ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 7 การฝึกภาษาของยูริ
หนังสือปกหนาวางอยู่บนตัก กระดาษสีซีดเต็มไปด้วยตัวอักษรหน้าตาประหลาด เด็กสาวอ่านไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว อากาศในห้องสมุดค่อนข้างเย็น เธอพยายามที่จะอ่านมันให้เข้าใจ แต่กลับไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว
“บ้าอะไรเนี่ย หรือว่าตอนมาเกิดใหม่เทพธิดาจะไม่ได้ให้ความสามารถแปลภาษามาด้วย แต่ฉันก็คุยกับฮันน่าได้ปกตินี่น่า…” เธอพึมพัมพลางเปิดไปยังหน้าถัดไป แต่สุดท้ายก็อ่านไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว
ด้านหลังของเด็กสาวคือชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือปกแข็ง พื้นปูด้วยกระเบื้องสีขาว แสงไฟด้านบนสะท้อนกับผิวกระเบื้องเป็นมันเงา เบื้องหน้าคือชั้นหนังสืออีกชั้น ประกบกันกับตัวของเด็กสาว แต่ดีหน่อยที่ระยะห่างของทั้งสองชั้นค่อนข้างกว้าง ทำให้เดินได้อย่างสะดวก
เด็กสาวตั้งข้อสงสัยกับตัวเองในใจ ตอนพูดคุยกับฮันน่าเธอสามารถพูดคุยได้ตามปกติ และตอนพูดคุยกับผู้คนเธอก็สามารถคุยได้ราวกับรู้ภาษาของโลกใบนี้ดี แต่พอจะอ่านกลับไม่เข้าใจซะงั้น
ตัวอักษรที่ถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือนี่มีลักษณะคล้ายกับภาษากรีกในโลกเก่าของเธอที่ถูกนำมาผสมกับภาษาฝรั่งเศษจนกลายเป็นตัวอักษรแปลกใหม่ เป็นตัวอักษรที่ไม่มีทางพบเจอได้ในโลกเก่าแน่ๆ
เฮ้อ เธอปิดหนังสือเบาๆ คงต้องให้ฮันน่าอ่านให้ฟัง หรือไม่ก็ยืมหนังสือกลับไปฝึกอ่านที่บ้าน ถ้าเธอไม่เชี่ยวชาญภาษาพวกนี้ภายในสิ้นปีนี้ล่ะก็… เอาเถอะ กะอีแค่ภาษาต่างโลก จะยากแค่ไหนกันเชียว
เด็กสาวปิดหนังสือดังฉับ ในใจนึกผิดหวัง นึกว่าจะรู้ข้อมูลของโลกใบนี้มากขึ้นกว่านี้ซะอีก เธอกะว่าจะหาความหมายของคำว่าเบอร์มิวด้าที่ฝันถึงในวันก่อนด้วย
ถึงจะบอกว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย แต่เธอก็ไม่สบายใจเลยแม้แต่นิดเดียว โลกใบนี้คือโลกแฟนตาซีที่มีพลังพิเศษ การที่เธอฝันร้ายแบบนั้นอาจจะเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่างก็ได้ แบบในนิยายหลายเรื่องที่ตัวเอกมักฝันแบบมีลางบอกเหตุหรืออะไรแบบนั้น
หึหึ แต่คนอย่างตัวเธอน่าจะเหมาะที่จะเป็นลาสบอสซะมากกว่า หรือไม่ก็ตัวเอกที่สมควรตายในตอนจบของเรื่องราว
เธอมีแผนอยู่ว่าจะหาทางทำอะไรสักอย่างกับเด็กๆในเขตถนนเตาไฟ อย่างการนำเงินสักถุงไปวางเอาไว้ ลองคิดดู มันจะชุลมุนวุ่นวายมากขนาดไหนถ้าพวกคนจรจัดพวกนั้นต่างพากันเข้ามาเพื่อแย่งเงินกัน และระหว่างการต่อสู้อันดุเดือดเธอก็จะโยนชะแลงให้พวกนั้นเอาไปใช้ ใครได้ไปก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้น
