนดีล่ะ” ฮันน่าแตะปลายคางอย่างครุ่นคิด “งั้นเริ่มจากเรื่องลำดับชั้นของเวทมนตร์ก่อนเลย ยูริจังอยากฟังไหมล่ะ?”
“อยากค่ะ!” เด็กสาวตอบรับอย่างกระตือรือร้น ได้เวลาเก็บข้อมูลแล้ว
“สิ่งมีชีวิตทุกตัวบนโลกใบนี้มีพลังเวท โดยที่เผ่าอมนุษย์และมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจะมีพลังเวทมากเป็นพิเศษ” ฮันน่าเริ่มกระบวนการอธิบาย
“ว่ากันว่าต้นกำเนิดของเวทมนตร์มาจากเสี้ยวพลังของเทพธิดาอโลวีนัส ท่านได้ประทานมันให้กับโลกใบนี้ในฐานะของพรจากพระเจ้า โดยที่สิ่งมีชีวิตที่มีกระบวนการคิดซับซ้อนจะมีพลังเวทมากกว่าสิ่งมีชีวิตที่ระดับปัญญาต่ำ
ในการใช้เวทมนตร์ สิ่งมีชีวิตจะต้องเอ่ยคำร่ายเป็นภาษาสุริยันโบราณ มันเป็นภาษาที่เชื่อกันว่าจะไปกระตุ้นการทำงานของเวทมนตร์ในร่างกาย ในการใช้คำร่ายจะต้องใช้คำร่ายที่ถูกต้องเพื่อใช้เวทมนตร์
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอยากใช้เวทไฟให้เอ่ยว่า ‘อัส’ ซึ่งเวทไฟเองก็มีหลายประเภทและหลายระดับ หลากหลายการใช้งาน ทำให้มีคำร่ายแตกแขนงออกไปอีกนับร้อยชื่อ
และนอกจากคำร่ายแล้ว สิ่งมีชีวิตจะต้องควบคุมวงแหวนเวทให้เป็น ถ้าคำร่ายคือตัวจุดฉนวนให้เวทมนตร์ทำงาน วงแหวนเวทจะเป็นประตูหรือหน้าต่างที่เป็นทางผ่านของพลังเวท ยิ่งมีประตูหลายชั้นก็ยิ่งควบคุมพลังเวทได้ง่ายและแม่นยำมากยิ่งขึ้น”
สรุปง่ายๆก็คือ ถ้าใช้วงเวทไม่ได้ ต่อให้เอ่ยคำร่ายได้ถูกต้อง เวทมนตร์ที่ใช้ก็จะออกมาผิดเพี้ยนและไม่มีประสิทธิ์ภาพ วงเวทมีหน้าที่ในการจัดระเบียบเวทมนตร์ ส่วนคำร่ายจะเป็นตัวกระตุ้นให้เวทมนตร์ทำงานอย่างถูกต้อง
“เวทมนตร์ระดับต่ำๆสามารถใช้วงเวทแค่วงเดียวในการร่ายได้ แต่ถ้ายิ่งเป็นเวทมนตร์ระดับสูง จะต้องใช้วงเวทมากขึ้นเพื่อควบคุมไม่ให้มันแสดงผลผิดพลาด สมมุติถ้าร่ายคาถาที่เป็นเวทมนตร์ระดับสูงแต่กลับใช้วงเวทแค่วงเดียว ผลที่จะตามมาคือการคลุ้มคลั่งของผู้ใช้”
หลังจากนั้นฮันน่าก็เล่าให้ฟังว่าประชาชนธรรมดาส่วนใหญ่สามารถใช้เวทมนตร์ระดับต่ำๆได้ ซึ่งมีตั้งแต่วงเวทหนึ่งวงไปจนถึงสามวง ส่วนเวทมนตร์ระดับกลางคือตั้งแต่สี่ถึงหกวง เวทระดับสูงคือเจ็ดถึงเก้าวง และมันก็สุดแค่นั้น
คาถาที่ใช้สำหรับเวทระดับต่ำเป็นที่เปิดเผยแก่คนทั่วไป เช่นบ็อกซ์ คาถาที่ใช้สำหรับวงเวทกักเก็บสิ่งของ ใครๆก็สามารถใช้งานได้ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เคยมีคนธรรมดาค้นพบคาถาสำหรับเวทมนตร์ระดับกลางถึงสูงเลย มีแค่ชนชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่ใช้เวทมนตร์ระดับนั้นได้
และหลังจากคุยกันมาอย่างเพลิดเพลิน พวกเธอก็มาหยุดอยู่หน้าทางเข้าเมืองเมืองหนึ่ง
เมืองรัตติกาล