ภาพที่พวกชั้นต่ำกำลังแก่งแย่งทรัพย์สมบัติกันเพราะความโลภของตัวเองน่ะ เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกดี จริงไหมล่ะ? มีแต่คนไม่ปกติเท่านั้นแหละที่จะรู้สึกแย่กับเรื่องแบบนี้ แถมเธอก็ไม่ได้บังคับให้แย่งเงินกันสักหน่อย
อ่า แต่ก่อนที่จะไปทำอะไรแบบนั้นเธอควรจะสลัดฮันน่าให้หลุดซะก่อนล่ะนะ
เด็กสาวลุกยืนขึ้น เธอนำถือหนังสือออกจากโซนประวัติศาสตร์ ก่อนจะเดินไปหาฮันน่าที่อยู่ในโซนทำอาหาร อีกฝ่ายที่กำลังนั่งอ่านอยู่ทำสีหน้างุนงงเล็กน้อย
“ยูริจังอ่านจบแล้วเหรอ? ทั้งเล่มเลยอะนะ”
ไม่ได้บอกแบบนั้นเลยสักคำ เด็กสาวถอนใจ ก่อนจะบอกไปตามตรง
“พี่คะ หนูอ่านไม่ออกค่ะ”
น่าขายหน้าชะมัดที่ต้องบอกไปตามความจริงแบบนี้ แต่ฮันน่าคงไม่ว่าอะไร ยังไงซะเธอก็เป็นแค่เด็กเจ็ดขวบ ถ้ามองจากมุมมองของคนนอกล่ะนะ
อีกฝ่ายทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและหยิบหนังสือไปจากมือของเด็กสาว
“อยากยืมไปฝึกอ่านใช่ไหม?” ฮันน่าถามพลางจ้องมองไปยังหัวข้อของหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ของเมืองรัตติกาลและสงครามเรือบิน’ “นี่มันยากมากเลยนะ ยูริจังอยากฝึกด้วยไอ้นี่จริงๆเหรอ?”
ในหนังสือนั่นเต็มไปด้วยคำศัพท์และไวยากรณ์ยากๆที่เด็กเจ็ดขวบไม่มีทางเข้าใจ ไม่มีทางที่ยูริจังจะอ่านรู้เรื่องแน่ ฮันน่าคิดอย่างงั้น บางทีเราควรจะหาหนังสือสำหรับฝึกคำศัพท์มาให้ยูริจังอ่านโดยเฉพาะ หนังสือประวัติศาสตร์นี่มันยากเกินไปสำหรับเด็ก
“หาหนังสือคำศัพท์สำหรับเด็กมาก่อนก็ได้ค่ะ” ดูเหมือนเด็กสาวจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ เธอเลยตอบอย่างประนีประนอม ยังไงซะ สำหรับหนังสือประวัติศาสตร์ค่อยหาโอกาสอ่านวันหลังก็ได้ ต่อให้ไม่อ่านตอนนี้ก็ใช่ว่ามันจะหนีหายไปไหนสักหน่อย
“ตกลงตามนั้น” ฮันน่าตอบอย่างกระตือรือร้น สีหน้าดีใจที่จะได้สอนเด็กสาวอ่านหนังสือ “งั้นไปทำเรื่องยืมหนังสือกัน”
วาคาดะ ซายูริพยักหน้า ก่อนที่ทั้งคู่จะตามหาหนังสือที่ต้องการ เมื่อเจอแล้วทั้งคู่ก็นำไปทำเรื่องขอยืมกับมาดามแองเจลิก้า อีกฝ่ายมองมาทางยูริด้วยสายตาเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก่อนจะทำการให้ยืมหนังสือ
“นำมาคืนภายในอาทิตย์หน้าด้วยล่ะ” มาดามแองเจลิก้าย้ำรอบที่สามด้วยสีหน้าจริงจังเจือความหงุดหงิด “ฉันสาบานเลยว่าถ้าพวกเธอไม่เอามาคืน ฉันจะไปลากคอพวกเธอมาคุกเข่าหน้าห้องสมุด!”
น่าหงุดหงิดชะมัด ยูริคิดในใจ มาดามแองเจลิก้าไปหงุดหงิดอะไรมา ผัวทิ้งรึไง? อ่า แต่ถ้าจะนิสัยแบบนี้ก็ไม่แปลกเลยสักนิด เธอจิกกัดในใจ หลังจากนั้นสองสาวก็ออกมาจากห้องสมุด
“ตอนนี้น่าจะถึงเวลาไปรับเสื้อผ้าแล้ว” ฮันน่าบอกพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงตะวันลอยโด่งเหนือศีรษะ เป็นการบ่งบอกว่าตอนนี้เที่ยงวันแล้ว เสื้อผ้าน่าจะซักเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เด็กสาวที่ยังหงุดหงิดยัยแก่นั่นไม่หายพยักหน้าเบาๆ ฮันน่ามองพลางยิ้มเล็กน้อย
“มาดามก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่อีกไม่กี่ปีแกก็ลาออกแล้วล่ะ จากที่ไปถามมาล่ะนะ คราวหน้าถ้ายูริจังจะมาอีกก็ทนๆจนกว่าแกจะลาออกไปแล้วกันนะ”
ฮันน่าพอเดาได้ว่าเด็กสาวปรารถนาจะมาห้องสมุดอีกในอนาคต เธอเลยพูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ แน่นอนว่ายูริไม่สนหรอก เธอไม่คิดจะรอให้มันลาออก แต่เธอจะหาทางจัดการมันด้วยตัวเอง! กล้ามามองเราด้วยสายตาแบบนั้นงั้นหรือ? จะควักออกมาซะเลย และจะนำไปโยนให้หมาแดกซะ!
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปรับเสื้อผ้าคืนมาจากร้านซักรีด ฮันน่านำเสื้อผ้าทั้งหมดในตระกร้าใส่เข้าไปในวงเวทกักเก็บ ก่อนที่ทั้งคู่จะตัดสินใจเดินทางกลับไปบ้าน ตอนนี้หมดธุระกับเมืองแห่งนี้แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่ต่ออีก
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ยูริก็ถอดฮู้ดออกและนำพวกมันใส่ตระกร้าอีกใบ น่าตลกดีเหลือเกินที่พึ่งจะซักไปแท้ๆ แต่กลับมีเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ต้องซักอีกที เด็กสาวอาบน้ำราวๆสิบนาที ก่อนจะออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนยาว
“พี่คะ ทำข้าวผัดได้รึเปล่าคะ” เธอเอ่ย นึกอยากกินข้าวผัดฝีมือฮันน่าอีกครั้ง เธอจำได้ว่ารสชาติของข้าวผัดที่อีกฝ่ายทำนั้นอร่อยเป็นอย่างมาก ถ้านำไปแข่งกับร้านอาหารก็สามารถทำออกมาได้อร่อยยิ่งกว่าซะอีก เหมือนฮันน่าจะเคยอธิบายว่าเพราะเธอสามารถรับรู้ถึงปริมาณเครื่องปรุงที่เหมาะสม และรับรู้รสนิยมการกินของผู้อื่นได้จากการดมกลิ่น ทำให้เธอสามารถทำอาหารออกมาได้อร่อยและถูกปากทุกคน
“ได้จ้าาา” ฮันน่าเอ่ย “แต่–ขอพี่นอนพักก่อนนะ”
เสียงของอีกฝ่ายดูอ่อนเพลีย คิดไปคิดมาฮันน่าถูกเด็กสาวปลุกตอนตีห้าครึ่ง ไม่แปลกว่าทำไมถึงได้ดูอ่อนเพลียซะขนาดนั้น เด็กสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอเองก็เพลียเหมือนกัน และมีความปรารถนาที่จะนอนหลับพักผ่อน
“ค่ะ พี่สาว” เธอพยักหน้าพลางยิ้ม ในสายตาของฮันน่าแล้ว นั่นเป็นรอยยิ้มที่ช่วยเยียวยาจิตใจได้มากเลยล่ะ แก้มยุ้ยๆของยูริจังทำให้เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หญิงสาวเผลอทำเสียงหัวเราะแปลกๆออกมาพลางยิ้มด้วยรอยยิ้มพิลึก
“อืม ยูริจางงง พี่มีข้อแลกเปลี่ยน” เธอเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์
“ข้อแลกเปลี่ยนเหรอคะ?”
“ช่าย ข้อแลกเปลี่ยน พี่จะสอนภาษาให้ยูริและทำข้าวผัดอร่อยๆให้ แลกกับการที่ต้องมานอนด้วยกันกับพี่”
ฮันน่าพยายามหว่านล้อมเด็กสาวด้วยข้อเสนอสุดยั่วยวนชนิดที่ว่าหลอกได้แค่เด็กเจ็ดขวบได้สบายๆ ฮันน่าคิดว่ายูริจังที่เป็นแค่เด็กเจ็ดขวบน่าจะติดกับได้ง่ายๆ แต่หารู้ไม่ว่าตรงหน้าคือฆาตกรที่เจ้าเล่ห์ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
“หืม ไม่ใช่ว่าเงื่อนไขของการสอนภาษานั่นพี่ได้สัญญาไปก่อนหน้าแล้วไม่ใช่เหรอคะ ต่อให้หนูจะไม่นอนด้วยยังไงพี่ก็ต้องทำอยู่ดี และสอง ไม่ใช่ว่าไอ้ที่ว่าจะทำข้าวผัดให้ถ้าไปนอนด้วย พี่จะต้องทำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ? ต่อให้หนูไม่นอนด้วยยังไงพี่ก็ต้องทำอยู่ดีค่ะ”
หึ อย่าคิดว่ามุกหลอกล่อเด็กแบบนี้จะใช้กับเธอได้ มันเป็นกลอุบายชั้นต่ำที่ใช้หลอกพวกมีเซลล์สมองไม่ถึงร้อยเซลล์เท่านั้นแหละ ไม่มีทางหลอกเธอได้หรอก นี่คิดว่าพยายามหลอกใครอยู่กัน? เธอคือจอมเจ้าเล่ห์ที่อันตรายที่สุดเลยนะในโลกใบเก่าน่ะ
ฮันน่าทำสีหน้าผิดหวัง ชิ หลอกไม่ได้งั้นเหรอ ก็แค่อยากจะนอนกอดเองนะ ไม่คิดจะทำอะไรแปลกๆซะหน่อย
“รีบๆไปนอนได้แล้วค่ะ พี่สาว เดี๋ยวตื่นมาก็อย่าลืมทำกับข้าวและสอนภาษาตามสัญญาด้วยนะคะ”
หลังจากนั้นหลายชั่วโมง ดวงตะวันคล้อยต่ำทำท่าจะตกดิน ฮันน่าตื่นขึ้นมาด้วยสภาพอ่อนเพลีย เธอคำนวนเวลาเอาไว้ในหัว
เราหลับไปหลายชั่วโมง ตอนนี้น่าจะหกโมงแล้ว จริงสิ! ต้องรีบทำอาหารให้ยูริจังนี่น่า ตายแล้ว เผลอนอนนานไปหน่อย หวังว่าจะไม่หิวมากนะ พี่คนนี้ผิดไปแล้ววว
หญิงสาวลุกพรวดและพุ่งออกไปข้างนอกด้วยความรีบร้อน เธอตัดสินใจว่าจะทำอาหารก่อนแล้วค่อยไปอาบน้ำ และหลังจากนั้นก็จะสอนภาษาสุริยันให้กับยูริ
ทวีปทั้งสี่ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตกล้วนใช้ภาษาที่แตกต่างกัน ทวีปเหนือส่วนใหญ่มักจะมีภาษาสุริยันเป็นภาษาหลัก และมีภาษาถิ่นแยกย่อยกันไปตามแต่ละพื้นที่ ทวีปใต้มักจะใช้ภาษารัตติกาล ทวีปตะวันตกใช้ภาษาเอลฟ์โบราณ ทวีปตะวันออกมักจะใช้ภาษาราชันมังกร และในแต่ละทวีปก็มักจะมีภาษาอื่นๆแยกย่อยกันไปตามแต่ละพื้นที่
แน่นอน ด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทำให้ภาษารัตติกาลมักจะไปโพล่ในทวีปเหนือเป็นบางครั้ง และภาษาสุริยันก็ไปโพล่ที่ทวีปใต้เป็นบางครั้ง
สองสาวอาศัยอยู่ในทวีปเหนือ ทำให้ต้องใช้ภาษาสุริยันเป็นหลัก ทำให้ฮันน่าตัดสินใจสอนภาษาสุริยันให้ก่อน พอยูริเชี่ยวชาญแล้วเธอก็กะว่าจะสอนภาษาของทวีปอื่นๆให้ รวมไปถึงภาษาถิ่นของชนเผ่าต่างๆในทวีปเหนือ และอาจจะสอนภาษาแวมไพร์ซึ่งเป็นภาษาประจำเผ่าเอาไว้ให้ด้วย
ภาษาประจำเผ่าคือภาษาที่สิ่งมีชีวิตในเผ่าพันธ์นั้นๆใช้สื่อสารกันโดยเฉพาะ เป็นภาษาที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แตกต่างจากภาษาสุริยันและภาษารัตติกาลที่เป็นภาษาที่คนส่วนใหญ่ใช้ร่วมกันในทวีปของตัวเอง
แต่ก่อนที่จะไปไกลถึงขั้นนั้น เธอต้องสอนภาษาสุริยันให้ก่อน น่าแปลกที่ยูริสามารถพูดได้ แต่เขียนหรืออ่านไม่ได้ ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นพวกมีพรสวรรค์แต่พรสวรรค์กลับไปไม่สุดเท่าที่ควรอย่างงั้นแหละ
หลังจากที่หญิงสาวทำอาหารจนเสร็จ เธอก็ไปเคาะประตูเรียกยูริที่กำลังนอนหลับอยู่ในห้อง ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและตัดสินใจที่จะอาบน้ำ และพออาบเสร็จเธอก็มานั่งกินข้าวพร้อมกับเด็กสาวที่นั่งรอเธออยู่
“เอาตรงๆไม่ต้องรอก็ได้นะ” เธอบอกระหว่างที่กำลังตักข้าวผัดใส่ปาก มันร้อนแต่ก็อร่อย กลิ่นของไข่หอมๆเข้ากันได้ดีกับข้าวนุ่มๆและร่วน หญิงสาวครางออกมาเบาๆอย่างมีความสุข
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงซะกินพร้อมกันน่าจะดีกว่า” ยูริบอก “อย่าลืมสอนภาษาให้ด้วยนะคะ”
แวมไพร์สาวพยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กินอาหารอย่างเงียบๆและไม่พูดอะไรอีก
พอกินเสร็จก็เอาจานไปล้าง โดยที่คราวนี้ยูริเป็นคนช่วยล้างให้ ฮันน่ารู้สึกปลื้มอกปลื้มใจจนตัวแทบลอย รู้สึกราวกับตัวเองได้มีน้องสาวจริงๆ หรือบางทีเธออาจจะมีความสามารถในการเลี้ยงคนมากกว่าที่คิดกันนะ
หลังจากล้างจานเสร็จฮันน่าก็ทำตามสัญญา ทั้งคู่ไปนั่งที่โซฟาก่อนจะนำหนังสือคำศัพท์ที่ยืมมาเพื่อฝึกอ่าน
ตัวหนอนชัดๆ ยูริคิดในใจพลางเพ่งมองตัวอักษรเบื้องหน้า อ่านไม่เข้าใจ ไม่สิ ไม่สามารถอ่านได้อย่างสิ้นเชิงเลย เทพธิดามอบสกิลในการพูดและสื่อสารแบบปกติมา แต่ไม่มอบสกิลในการเขียนหรืออ่านเนี่ยนะ
“คำนี้แปลว่าแอปเปิ้ล” ฮันน่าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้ชี้ไปยังคำที่ดูเหมือนหนอนสิบตัวกำลังผสมพันธ์กัน “พูดตามซิ”
“แอปเปิ้ล” ยูริอ่านตามพลางนึกภาพของแอปเปิ้ลในหัว และนำมันไปเปรียบเทียบกับตัวอักษรหน้าตาอุบาทว์ อยากรู้ซะจริงๆว่าใครมันเป็นคนออกแบบตัวอักษรแบบนี้ขึ้นมากัน น่าจับมาทรมานชะมัด อ่านยากกว่าภาษาฝรั่งเศษหรือภาษาจีนรวมกันหลายเท่าเลย ดูนี่สิ แค่ตัวหนอนหายไปตัวเดียวความหมายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลย
น่าประหลาดมาก เทพธิดามอบสกิลในการพูดและการฟังมาให้เธอ แต่กลับไม่มอบสกิลในการอ่านหรือเขียนงั้นหรือ แปลกชะมัดเลย ถ้าจะมอบให้ทั้งทีทำไมไม่มอบให้สุดไปเลยล่ะ หรือไม่ก็ไม่ควรมอบอะไรให้เลย เพราะเธอเองก็ปฏิเสธทุกสกิลนี่น่า แล้วทำไมถึงให้สกิลในการพูดมากันล่ะ?
ภาษาที่เธอกำลังฝึกอ่านและเขียนอยู่คือภาษาสุริยัน ซึ่งมันแตกต่างจากภาษาสุริยันโบราณที่ฮันน่าเคยใช้ในการร่ายเวทมนตร์อย่างสิ้นเชิง เท่าที่เธอเข้าใจ ฮันน่าพูดกับเธอด้วยภาษาสุริยัน และเด็กสาวก็ฟังมันออกทุกคำ และการฟังออกที่ว่านั่นก็ไม่ใช่การแปลงภาษาสุริยันให้กลายเป็นภาษาญี่ปุ่นซะด้วย แต่เธอกลับฟังภาษาสุริยันออกราวกับเป็นเจ้าของภาษาซะเอง
หลังจากที่อ่านหนังสือคำศัพท์กับฮันน่าจนดึก พวกเธอก็ตัดสินใจเข้านอน เด็กสาวยังรู้สึกค้างคาใจกับเรื่องภาษาไม่หายเลยล่ะ
น่าแปลกชะมัด เธอสามารถพูดภาษาสุริยันได้แต่กลับเขียนหรืออ่านไม่ได้ แถมยังฟังภาษาสุริยันโบราณออกอีกต่างหาก ซึ่งมันเป็นภาษาที่ฮันน่าเคยใช้ตอนที่จะร่ายเวทล่ะนะ
และที่มันแปลกจริงๆก็คือ การฟังภาษาของเธอไม่ใช่การแปลงภาษาให้กลายเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เธอกลับสามารถใช้ภาษาสุริยันได้เชี่ยวชาญมาก เหมือนกับคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษคล่องแต่สมองก็ไม่ได้แปลงภาษาอังกฤษให้กลายเป็นญี่ปุ่นนั่นแหละ เหมือนเธอหลอมรวมกับภาษาไปเลย
“ไซโยนาระ คาวาอี้ เดส วาตาชิวะ หืม? อินุ?”
เธอเริ่มสงสัยเสียแล้วว่าทำไมเทพธิดาถึงได้มอบสกิลแปลภาษาครึ่งๆกลางๆมาแบบนี้กัน เมื่อเธอทดลองพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น เธอก็ยังพูดได้เหมือนเดิม
น่าแปลก สมมุติถ้าเป็นความสามารถในการแปลภาษาที่เทพธิดามอบให้จริงๆ คำพูดที่เธอพูดออกไปเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ควรถูกแปลงให้กลายเป็นภาษาสุริยันนี่น่า? และถ้าต้องไปพูดกับคนของทวีปใต้ที่พูดภาษารัตติกาล มันก็ควรถูกแปลงโดยอัตโนมัติสิ
หรือเป็นเพราะตอนนี้อยู่คนเดียวทำให้ภาษาไม่ถูกแปลงกันนะ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เธอจะลองไปพูดภาษาญี่ปุ่นใส่ฮันน่าดู ถ้ามันถูกแปลงให้กลายเป็นภาษาสุริยันก็แปลว่าเธอได้รับพลังแปลภาษามาจากเทพธิดาจริงๆ
แต่ถ้าไม่และฮันน่าได้ยินเป็นภาษาญี่ปุ่นล่ะก็ แปลว่าภาษาที่เธอพูดออกไปจะไม่มีวันถูกปลอมแปลง และนั่นก็แปลว่าที่ผ่านมาตอนคุยกับผู้คน เธอใช้ภาษาสุริยันอย่างคล่องแคล่วโดยไม่รู้สึกตัวมาตลอด และไม่ใช่การพูดภาษาญี่ปุ่นแล้วถูกแปลเป็นภาษาสุริยันแต่อย่างใด
เธอรู้สึกได้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างที่เธอไม่อาจเข้าใจได้หลบซ่อนตัวอยู่หลังม่านหมอกแห่งความสงสัย และเธอก็ต้องการไขปริศนาของม่านหมอกนั่น
เอาเถอะ เอาเป็นว่ารอตอนเช้าแล้วกัน